ตอนที่ 270 ความปรารถนา
เออซูร่าพยายามหยุดไคลอาที่กำลังหัวเราะออกมาอย่างจงใจ ก่อนจะหันกลับมาถามผม
「แล้วท่านผู้นำคิดจะทำอะไรต่อเหรอคะ? 」
「เห้อ จะใช้คำนี้ให้ได้สินะ ก็คงต้องไปเจออาซึมะกับคนอื่นๆ แล้วอธิบายสิ่งที่บอกพวกเธอไปนี่แหละ」
แม้ว่าผมจะมีแผนในหัวมากขนาดไหนแต่ถ้าพวกนากายามะไม่เอาด้วยก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ผมเลยตั้งใจจะบอกแนวคิดของผมให้พวกเขาฟังก่อนจะพาหนึ่งในสี่พี่น้องไปยังป่าทีทิสด้วย คนที่เหมาะสมสุดก็คงไม่พ้นคาการิ
สำหรับพวกคิจินแล้วการจะอพยพไปยังป่าทีทิสนับว่าเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดของเผ่าพันธุ์ ถึงจะยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะไปจริงไหม แต่อย่างน้อยก็ขอให้ได้เห็นหน้างานก่อนคงจะดีที่สุด
ผมก็เลยเลือกคนที่มีความน่าเชื่อถือไป คนที่จะอธิบายให้พวกคิจินที่เหลือฟังและยอมเข้าใจได้ว่าสมควรจะอพยพกันไปอยู่หรือไม่
ก็อย่างที่ผมได้บอกไปตอนแรก ในป่านั่นมีทั้งรังมังกร มอนสเตอร์มากมาย แถมยังมีพิษของไฮดราอีก ปกติแล้วมันไม่ใช่ดินแดนที่จะอพยพไปอยู่อาศัยหรอก แต่อย่างน้อยสำหรับพวกนากายามะแล้ว ก็ไม่คิดว่าแย่นัก
เพราะไม่ว่าจะมองจากมุมไหนมันก็ดีกว่าคิไคที่พวกเขาอยู่ตอนนี้
รังมังกรในป่าทีทิสจะทำให้มีความเสี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับเผ่าพันธุ์ในตำนาน แต่คิไคก็สภาพไม่ต่างกันนัก
ส่วนพวกมอนสเตอร์ในป่า ถ้านับในแง่ของจำนวนมันก็เยอะกว่าแหละแต่ถ้าเรื่องความแกร่งยังไงคิไคก็กินขาด
พิษของไฮดราก็ทำให้อาศัยลำบากแหละ แต่คิไคเองก็มีไอพิษที่ปกคลุมเต็มผืนฟ้าดินเทียบป่าทีทิสที่โดนกลืนกินไปแค่บางส่วนคงไม่ต้องบอกว่าอันไหนดีกว่ากัน
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือป่าทีทิส ทุกคนสามารถมองเห็นท้องฟ้าและพระอาทิตย์ได้ไม่เหมือนคิไค
ก็จริงว่าในนั้นมันมีดวงอาทิตย์ แต่จะให้เรียกว่าของแท้ก็ยังไงอยู่ ให้อารมณ์เหมือนพระจันทร์มากกว่า แล้วถึงจะมีแสงสว่างส่องมาแต่ท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยสีแดงสนิม
มันอาจจะดูเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกคิจินที่อาศัยอยู่ในนี้มาทั้งชีวิต แต่สำหรับผมแล้วต้องบอกว่าขัดใจพอสมควร
ขนาดอยู่ไปแค่หนึ่งเดือนยังรู้สึกน่าปวดหัวเลย ถ้าให้ผมต้องปักหลักอยู่ที่นี่อีกสักปีหนึ่งคงได้สติแตกแน่ๆ
พอต้องมาอยู่ในคิไคก็เริ่มเห็นความสำคัญของแสงอาทิตย์มากเข้าไปทุกที
ผมคิดว่าพวกเขาก็ไม่ต่างจากมนุษย์หรอก ซูซูมะเองก็อาศัยอยู่ข้างนอกนั่นด้วย พวกคิจินคงไม่ได้แพ้แสงแดดแน่ หากพวกอาซึมะได้เห็นป่าทีทิสก็น่าจะตอบตกลงเรื่องอพยพได้ไม่ยาก
ดังนั้นผมจึงไม่ค่อยกังวลเรื่องที่พวกนากายามะจะอพยพกันเท่าไหร่
ก็จริงว่าต้องมีพวกที่เกลียงชังมนุษย์กับมิตสึรุกิอยู่ จนโวยวายว่าไม่อยากอพยพแล้วเลือกยึดเกาะด้วยกำลังแทน แต่นั่นมันงานของอาซึมะกับคนของเขาไม่ใช่เรื่องของผม
――หลังจากอธิบายเสร็จ ผมก็เสริมพวกเออซูร่าไปอีกเรื่องหนึ่ง
「ก่อนที่ฉันจะไปป่าทีทิส เดี๋ยวคงต้องมีการคุยกับตระกูลมิตสึรุกิอีกรอบ ก็ไม่คิดหรอกว่าพวกเขาจะได้ข้อสรุปในเรื่องของฉันเพียงชั่วข้ามคืน แต่ถ้าปล่อยมันทิ้งเอาไว้เดี๋ยวคงจะลำบากแน่หากโดนเล่นงานจากข้างหลังอีก นอกจากนี้เธอเองก็น่าจะได้รู้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องของพ่อเธอด้วย」
พอเออซูร่าและไคลอาได้ยินแบบนี้ พวกเธอก็เริ่มแสดงสีหน้าจริงจัง ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆ
「ดังนั้น ฉันว่าพวกเธอ――」
「คงไม่ได้รังเกียจที่จะพาพวกเราไปใช่ไหมคะ? 」
พอเห็นสองสาวพยายามเข้ามากดดันผมด้วยใบหน้าและน้ำเสียง ราวกับว่าไม่ยอมให้ผมไปคนเดียวอีก ผมก็ได้แค่ยิ้มแห้งๆ ตอบ
「อ-อ้อ แน่นอนสิ แต่พวกเธอก็ต้องเตรียมใจเอาไว้ด้วยนะ ว่าจะไม่มีการหันหลังกลับได้อีก」
ผมได้ออกตัวกับพวกนั้นไปแล้วว่าผมอยู่ฝั่งคิจิน แต่พวกเออซูร่า ไคลอา กับคลิมไม่ได้มีจุดยืนที่ชัดเจนนัก หากพวกเธอมาพร้อมกันกับผมก็คงไม่เหลือที่ให้อยู่ในตระกูลมิตสึรุกิได้อีก
อย่างไรก็ตาม จากสีหน้าของทั้งสองคนที่แสดงออกมาเหมือนจะบอกชัดแล้วว่าพวกเธอไม่ได้สนใจเลยสักนิด
ก็นะ หากตั้งใจจะกลับเข้าตระกูลจริง พวกเธอคงทิ้งผมกลับไปนานแล้ว ดังนั้นการที่พวกเธอยังอยู่ตรงนี้คงเป็นคำตอบที่ชัดพอ
ผมก็ทำได้เพียงยอมแพ้กับความตั้งใจนั้น
「เห้อ ถามอะไรไม่จำเป็นสินะ」
「ผมว่าท่านก็น่าจะเข้าใจดีอยู่แล้วนะ แน่นอนว่าผมจะไปกับท่านด้วย」
「ฉันก็เหมือนกันค่ะ ท่านโซระ」
「ก็ตามนั้น ว่าแต่ไม่ลองถามคลิมหน่อยเหรอว่าหมอนั่นจะเอายังไง? 」
พอผมถามคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ เออซูร่ากับไคลอาก็มองหน้ากันแล้วยิ้มออกมา
ก่อนที่ไคลอาจะพูดออกมา
「ระหว่างที่ฉันฝึกฝนตัวเองอยู่ที่นี่ ฉันก็ได้ดูแลคลิมไปด้วยนะคะ เนื่องจากการอบรมของคนที่พี่อย่างฉัน เด็กคนนั้นเลยได้ข้อสรุปประมาณว่าไม่อยากติดตามท่านโซระ แต่อย่างน้อยก็ไม่คิดเป็นศัตรูด้วยค่ะ」
「ก็ถือว่าดีไป ขืนหมอนั่นมาเรียกฉันว่า ท่านโซระ หรือ ท่านผู้นำ มีหวังได้ขนลุกทั้งตัวแน่」
ผมก็พูดติดตลกไป ทว่าก็รู้สึกดีที่หมอนั่นไม่คิดจะเป็นศัตรูกับผม
หากคิดถึงไคลอาแล้ว ยังไงผมก็ฆ่าหมอนั่นไม่ได้หรอกแถมจะปล่อยไว้เฉยๆ ก็ไม่ได้อีก
ผมไม่ใช่คนเดียวที่แกร่งขึ้นจากการอยู่ในคิไค คลิมเองก็คงได้เปิดโลกหลายๆ อย่าง ได้รู้จักกับพวกนากายามะ ได้เห็นถึงสิ่งที่ไม่เคยรู้ คงจะลำบากใจไม่น้อยหากหมอนั่นหนีไปเข้ากับมิตสึรุกิแล้วแทงข้างหลังพวกคิจินระหว่างอพยพ
ผมเลยบอกว่าเป็นข่าวดีที่ผมกังวลมากไปเอง ไคลอาเองก็เลือกจะอยู่ข้างผม คลิมที่รักพี่ตัวเองขนาดนั้นคงไม่คิดอะไรแปลกๆ หรอกมั้ง
จากนั้นไคลอาก็วางมือหนึ่งไว้บนแก้มเหมือนจะลำบากใจนิดหน่อย
「ท่านโซระคะ คลิมเองก็รู้สึกขอบคุณท่านจริงๆ นะคะทั้งเรื่องที่มาช่วยฉันเอาไว้เรื่องที่รักษาแขนของเขา ถึงสุดท้ายเขาจะไม่ได้อยากรับใช้ท่านแต่เขาก็ไม่มีวันหันดาบใส่ท่านแน่นอนค่ะ」
「หืม เธอมั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ? 」
「แน่นอนสิคะ」
พอเห็นไคลอาส่งยิ้มมาให้ผมก็ได้แค่เกาแก้มแล้วพยักหน้ารับ
แค่นึกภาพหมอนั่นแสดงความขอบคุณกับผมก็แอบขนลุกแล้ววุ้ย แต่จะพยายามคิดแล้วกันว่าดีกว่าโดนเกลียด ดูถูกหรือหยามอะไรทำนองนั้น
เอาเป็นว่าย้ายไปเรื่อง เออซูร่าหน่อยแล้วกันเนอะ
「หากพ่อของฉันยังมีชีวิตอยู่ เดี๋ยวฉันจะถามเรื่องตระกูลของเธอให้นะ ว่าแต่เธอจะรับได้ใช่ไหม? 」
「แน่นอนสิ อันที่จริงผมอยากจะเข้าไปถามด้วยตัวเองด้วยซ้ำ」
เออซูร่าตอบกลับมา
เมื่อ 10 ปีก่อน พ่อของเออซูร่าได้ถูกผู้นำตระกูลโฮโซอย่างอูรุยสังหาร ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเขาได้ไปรู้ถึงความลับระหว่างมิตสึรุกิกับคิไคเข้า
นั่นจึงทำให้เขาต้องถูกปิดปากไปโดยที่มิตสึรุกิมีส่วนรู้เห็น เออซูร่าเองก็คงจะคิดแบบเดียวกันหลังมาอยู่ที่คิไค
แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็เป็นเพียงการคาดเดา ยังไงก็ต้องไปถามคนที่เกี่ยวข้องอยู่ดี แม้จนถึงตอนนี้เออซูร่าจะไม่ได้เรียกร้องเรื่องนี้กับผม แต่ลึกๆ เธอก็คงอยากจะเค้นเรื่องนี้กับพ่อของผมจริงๆ สีหน้าของเธอมันชัดอยู่นะเออ
บางทีหลังรู้ความจริงจากปากพ่อผม เธออาจจะฆ่าพ่อผมทิ้งเลยก็ได้ แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่เนอะ ผมไม่ใช่คนที่มีสิทธิ์ไปบอกว่าอย่าพยายามแก้แค้นให้กับพ่อของตัวเองที่ถูกสังหาร ก็จริงว่าพ่อของผมไม่ใช่คนลงมือเองแต่ยังไงเขาก็มีส่วนที่ปล่อยให้ลูกน้องตัวเองถูกฆ่าอยู่ดี
เอาเป็นว่าสุดท้ายค่อยไปตัดสินใจกันหน้างานแล้วกัน พอคิดได้แบบนั้นผมก็ปล่อยพวกเธอไว้แล้วเดินทางไปยังที่พักของอาซึมะ
อ้อใช่ ผมลืมบอกไป ตอนนี้พวกผมตั้งค่ายกันอยู่แถวๆ เนินเขาใกล้ป้อมนันเท็น
4 พี่น้องนากายามะได้ออกมาจากไซโตะแล้วเดินทางมาตั้งค่ายกันตรงนี้
เหตุผลที่ผมทิ้งพวกเธอเอาไว้ก็เพราะไคลอาดูแลผมมาทั้งคืนจนไม่ได้หลับได้นอน อย่างน้อยให้เธอได้พักบ้างคงจะดี การพูดคุยกับพวกนากายามะก็เหมือนจะไม่ได้จบไวด้วยสิ
แถมไม่รู้ด้วยว่าพอออกจากประตูปีศาจไปแล้วเธอจะหาเวลาพักได้อีกไหม
นอกจากนี้ผมก็ไม่ไว้ใจให้เธออยู่คนเดียวด้วย เพราะเดาจากนิสัยเธอคงไม่คิดจะพักและเตรียมตัวเดินทางทันที ดังนั้นคงต้องขอให้เออซูร่าอยู่ด้วยเพื่อบังคับให้ไคลอาพักผ่อนบ้าง ก็คุยๆ มาบ้างแล้วเออซูร่าคงเอาอยู่แหละ
แล้วผมก็เดินไปหาพวกอาซึมะระหว่างที่คิดแบบนั้น
◆◆◆
ทันทีที่โซระจากไป เออซูร่าก็หายใจเข้าออกอย่างรุนแรง
ไคลอาที่เห็นก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง จนทำให้เพื่อนของเธอมองแรงใส่
「ไคลอา เธอจะหัวเราะเยาะใส่ผมมากเกินไปไหม」
「ฉันขอโทษจริงๆ แต่พอได้เห็นเออซูร่าที่มันจะสุขุมเสมอ เปลี่ยนสีหน้าสลับไปมาขนาดนี้มันก็อดทำไม่ได้น่ะ」
「โถ่…ถึงไม่ต้องบอกผมก็รู้ตัวดีน่า」
พูดจบเออซูร่าก็ถอนหายใจออกมา
เธอรู้ดีอยู่แล้วว่าตอนนี้อาการของเธอไม่คงที่เลยสักนิด แล้วสาเหตุมันก็ชัดเจน
แต่ถึงจะรู้ตัวก็ใช่ว่าจะสามารถหยุดมันได้
ผลก็คือเธอปฏิบัติตัวกับโซระราวกับเป็นเจ้านายของตัวเองไปแล้ว ซึ่งมันไม่ใช่วิถีปกติของเธอเลย แต่เธอก็คิดว่าช่วยไม่ได้เพราะเธอทำตัวไม่ถูกจริงๆ เมื่อเจอกับโซระตอนนี้ แถมจะให้มองตาคุยด้วยตรงๆ ก็ลำบากอีก
โซระที่เอาชนะพ่อของตัวเองได้แล้วมันแตกต่างจากโซระคนก่อนมาก
แน่นอนว่าไม่ใช่ ในเรื่องของรูปร่างหน้าตา แต่เป็นบรรยากาศ ความมั่นใจในการพูด ท่าการเคลื่อนไหว ก่อนหน้านี้โซระจะพูดคำว่า ท่านพ่อ ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นใจนัก แต่ตอนนี้เขากลับทำมันได้สบายๆ การเอาชนะพ่อของตัวเองได้คงจะปลดล็อกอะไรหลายๆ อย่างในตัวเขา
นอกจากนี้ถึงทางนั้นจะไม่สังเกตเห็น แต่โซระในตอนนี้ยิ้มบ่อยกว่าเมื่อก่อน นั่นทำให้หัวใจของเออซูร่าเต้นไม่หยุดทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มของเขา
เออซูร่าจึงกระแอมหนึ่งทีก่อนจะถามไคลอาโดยพยายามปิดรอยแดงบนแก้มของตัวเองด้วย
「ว่าแต่เธอเถอะทำไมถึงคุยกับโซระได้ตามปกติเลยล่ะ? จะบอกว่าไม่รู้สึกรู้สากับโซระที่ดูดีขึ้นมาขนาดนั้นงั้นเหรอ? 」
「ฉันใช้เออซูร่าเป็นตัวดึงความสนใจ จะได้ไม่ประหม่าไง」
「เดี๋ยวเถอะ」
พอเออซูร่าหรี่ตาจ้องมองเพื่อนสาวของเธอ ไคลอาก็เอามือปิดปากแล้วยิ้ม
「หุหุ ล้อเล่นน่า ก็จริงอยู่ว่าฉันรู้สึกทึ่งกับท่านโซระในตอนนี้มากไม่ต่างอะไรกับเออซูร่า แต่ว่า――」
「แต่ว่า? 」
「ฉันแตกต่างกับเธอตรงที่ฉันรักท่านโซระมาตั้งแต่ก่อนหน้าที่เขาจะไปสู้กับท่านผู้นำ ความรู้สึกที่ยากจะจางหายไปในวันที่เขาเอ่ยปากจะช่วยน้องชายของฉัน นั่นคงจะเป็นความแตกต่างระหว่างฉันกับเธอนะ」
เออซูร่าตกใจมากที่ไคลอาแสดงท่าทีเขินอายออกมาแต่ก็ไม่ได้มีความลังเลในคำพูดนั้นเลย
กลับกันเป็นฝ่ายเธอซะเองที่เขินจนหน้าแดงแทน
「ไม่รู้ทำไม ผมรู้สึกเขินแทนซะแล้วสิ」
「หญิงสาวในห้วงรักมักกล้ากว่าปกติ――อายากะเคยบอกเอาไว้น่ะ」
พอพูดแบบนั้นไคลอาก็ปิดปากที่หาวออกมา ผลกระทบจากการโต้รุ่งเริ่มทำงานแล้ว
เออซูร่าที่เห็นก็นึกถึงเรื่องที่โซระฝากเอาไว้ได้ เธอจึงรีบพาไคลอาไปนอนบนเตียง ถึงจะไม่ใช่ที่พักประจำของเธอแต่อย่างน้อยก็อยากจะให้ไคลอาได้พักเร็วที่สุด
ไม่นานนักไคลอาก็เริ่มหายใจเข้าออกอย่างแผ่วเบาบนเตียง
เออซูร่าก็เฝ้ามองดูใบหน้าเพื่อนร่วมรุ่นของเธอแล้วถอนหายใจออกมาอย่างไม่ทราบเหตุผล
——
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code