ตอนที่ 266 ทางเลือก
ยกตำแหน่งผู้สืบทอดให้กับคนที่เอาชนะตัวเองได้งั้นเหรอ
คำพูดที่พ่อของผมทิ้งท้ายเอาไว้มันทำให้ผมกลับมาเป็นว่าที่ผู้สืบทอดอีกครั้ง ชวนให้ปวดหัวน่ารำคาญชะมัด ใครมันจะไปสนกันวะไอ้ตำแหน่งผู้นำตระกูลอะไรนั่น คิดว่าผมจะขอบคุณด้วยความยินดีหรือไงกัน ไร้สาระชิบ
โดยปกติแล้วผมก็คงจะหัวเราะใส่แล้วไม่คิดสนอะไรหรอก แต่จะว่ายังไงดีล่ะหากตัดความรู้สึกส่วนตัวออกไปแล้วคิดถึงตำแหน่งนั้น ก็เรียกว่ามีประโยชน์ในการใช้สอยแก้ปัญหาที่เจอตอนนี้หลายจุดเลย
เอาง่ายๆ ผมกลายเป็นผู้นำตระกูลมิตสึรุกิ จัดการเรื่องประตูปีศาจ แล้วก็ให้พวกคิจินออกมาจากคิไค ตรงจุดนี้เรียกว่าไม่สามารถละทิ้งความดีงามของตำแหน่งได้เลย
ก็อย่างที่ผมได้บอกตอนสู้กับพ่อของผมว่าทั้งหมดที่ทำลงไปส่วนตัวล้วนๆ มันคือความปรารถนาที่อย่างจะสู้กับพ่อของผมเพียงอย่างเดียวจะปัญหาของพวกคิจิน คิไคนั่นมันก็แค่เหตุผลอ้างเพื่อให้เกิดความชอบธรรมในการต่อสู้
เอาเป็นว่า――ตอนนี้ผมก็บรรลุเป้าหมายหลักไปแล้ว ก็เลยต้องกลับมาเช็ดก้นตัวเองเสียใหม่ หากจะเทไปทั้งแบบนี้เลยมันก็แอบขาดความรับผิดชอบอ่ะนะ หากผมรับตำแหน่งนี้มาก็จะทำให้หลายๆ อย่างมันลงตัวด้วยสิ
แต่ไม่ว่าพ่อของผมจะพูดยังไง ก็ไม่มีทางหรอกที่พวกธงแห่งผืนป่าจะยอมรับผมเป็นผู้นำตระกูลคนถัดไปหรือยกประตูปีศาจให้คิจิน ดังนั้นความเป็นไปได้ที่เรื่องจะวุ่นวายกว่าเก่าก็มีไม่น้อย เอาเถอะหากเป็นงั้นจริงก็แค่กระทืบเรียงตัวให้เรื่องมันจบๆ ไป
แล้วระหว่างที่ผมกำลังคิดอยู่นั้นเอง
「ยะ ยะ อย่ามาล้อกันเล่นนะเห้ย!!」
ใบหน้าเหี่ยวๆ ของกิลมอร์ ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มอีกครั้งก่อนจะกรีดร้องออกมา
ดวงตาที่จ้องมองมายังผมช่างคมกริบราวกับเข็ม รู้แล้วน่าว่าอยากจะฆ่าแกงกันแค่ไหน
「ใครมันจะไปยอมรับได้กัน การจะแต่งตั้งให้คนเขลาเช่นนี้มาเป็นผู้นำตระกูลมิตสึรุกิเนี่ยนะ! แบบนี้มันไม่ต่างอะไรกับการยอมละทิ้งประวิติศาสตร์กว่า 300 ปีไปเลยสักนิด เห็นทีตระกูลคงได้ล่มสลายเป็นแน่!」
พอเห็นกิลมอร์เห่าหอนออกมาแบบนี้ผมก็เลยตอบกลับไปสักหน่อย
「ก็ถ้าข้องใจนักก็หยุดเห่าแล้วรีบไปตามกู้ซากไอ้ผู้นำตระกูลของแกได้แล้วมั้ง เอาเถอะในมุมฉันมันก็เป็นเรื่องดีแหละนะหากเขาตายจริง ฉันก็จะได้เป็นผู้นำตระกูลแล้วจัดการประตูปีศาจให้จบๆ เสียที」
「นั่นถึงเป็นเหตุผลที่ข้าไม่มีทางยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้ยังไงล่ะ! ไม่มี4เสาหลักหรือธงทั้ง 8 คนไหนจะยอมให้คนที่ก้มหัวให้กับพวกคิจินเป็นผู้นำตระกูลหรอก!」
「คิดแบบนั้นฉันก็ไม่ได้ขัดอะไรนะ เห็นทีคงต้องล้างบางพวกแกทุกคนแล้วยึดประตูปีศาจแทน แบบนั้นคงได้เทประวัติศาสตร์กว่า 300 ปีไหลลงคลองไปด้วยเลย」
พอพูดจบผมก็หัวเราะออกมา ทันใดนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงบางอย่างที่ขาดออกมา
คิ้วสีขาวของกิลมอร์ยกสูงขึ้น ดวงตาของเขาเบิกกว้างราวกับจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ ทั้งลูกตาย้อมไปด้วยสีแดงราวกับเลือด อาจจะเป็นเพราะเลือดไหลไปบริเวณตาเยอะเพราะโมโหก็ได้มั้ง
「เอาสิวะ….ข้าเองก็ทนไม่ไหวแล้ว! เดี๋ยวจะตัดลิ้นอันแสนโสโครกของแกไปให้สุนัขกินเอง! ไดรอาทมาช่วยข้าที! อาภรณ์วิญญาณ――จงฉีกกระชาก ชินจู (แมลงเทพศักดิ์สิทธิ์) !」
กิลมอร์นำอาภรณ์วิญญาณของตัวเองออกมาพร้อมกับเสียงคำรามของเขา และแล้วก็เกิดหมอกสีน้ำตาลขึ้นรอบตัวเขาซึ่งมีเสียงเสียดสีไปมาภายในนั้นด้วย
หากมองเข้าไปใกล้ๆ ก็จะเห็นว่ามันไม่ใช่หมอกแต่เป็นฝูงแมลง 8 ขา
ก็เคยได้ยินความสามารถของหมอนี่จากไคลอากับคลิมเหมือนกัน รู้สึกมันจะสามารถขยายหรือหดตัวได้ตามใจอยากเลยนี่นะ แถมกิลมอร์มักจะชอบเอาพวกมันย่อส่วนแล้วเข้าไปทะลวงร่างของอีกฝ่ายด้วย
หากถูกแมลงเข้าไปในร่างได้กิลมอร์ก็จะกลายเป็นผู้สั่งเป็นตายอีกฝ่ายทันที จะให้กลืนกินอวัยวะหรือฉีกกระชากท้องออกมาก็แล้วแต่เขาต้องการ
รสนิยมห่วยแตกชะมัด ยิ่งรู้ว่าหมอนี่เอาแมลงไปฝังร่างลูกบุญธรรมของตัวเองเพื่อบังคับให้เชื่อฟังอีกยิ่งแหยง แน่นอนว่าไคลอากับคลิมก็ไม่มีข้อยกเว้น แต่ตอนที่ไคลอาได้ดื่มโพชั่นจากเลือดของผมเข้าไป แมลงนั่นก็ตายไปด้วยนี่สิ ส่วนคลิมก็โดนเจ้าชินโตมันฟันไปจนแมลงตายไปด้วยเหมือนกัน
――ดังนั้นแค่เลือดที่ผมเอาไปให้คนอื่นกินยังจัดการแมลงได้ หากมันเข้ามาในตัวผมจะเหลือเร้อ?
แต่ผมก็ไม่ได้มีงานอดิเรกเอาของแบบนี้เข้าร่างตัวเองดังนั้นคงไม่คิดลองหรอกนะ
ว่าแล้วผมก็อ้าปากกว้างแล้วเล็งไปยังหมอกพวกนั้น
「ฮ๊าาาา!!」
พอเจอระเบิดพลังคิของผมเข้าไป ฝูงแมลงที่ส่งเสียงดังอยู่ก็หายไปในอากาศพร้อมเสียงคำรามของผม
กิลมอร์ที่เห็นแบบนี้ก็ยืนตัวแข็งด้วยความตกใจ ไม่ว่าผมจะหมดแรงไปขนาดไหนกับการสู้ตัวต่อตัวกับนักบุญดาบ แต่คงไม่คิดหรอกใช่ไหมว่าผมจะจอดเอาง่ายๆ น่ะ
จากนั้นผมจึงพูดต่อ
「พอใจหรือยัง ไอ้ท่านชิโตะ? 」
「แกนะแก……คึ」
「แค่นี้ก่อนแล้วกัน ฉันขอตัวกลับคิไคละ ไว้เดี๋ยวจะมาหาใหม่ดังนั้นระหว่างนี้ก็รีบไปปรึกษากันให้เรียบร้อยล่ะ อย่างที่บอกไปฉันไม่เลือกวิธีการหรอกนะเอ้อ จะหน้าไหนก็พร้อมเสมอ」
พอพูดจบผมก็พุ่งตัวออกจากเมืองชูโตะด้วยความรวดเร็ว
ก็แอบคิดว่า 2 สุดยอดจะตามมาสอย แต่ไม่มีวี่แววเลยสักนิด ทั้งที่ปากไปซะขนาดนั้นไม่น่ามีแค่กิลมอร์หัวเสียคนเดียวน้า
เมื่อมองจากมุมท้องฟ้า ก็เห็นได้ชัดว่าเมืองชูโตะเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ก็นั่นสิน้อ ก่อนหน้านี้ผมกับพ่อเล่นยิงเทคนิคลับกับอาภรณ์แห่งความว่างเปล่าใส่กันใหญ่เลยนี่นา คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาก็คงคิดว่าเกิดภัยทางธรรมชาติแน่
ผมพุ่งผ่านเข้าไปในประตูปีศาจด้วยความรวดเร็ว ระหว่างนั้นก็แอบก้มหัวให้พวกคนที่เดือดร้อนเพราะเรื่องส่วนตัวของผมไปด้วย
พอลืมตาตื่นขึ้นหลังรับความรู้สึกอันไม่พึงประสงค์หลังผ่านประตูเสร็จ ท้องฟ้าสีสนิมที่แสนคุ้นเคยก็ปรากฏตรงหน้า
ดูเหมือนว่าเรื่องที่นักบุญดาบพ่ายแพ้จะส่งมาถึงป้อมนันเท็นแล้ว พวกธงแห่งผืนป่าก็เลยวิ่งวุ่นกันไปทั่วด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย พวกเขาคงมองว่าคิจินอาจจะใช้โอกาสนี้ในการบุกโจมตีเลยก็ได้
ถ้าผมไปโผล่ให้พวกนี้เห็นคงได้วุ่นวายหนักกว่าเดิม แถมผมก็เบื่อต้องมารับมือกับพวกมันที่อาจจะมองว่าผมคือคนที่ควรจะแก้แค้นให้กับผู้เป็นนายของพวกเขา
คิดได้แบบนี้ผมก็เลยแอบลอบเข้าไปในห้องที่คาการิรออยู่อย่างเงียบๆ พอถึงหน้าห้องก็พบว่ามียามคิ้วขมวดอยู่ 2 คน แต่ผมก็สามารถลอบเข้ามาในห้องได้อย่างง่ายดาย
เนื่องจากว่าอีกฝ่ายเป็นคาการิ ผมจึงแอบกังวลว่าหมอนี่อาจจะแอบหนีออกไปดูการต่อสู้ของผมกับพ่อก็ได้ แต่พอเข้ามาในห้องแล้วก็ผิดคาดแฮะ คาการิยังนั่งรอผมอยู่ข้างใน
พอคาการิเห็นผมกลับมา เขาก็ยิ้มแล้วเปิดปากพูดขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้
「ดูเหมือนเจ้าจะเอาชนะพ่อของตัวเองได้แล้วนะ โซระ」
「อ้า ก็ขอบใจนายด้วยแล้วกัน ว่าแต่อยู่นี่มาจนถึงตอนนี้เลยเหรอ? ทั้งที่ฉันแอบคิดว่านายจะหนีออกไปแล้วแท้ๆ นะ」
「ข้าก็ไม่ปฏิเสธหรอกเรื่องที่คิดจะหนีออกไป แต่ข้ารู้ได้ทันทีว่าหากข้าไปตรงนั้น ข้าคงทนไม่ไหวแน่นอน」
พอคาการิพูดจบ เขาก็เอามือทั้งสองพาดหลังคอเอาไว้ ก่อนจะยิ้มอย่างขมขื่นนิดหน่อย
「พี่โดกะก็บอกเอาไว้น่ะว่า『ในฐานะลูกผู้ชายแล้ว เราย่อมมีการต่อสู้ที่ตัวเองต้องก้าวข้ามเสมอ และสำหรับโซระพ่อของเขาคือการต่อสู้นั้น』พอข้าคิดถึงคำนี้ข้าก็เลยพยายามอดกลั้นเอาไว้น่ะ อีกอย่างพอเห็นโซระในตอนนี้ข้าว่าคุ้มจริงๆ ที่ข้ายอมทน」
「หือ? นายหมายความว่ายังไง? 」
พอผมถามอย่างสงสัย คาการิก็กระโดดขึ้นมาจากเก้าอี้เบาๆ แล้วเดินเข้ามาหาผมอย่างช้าๆ
เขาเริ่มมองหน้าของผมอย่างตั้งใจ ก่อนจะเอามือชกมาที่อกของผม
「โซระในตอนนี้ดูดีมากเลยนะ ข้าเดาว่าเจ้าคงจะได้สิ่งที่ตัวเองทำหล่นหายไปกลับมาแล้วสินะ」
「หา? จะบอกว่าเมื่อก่อนฉันดูไม่จืดเลยหรือไง? 」
「เมื่อวานมันไม่ได้อารมณ์ประมาณนี้เลยนะ แต่พอข้าได้มองโซระในตอนนี้มันต่างออกไปจริงๆ ข้ามั่นใจว่าคนอื่นๆ ก็คงคิดแบบเดียวกัน พูดง่ายๆ ก็ประมาณว่า…」
คาการิกอดอก แล้วทำท่าคิดหนักไปมา ก่อนจะปรบมือทีนึง
「หากเป็นเมื่อวานข้าคงจะแค่รู้สึกตื่นเต้นพอรู้ว่าจะได้สู้กับเจ้า」
「แล้ว…」
「แต่สำหรับตอนนี้ข้ารู้สึกขนลุกไปทั้งตัวเลยพอรู้ว่าจะได้สู้กับโซระ มันแตกต่างมากจริงๆ 」
「งั้นเหรอ ฉันไม่เห็นรู้สึกต่างเลยสักนิด」
ผมไม่เข้าใจที่หมอนี่พยายามจะบอกหรอกนะ แต่เอาเป็นว่าก็คงพูดไปในทางที่ดีแหละ ผมเลยตัดสินใจไม่สาวเอาความอะไรต่อ
นอกจากนี้ผมจำเป็นต้องอธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในเขาฟัง เพื่อให้เขานำข้อมูลไปบอกกับพวกอาซึมะและคนอื่นๆ
ด้วยเหตุนี้เองผมจึงรีบเข้าเรื่องสรุปการต่อสู้ระหว่างผมกับพ่อให้คาการิได้ฟังรวมไปถึงผลที่ตามมาจากนั้น
——-
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code