การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ – ตอนที่ 269 แผนอพยพ

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

ตอนที่ 269 แผนอพยพ

 

 

พอผมบอกพวกเขาว่าผมเอาชนะพ่อของผมได้แล้วและถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้นำตระกูลมิตสึรุกิคนถัดไป 4 พี่น้องนากายามะก็แสดงสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป

 

อาซึมะพยักหน้ารับด้วยความชื่นชม โดกะแสดงสีหน้าปั้นยากออกมา ส่วนฮาคุโร่จ้องผมเงียบๆ ด้วยสายตาที่ครุ่นคิด ทางคาการิที่รู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างก็เอามือทั้งสองประสานหลังหัวตัวเองแล้วมองท่าทางของพวกพี่ๆ ด้วยรอยยิ้ม

 

 

นอกจากนี้ก็มีพวกธงแห่งผืนป่าที่อยู่กับฝั่งผม อย่างไคลอาที่วิ่งน้ำหูน้ำตาไหลมาหาผมทันทีที่เห็นผมกลับมา แถมยังตัวติดผมไม่ห่างไปไหนเลย ถึงผมจะบอกไปแล้วว่าไม่มีอะไรให้น่ากังวลเกี่ยวกับเรื่องพ่อผมแล้วก็เรื่องผู้นำตระกูลคนถัดไปด้วย ทว่าเธอก็เกาะแขนเสื้อของผมไม่ยอมปล่อยสักทีเหมือนเด็กน้อยกลัวหลงทางกับพ่อแม่เลย

 

ส่วนทางเออซูร่าถึงจะไม่แสดงอาการหนักเท่าไคลอาแต่ ก็เห็นได้ว่าเธอมีความสุขที่ผมรอดมาได้ รอยยิ้มของเธอที่ส่งมามันสวยซะผมแอบเสียทรงเลย

 

 

 

ก็นะ คู่ต่อสู้คราวนี้ที่ผมต้องเจอมันของจริง การร่ำลาก่อนหน้านี้จึงเป็นกับการสั่งลาสุดท้ายไปด้วย ปฏิกิริยาของพวกเธอที่แสดงออกมาจึงเป็นเช่นนี้

 

 

แต่ก็น่าแปลกที่ผมมีความสุขจริงๆ ตอนได้สู้กับพ่อของผม โดยไม่ได้สนใจความกังวลของพวกสาวๆ เลย

 

 

หากพวกเธอติดตามผมมาด้วยเหมือนคาการิ พวกไคลอาก็คงจะกังวลน้อยกว่านี้ แต่ศึกนี้ผมเลือกให้พวกเธอรอที่คิไค ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะผมห่วงเธอทั้งสอง ว่ากันตามตรงคือผมอยากจะโฟกัสไปที่เรื่องพ่อของผมมากกว่าจะกังวลกับเรื่องอื่น

 

ผมเชื่อว่าหากกิลมอร์หรือไดรอาท โจมตีไคลอาระหว่างที่ผมรับมือกับพ่อ ผมคงถูกดึงความสนใจจากการต่อสู้กับพ่อผมแน่ๆ

 

 

เออซูร่าเองก็เหมือนมีบางสิ่งที่อยากจะรู้จากพ่อของผม มันเกี่ยวกับสาเหตุการตายของพ่อเธอ หากเธอมาขอให้ผมเลี่ยงสู้แบบเอาชีวิตพ่อของผม ผลแพ้ชนะก็อาจจะพลิกกลับได้เลย

 

 

ดังนั้นการเลือกให้พวกเธออยู่ที่คิไคจึงเหมาะสมแล้ว แต่มันก็ส่งผลให้พวกเธอกังวลเกี่ยวกับตัวผมอยู่ดี ผมจึงต้องรับผิดชอบด้วยการยอมทำตามที่พวกเธอขอในภายหลัง

 

 

ส่วนคลิมก็ไม่มีปัญหาอะไร หากพี่สาวของเขาอยู่ที่นี่เขาก็เลือกจะอยู่ด้วย ทว่าพอเขารู้ว่าผมจะได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลคนถัดไป สีหน้าเหมือนดื่มน้ำสมสายชูหมดขวดก็แสดงออกมาให้เห็น ไอ้เจ้าหมอนี่มันยังไงกันนะ

 

หลังอธิบายเสร็จ ผมก็คุยเกี่ยวกับแผนในอนาคตกับอาซึมะและคนอื่นๆ

 

 

 

การต่อสู้คราวนี้ทำให้พวกผมได้ประตูปีศาจมาแล้ว หากทางนั้นยอมรับแต่งตั้งให้ผมเป็นผู้นำตระกูล แต่หากพวกเขาไม่ยอมรับ ผมก็แค่ต้องกวางล้างอีกที ตระกูลมิตสึรุกิที่ไร้นักบุญดาบผมไม่คิดว่าจะแพ้หรอกนะ

 

สุดท้ายพวกคิจินก็จะออกจากคิไคได้

 

แต่ปัญหาก็คือต่อจากนี้จะเอายังไง

 

 

คร่าวๆ ก็คืออาซึมะตั้งแต่ใจจะสานสัมพันธ์กับมนุษย์ใหม่ เหตุผลที่อาซึมะทำตัวดีกับผมที่เป็นคนของมิตสึรุกิ แต่ไม่ได้คิดแค้นอะไรกับคิจินก็เป็นเพราะผมมีประโยชน์ในการเจรจากับพวกมนุษย์

 

ผมก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เพราะผมเป็นหนี้เขากับพวกน้องๆ เขาในหลายๆ เรื่อง ต้องขอบคุณพวกเขาจริงๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งทำให้ผมชนะพ่อตัวเองได้ หากจะตอบแทนบุญคุณสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไรอยู่แล้ว

 

 

หากคิดแบบง่ายๆ เลยวิธีการแก้ปัญหาก็คือให้พวกเขาอยู่ที่เมืองชูโตะไปเลย แต่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ความแค้นตลอด 300 ปีมันไม่มีทางจะจบลงชั่วข้ามคืนได้ นอกจากนี้เมืองชูโตะก็ไม่มีทางหาเสบียงรับรองคิจินเป็นหมื่นๆ คนได้แน่

 

 

 

แถมจะให้ไล่ชาวเมืองชูโตะออกจากเกาะก็ไม่ได้อีก แม้ว่าผมจะขึ้นเป็นผู้นำตระกูลจริง พวกชาวเมืองก็ไม่คิดจะหนีออกเกาะแน่เพราะไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าชีวิตพวกเขาจะดีกว่าที่เป็นอยู่

 

 

สรุปคือทุกอย่างเป็นไปได้แค่ในเชิงความคิดแต่เอามาใช้จริงไม่ได้

 

 

 

แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะ

 

 

 

สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือให้พวกคิจินออกจากเกาะไปเลย

 

ให้เจาะจงขึ้นก็คือให้พวกเขาไปอาศัยอยู่ที่ป่าทีทิส หากไม่มีเมืองไหนในทวีปจะรับรองคิจินได้นับหมื่น ผมก็แค่ต้องสร้างขึ้นมาแทน ยังไงป่านั่นก็มีพื้นทีเทียบเท่ากับประเทศหนึ่งได้สบายๆ

 

ถึงปัญหามันจะยังไม่หมดก็เถอะ

 

ป่าทีทิสนั้นเป็นเขตของคานาเรีย เพื่อจะย้ายพวกคิจินเข้าไปก็ต้องได้รับอนุญาตจากอาณาจักรเสียก่อน คงไม่ต้องบอกว่างานช้างแค่ไหน

 

 

ไหนจะเรื่องที่พวกคิจินจะยอมมาอาศัยในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยปัญหามากมายจริงหรืออีก อย่างรังมังกรเอย มอนสเตอร์เอย พิษไฮดราเอย

 

 

ถึงปัญหาที่ว่ามาจะถูกแก้ไขไปจนหมด พวกเขาก็ยังติดจักรวรรดิที่ต้องยอมให้พวกเขาเดินทางข้ามอาณาเขต การเจรจาคงได้วุ่ยวายไม่หยุด

 

แล้วก็มีเรื่องของการจัดหาเสบียงจำเป็นระหว่างเดินทาง วัสดุจำเป็นในการสร้างที่พักช่วงอีก ประเมินยังไงก็ไม่น่ารอดเกิน 2 เดือน ทั้งที่การเดินทางคงกินเวลาเป็นปีๆ แน่

 

 

แม้ทุกอย่างจะออกมาหน้าดีที่สุด เวลาที่ต้องจัดการอะไรให้ลงตัวก็ไม่ต่ำกว่า 10 ปี

 

คิดแล้วก็ปวดหัว ถึงผมจะเป็นหนี้พวกเขามากแค่ไหน ก็ไม่อยากรับผิดชอบถึงขั้นนั้นหรอกนะ

 

 

แต่เอาเถอะ ยังไงตอนนี้ผมก็บรรลุเป้าหมายชีวิตไปแล้ว เป้าหมายจากนี้ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเสษ แทนทีจะใช้เวลาวันๆ โดยเปล่าประโยชน์ขอแสดงบทคนดี เพื่อมนุษย์และคิจินบ้างแล้วกัน

 

 

นอกจากนี้ก็มีเรื่องที่ผมเห็นในคิไคอีก

 

300 ปีก่อน คาซึมะต้นตระกูลมิตสึรุกิได้ร่วมมือกับโซเฟีย อาเซอร์ไรท์ผลักไสคิจินสู่คิไคนั้นมีจุดประสงค์ที่แท้จริงแฝงอยู่ ถ้าจะให้เดาก็คงเป็นเรื่องง่ายๆ จากการดูเทคนิคลับสุดท้ายอย่างไทเคียวคุ สยบมังกร

 

 

จนถึงตอนนี้ผู้นำตระกูลมิตสึรุกิในแต่ละรุ่นรวมถึงพ่อของผมก็ไม่สามารถทำความปรารถนานั้นให้สำเร็จได้แม้จะรู้เรื่องราวเมื่อ 300 ปีก่อนแล้วก็ตาม

 

 

ผมสามารถจัดการกับโซเฟียแล้วเอาชนะมังกรได้สำเร็จ ไหนจะช่วยพวกคิจินหาที่อยู่ใหม่ได้อีก ในมุมนี้ก็แปลว่านอกจากผมจะเหนือกว่าพ่อในฐานะนักดาบผมยังเหนือกว่าเขาในฐานะผู้นำตระกูลด้วยสินะ พอคิดแบบนี้ก็เริ่มมีแรงลงมือทำอะไรแล้วสิ

 

 

เหนือสิ่งอื่นใดหากผมยังเกี่ยวข้องกับตระกูลมิตสึรุกิอยู่ คงจะได้เจอเรื่องที่โซเฟียบอกก่อนสลายไปอย่างการล่มสลายของโลกหรือบุตรแห่งพระผู้เป็นเจ้าอะไรนั่นด้วย

 

คิดแล้วก็น่าสนุกดี

 

 

「ว่าแต่โซระ――ไม่สิท่านผู้นำคะ จากที่เราคุยกันเมื่อวานท่านมีแผนอะไรนอกจากนี้อีกไหมคะ? 」

 

 

 

วันรุ่งขึ้นเออซูร่าก็ถามด้วยด้วยคำพูดที่สุภาพและจริงจัง

 

 

 

เมื่อวานพวกผมคุยกันถึงที่แผนในการอพยพพวกคิจินไปป่าทีทิส เพราะผมเหนื่อยมากกับการสู้กับพ่อผมเลยจบที่อธิบายคร่าวๆ ไปก่อน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เออซูร่าจะมาถามรายละเอียดเพิ่มเติม

 

แต่ลักษณะการพูดของเธอจะดูจริงจังไปไหมเนี่ย――ไม่สิดูจากทรงแล้วคงอยากแกล้งผมเฉยๆ มากกว่า

 

 

ทางไคลอาก็ตัวติดกับผมตั้งแต่ตื่นเลย เธอจึงอยู่ที่นี่ด้วย

 

ทว่าทางผมก็คงจะตอบส่งๆ ว่าไม่มีอะไรมากเป็นพิเศษ แถมไม่ต้องคิดมากก็ไม่ได้ซะด้วย

 

หากคิดในมุมคิจิน ตอนนี้นักบุญดาบซึ่งเป็นอุปสรรคยิ่งใหญ่ที่สุดก็หายไปแล้ว หากผมที่เอาชนะนักบุญดาบถูกกำจัดออกไปอีก พวกคิจินก็จะได้เปรียบในการทำสงครามต่อแน่

 

 

ถึงผมจะร่วมมือกับพวกเขาในตอนนี้ แต่ก็ไม่ได้ลบความจริงว่าสายเลือดผมคือมิตสึรุกิ จะไม่แปลกเลยหากพวกเขาไม่เชื่อใจฉันและวางแผนกำจัดผม

 

 

 

 

นอกจากนี้ก็มีพวกลัทธิแห่งแสงที่อาจจะหาทางแก้แค้นผมที่จัดการสันตะปาปาโซเฟียไป ไคลอาเองก็กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกันจึงมาเฝ้าผมทั้งคืนไม่ยอมห่างไปไหน

 

 

เธอจึงมองมาที่ผมเหมือนกับที่เออซูร่าทำ แถมดูท่าจะไม่ยอมวางมือหากไม่ได้คำตอบที่ตัวเองพึงพอใจแล้วด้วย

 

หรือพวกเธอจะกลัวว่าผมจะทิ้งพวกเธอออกไปจัดการอะไรคนเดียวอีกหรือเปล่านะ

 

แต่ผมไม่มีความคิดจะทิ้งไคลอาไปไหนแล้วหรอกนะเออ ผมก็เลยตอบคำถามของเออซูร่าไปตรงๆ

 

 

「เอาเป็นเรื่องของพวกคิจินก็แล้วกัน เราคงต้องได้รับอนุญาตจากคานาเรียเพื่อเข้าไปในป่าปีทิส ตรงจุดนี้สำหรับพวกระดับสูงแล้วก็อยากจะหาคนมาจัดการเรื่องของป่าที่ชวนปวดอยู่พอดี ไหนจะต้องเจอเผ่าพันธุ์ในตำนานที่ไม่รู้วันไหนจะผุดออกมาอีกนี่นะ หากมีฉันที่เป็นดราก้อนสเลเยอร์อาสาแก้ปัญหาให้ก็ พวกเขาก็น่าจะยินดีมากและยอมเจรจาหลายเรื่อง」

 

 

คานาเรียนั้นพยายามจะมอบตำแหน่งหลายๆ อย่างให้กับผม อย่างดราก้อนสเลเยอร์ก็หนึ่งในนั้น เพราะต้องการผูกมัดผมให้รับใช้อาณาจักร ดังนั้นหากผมบอกว่าอยากได้ป่าปีทิสเป็นอาณาเขตตัวเองก็น่าจะพอไหว

 

 

หากเป็นช่วงเวลาปกติคงเป็นไปไม่ได้ แต่สถานการณ์ของป่าตอนนี้มันต่างไป ไม่มีใครอยากจะรับผิดชอบป่าที่พวกเผ่าพันธุ์ในตำนานอาจจะออกมาเดินเล่นได้หรอก

 

 

หากพวกเขาเลือกผมเป็นลอร์ดแห่งทีทิส พวกเขาก็จะใช้ผมเป็นแนวหน้าในการรับมือพวกมันได้ด้วย ทุกอย่างก็ลงตัว

 

 

นอกจากนี้การแต่งงานของเจ้าหญิงซากุยะกับองค์รัชทายาทเอซ่าก็น่าจะจบไปแล้ว

 

จากที่คุยคราวก่อนเธอเหมือนอยากจะให้ผมเป็นคนช่วยเหลือชิออนน้องชายของเธอ หากผมให้สัญญาเธอว่าจะยอมช่วยเหลือชิออนหากเกิดอะไรขึ้นในจักรวรรดิ ผมแน่ใจว่าเธอจะช่วยดำเนินเรื่องในป่าทีทิสให้ผมแน่

 

พอผมได้กลายเป็นลอร์ดแห่งดินแดนที่เหลือก็ง่าย ผมเรียกคนเข้ามาในดินแดนผม โดยหลักๆ ก็คือพวกคิจิน แม้จะมีคนบ่นไม่พอใจแต่ผมก็จะตอกกลับไปว่าเพื่อเสริมกำลังทางการทหารในการรับมือกับพวกเผ่าพันธุ์ในตำนานหรือเหตุไม่คาดฝัน

 

 

พอมาถึงตรงนี้ เออซูร่าก็เอียงคอสงสัย

 

 

「ว่าแต่ ท่านผู้นำจะกลายเป็นผู้นำของมิตสึรุกิแล้ว ตรงจุดนี้ก็นับว่าท่านเป็นขุนนางแล้วไม่ใช่เหรอคะ แล้วทางอาณาจักรคานาเรียจะยอมรับท่านเป็นขุนนางของท่านนั้นอีกหรือ? 」

 

 

「เพราะฉันกลายเป็นขุนนางแล้ว คานาเรียจึงไม่สามารถปฏิเสธคำขอของฉันได้ไง หากปฏิเสธไปพวกเขาก็รู้แน่ว่าดราก้อนสเลเยอร์ของพวกเขาจะไปอยู่กับจักรวรรดิแทน」

 

 

แม้พิธีแต่งงานของสองประเทศจะจบลงไปแล้ว แต่กระแสการต่อต้านจักรวรรดิในคานาเรียใช่ว่าจะหมดไป ผู้คนในอาณาจักรก็คงยินดีมากแน่หากได้ตัวผมซึ่งเป็นคนที่เอาชนะนักดาบที่แกร่งที่สุดในจักรวรรดิไปครอง

 

 

 

ในฐานะการดำรงอยู่ของดราก้อนสเลเยอร์และจอมดาบ ผมคืออุปสรรคใหญ่หลวงสำหรับจักรวรรดิแน่ ผมจึงมั่นใจว่าคานาเรียไม่ยอมปล่อยตัวผมไปหรอก

 

พอผมบอกไปไคลอาก็ถามต่อ

 

 

「ท่านโซระ แล้วทางจักรวรรดิล่ะคะ? ฉันไม่คิดว่าฝ่าบาทหรือขุนนางระดับสูงจะเห็นด้วยกับการที่ผู้นำตระกูลมิตสึรุกิไปเป็นขุนนางของประเทศอื่นด้วยหรอกนะคะ…」

 

 

「ถ้าไม่ยอมฉันก็แค่ต้องเป็นขุนนางของคานาเรียอย่างเดียวจบ การเดินทางข้ามจักรวรรดิก็จะกลายเป็นการใช้กำลังแทน แค่ทหารของจักรวรรดิไม่มีทางรับมือฉันได้หรอก เพื่อป้องกันการทลายสมดุลอำนาจในจักรวรรดิเองจักรพรรดิก็น่าจะเลี่ยงการนองเลือดด้วย งานนี้พวกขุนนางฝ่ายตะวันออกกับฝ่ายกลางไม่ยอมปล่อยไปเฉยๆ แน่」

 

 

ก็คงไม่แปลกอะไรหากจะให้ขุนนางของประเทศตัวเองเดินทางข้ามประเทศตัวเองไป แต่หากเป็นขุนนางประเทศอื่นใช้กำลังในการเปิดทางข้ามประเทศไปแทน ประชาชนหรือคนรอเลื่อยขาเก้าอี้ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ แน่ แถมจะกลายเป็นขี้ปากนานาประเทศเอาด้วย

 

 

ดังนั้นจักรวรรดิไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับในตัวผมนั่นเอง

 

 

แล้วก็เป็นทางเออซูร่าก็ถามต่อ

 

 

 

「แต่ว่าหากพวกนั้นคิดรวมตัวกันเพื่อเผชิญหน้ากับท่านแทนล่ะ คงไม่ง่ายแน่หากพวกธงแห่งผืนป่าที่ไม่ยอมรับในตัวท่านมาร่วมด้วย」

 

 

「ก็จะอะไรเสียอีกล่ะ ใช้กำลังอัดมันให้จบๆ ไปสิ หากเป็นแบบนั้นจริงฉันก็จะได้มีเหตุผลพอจะเจอจักรพรรดิด้วย ว่าแต่เออซูร่า เมื่อไหร่เธอจะเลิกพูดจาล้อกันแบบนี้สักทีเนี่ย? 」

 

ผมถามแล้วจ้องไปที่ดวงตาของเธอ

 

「ผมไม่ได้คิดจะแกล้งหรือล้ออะไรสักหน่อย ผมก็แค่ให้เกียรติคนที่จะเป็นผู้นำตระกูลคนถัดไปเท่านั้นเอง」

 

 

 

ว่าแล้วเธอก็หลบสายตาผมซะงั้น

 

 

เห็นแบบนี้ผมก็ไปไม่เป็นสิ ผมคิดว่าคำพูดและการกระทำของเธอคือการหยอกล้อเล่นเฉยๆ แต่เหมือนจะไม่ใช่เลย

 

แถมเธอดูจะไม่ติดขัดอะไรเลยที่ผมลงมือกับพ่อตัวเองไปแบบนั้น

 

 

ขณะที่ผมสงสัย จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักออกมา นั่นเป็นเสียงของไคลอาที่กำลังยิ้มร่าเพราะเหมือนเจอเรื่องสนุกๆ เข้า

 

 

 

 

「ท่านโซระ ทำแบบนั้นเออซูร่าก็เขินแย่สิคะ」

 

 

 

「เขิน? อะไรล่ะนั่น? 」

 

 

 

「ก็ท่านโซระดูมีเสน่ห์กว่าเดิมมากนับตั้งแต่กลับมาเลยนี่นา」

 

 

 

พอได้ยินเรื่องที่คาดไม่ถึงมาออกผมก็งงหนักกว่าเดิมอีก

 

ผมคิดว่าคราวนี้แหละคือการหยอกล้อกันของจริงแน่ แต่พอมองไปทางเออซูร่า ไหงหล่อนหน้าแดงขึ้นละเห้ย ไม่สิใบหูเองก็ไม่ต่างกัน

 

 

มันจะแปลกเกินไปไหมนะ…จริงสิ พอมานึกดูคาการิเองก็บอกทำนองนี้เหมือนกันนี่นะ ถามจริงผมเปลี่ยนไปขนาดนั้นเลยเหรอ?

 

ไม่เห็นจะรู้สึกตัวเลยสักนิด แต่มันแปลกจริงๆ นะที่ทำให้เออซูร่าเขินขึ้นมาได้เนี่ย

 

 

แต่ผมก็ไม่คิดจะถามออกไปหรอกนะว่า นี่ฉันดูดีมีเสน่ห์ขนาดนั้นเลยเหรอ นึกไม่ออกจริงๆ ว่าพวกเธอจะแสดงสีหน้าแบบไหนออกมา

 

ผมจึงทำได้เพียงสงสัยต่อไปแล้วคิดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตแทน

 

พอเห็นแบบนี้ไคลอาก็เลยยิ้มออกมาอย่างสนุกสนานอีกครั้ง

 

——-

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

Status: Ongoing
ตระกูลมิตสึรุกิได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญในการปกป้องประตูปีศาจจากองค์จักรพรรดิ โซระ มิตสึรุกิ ผู้เกิดมาเป็นลูกชายคนโตของตระกูล กำลังตั้งตารอพิธีตัดสินในปีที่เขาอายุครบ13ปี การทดสอบที่จำเป็นต้องเอาชนะให้ได้เพื่อเรียนรู้วิชาดาบเดียวมายาซึ่งสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นภายในตระกูลมิตสึรุกิ พี่น้องของเขาทั้งหมดนั้นต่างก็ผ่านบททดสอบดังกล่าว จะเหลือก็เพียงโซระ บัดนี้พ่อ น้องชาย คู่หมั้น และญาติของเขาก็ต่างจับจ้องไปยังโซระที่จะเริ่มทดสอบกันอย่างเคร่งขรึม

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท