ตอนที่ 271 หยาบคาย
หลังจากปล่อยให้เออซูร่ากับไคลอาเอาไว้ ผมก็ออกจากเต็นท์มุ่งหน้าไปยังที่พักของอาซึมะ กษัตริย์แห่งนากายามะ
ระหว่างทางก็เจอเข้ากับคาการิ ก็นะคงไม่บังเอิญหรอกหมอนี่คงรอเจอผมตามคำสั่งของพี่ชายเขา
จากที่เห็นคงไม่ใช่แค่เออซูร่ากับไคลอาหรอกที่อยากจะฟังรายละเอียดเพิ่มเติมจากผม
แล้วก็อย่างที่คิด ในนั้นมีทั้งอาซึมะ โดกะ ฮาคุโร่ รวมกับคาการิก็ครบ 4 พอดี
――หลังจากพวกเขาได้ฟังแผนทั้งหมดจากปากของ อาซึมะก็กอดอกคิดด้วยสีหน้าที่จริงจัง
「ป่าทีทิสงั้นเหรอ การได้ยินชื่อของป่านี้ในเวลาเช่นนี้ มันทำให้รู้สึกเหมือนองค์เทพนำพาจริงๆ 」
「หืม? นายรู้จังป่าทีทิสด้วยเหรอ? 」
「รู้จักสิ แน่นอนว่าข้าไม่เคยเห็นกับตาตัวเอง แต่ชื่อของป่านี้ก็พบเจอได้ในตำนานที่เล่าต่อกันมาของคิจินเรา」
พอเห็นผมแสดงความประหลาดใจออกมา อาซึมะก็บอกผมเกี่ยวกับตำนานที่ว่า
300 ปีก่อนกลุ่มคามูนะที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเก็นโซเองก็มีต้นกำเนิดมาจากป่าแห่งนั้น
อาโทริผู้เป็นหัวหน้าของเก็นโซเองก็มาจากคามูนะเช่นเดียวกัน จึงไม่แปลกที่ชื่อของป่าทีทิสจะมีชื่อสืบต่อกันมาในหมู่คิจิน
พอพูดถึงคามูนะแล้วก็จริงว่าเป็นชื่อที่ผมคุ้นเคยจากความทรงจำของโซลอีทเตอร์ นอกจากนี้ซูซูเมะก็เคยบอกด้วยนี่เนอะว่าชื่อหมู่บ้านที่เธออยู่คือคามูนะ
จนถึงตอนนี้มีหลายๆ เรื่องให้ผมคิดเลยลืมเรื่องนี้ไป แต่พอมาคิดดูแล้วก็แปลว่าซูซูเมะเป็นคนของตระกูลเดียวกันกับที่ผนึกงูเอาไว้เมื่อ 300 ปีก่อนนี่หว่า
ซูซูเมะแห่งคามูนะกับผมที่มีสายเลือดมิตสึรุกิบังเอิญมาเจอกันในป่าทีทิส ก็นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกจริงๆ ถึงอาซึมะจะไม่พูดออกมา แต่ผมก็รู้สึกจริงๆ ว่ากำลังถูกบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ชี้นำ
พอแบบนี้แล้ว หญิงสาวดวงตาสีแดงที่ปรากฏในฝันของซูซุเมะจนเธอรู้สึกกังวลคราวก่อนอาจจะเป็นบรรพบุรุษของเธออย่างอาโทริก็ได้
ขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ อาซึมะก็พยักหน้าราวกับตัดสินใจได้แล้ว
「ข้าคิดว่าแผนของเจ้าก็ไม่เลวนะโซระ ทั้งสามคนล่ะว่ายังไง? 」
อาซึมะมองไปยังน้องๆ ของเขา แล้วก็เป็นโดกะที่เปิดปากพูดก่อน
「หากเฮียตัดสินใจแล้ว ข้าก็จะเชื่อฟังท่านในฐานะข้ารับใช้ อย่างไรก็ตามนี่เป็นเรื่องสำคัญต่ออนาคตของนากายามะ ข้าคิดว่าควรจะคิดแผนสองไว้รับมือด้วย」
「ข้าเห็นด้วยกับพี่รองนะ แผนนี้เหมือนจนะมีหลายฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้องจนกว่าพวกเราจะถึงป่าทีทิส จึงคิดได้ยากว่าทุกฝ่ายจะเห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของพวกเรา ดังนั้นข้าจึงคิดว่าพวกเราต้องมีแผนรับรองう」
ฮาคุโร่เห็นด้วยกับโดกะ
อาซึมะก็พยักหน้ารับคำตอบน้องชายเขา ก่อนจะหันไปยังคาการิ
น้องคนเล็กสุดตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ
「ข้ามองว่าพวกเราควรเดิมพันกับแผนของโซระ ยังไงความปรารถนาของพี่อาซึมะก็คือคืนดีกับพวกมนุษย์ ข้าไม่คิดว่าจะมีแผนใดเหมาะสมจะสานสัมพันธ์กับพวกมนุษย์ได้ดีกว่าแผนของโซระอีกแล้ว」
พอได้ยินแบบนี้โดกะก็แสดงสีหน้าปั้นยากออกมา
แล้วถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
「คาการิ ข้าว่าเจ้าควรคิดถึงในกรณีที่แผนล่มด้วยนะ เพราะมันหมายถึงการดำรงอยู่ของพวกเราเลย」
「หากล้มเหลวจริง ก็แค่ทำอย่างที่โซระบอกเสียสิ พี่โดกะอย่าลืมว่าพวกเรามีพลังเพียงพอจะทำแบบนั้นได้ ไม่มีใครสามารถดูถูกนากายามะของเราได้หรอก แม้จะเป็นกษัตริย์ของพวกมนุษย์ก็ตาม ดังนั้นหากพวกมันไม่ใฝ่หาสันติเราก็จะมอบความรุนแรงให้」
หากเจรจาดีๆ ไม่เป็นผล ก็เปลี่ยนใช้กำลังแทน
พอคาการิพูดแบบนั้น โดกะก็เผยรอยยิ้มออกมา
「ข้าเข้าใจแล้ว ดังนั้นข้าขอเสนอให้เจ้าไปยังป่านั้นพร้อมกับโซระ เพราะสถานการณ์แบบนี้คงจะไม่ดีนักหากส่งพวกลูกน้องไป แถมจะให้ข้าหรือฮาคุโร่ไปก็คงไม่ได้อีกเพราะอคติที่พวกข้ามีนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะขจัดได้ง่าย ทว่าคาการิ เจ้านั้นยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่เกิดมาได้ไม่นาน จงใช้สายตานี่มองโลกอย่างไม่มีบิดเบือนเสีย」
「ข้าไม่ติดอยู่แล้ว ว่าแต่พี่ฮาคุโร่ล่ะว่าอย่างไร? 」
「เฮ้อ ข้าคงจะค้านไปแล้วหากเจ้าวางแผนจะออกไปเที่ยวเล่นเฉยๆ แต่ดูจากท่าทางเจ้าก็น่าจะคิดถึงอนาคตของพวกเราในแบบของเจ้าดังนั้น ข้าเห็นด้วย แล้วพี่ใหญ่ล่ะ? 」
「นั่นสินะ ก็คงสะดวกกับโซระกว่าด้วยที่จะเดินทางกับคาการิ ยังไงก็ฝากน้องชายข้าด้วยล่ะ」
จากนั้นการสนทนากับ 4 พี่น้องก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น จะว่าไปการพูดคุยกับคนพวกนี้ก็ออกมาสวยเสมอเลยวุ้ย
ส่วนหนึ่งคงจะเป็นเพราะความคิดความอ่านของพวกผมมันคล้ายๆ กัน คิดแล้วก็ชวนให้ขำดีที่คนเกิดในตระกูลมิตสึรุกิแบบผมดันมาสนิทสนมกับพวกคิจินมากเสียกว่าคนในตระกูล
แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีปัญหาตามมาเลย
สิ่งที่โดกะกังวลเป็นพิเศษคือสถานะของพวกคิจินหลังอพยพไปแล้ว หากผมเป็นลอร์ดแห่งทีทิสแล้วเชิญพวกอาซึมะมายังป่าทีทิส พวกเขาก็จะกลายเป็นลูกน้องผม แถมมันยังหมายความว่าพวกเขาต้องขึ้นกับคานาเรียด้วย โดกะคงไม่สามารถทนได้แน่ที่ต้องก้มหัวให้คนพวกนั้น
ทว่าความกังวลของเขามันก็เป็นเรื่องที่ต้องคิดต่อหลังแผนอพยพสำเร็จ แต่ก็จริงสำหรับพวกคิจินคงขำไม่ออกแน่หากต้องมาก้มหัวให้พวกมนุษย์ ดังนั้นผมคงต้องคิดจุดนี้ให้ดีๆ หน่อย
ส่วนตัวผมหากได้รับตำแหน่งลอร์ดแห่งทีทิสจริง ก็ตั้งใจว่าจะแต่งตั้งอาซึมะให้เป็นคนดูแลดินแดนไปเลย แล้วค่อยหาทางเป็นเอกราชจากคานาเรีย หากเป็นไปได้ก็ตั้งประเทศใหม่ไปเลย
ส่วนผมก็จะกลายเป็นผู้เจรจากับอำนาจภายนอกของป่าแทนเพื่อไม่ให้มนุษย์กับคิจินต้องเป็นศัตรูกันอีก
คร่าวๆ คงประมาณนี้
…ก็จริงว่าไม่มีทางที่คานาเรียจะยอมให้อาณาเขตที่ตนปกครองได้รับอิสรภาพง่ายๆ แต่ว่ากันตามตรงหากพวกคิจินกับผมร่วมมือกันแค่กองทัพของคานาเรียน่ะไม่เท่าไหร่หรอก ดังนั้นการเจรจาโดยมีไพ่นี้อยู่คงไม่ใช่เรื่องยากนัก
ทว่าผมก็ต้องกลายเป็นศัตรูกับดยุกดรากุนอทด้วย แถมตอนนี้พวกเขาก็ติดหนี้ผมอยู่เยอะคงจะสามารถเอาบุญคุณไปเจรจาช่วยสร้างความสงบสุขแทนไหวมั้ง
ส่วนตระกูลมิตสึรุกิ หลังพวกคิจินอพยพกันเสร็จสิ้น ผู้นำตระกูลก็จะถูกส่งต่อไปให้รากุนะตามเดิมเป็นอันจบงาน
ไม่ว่าจะทางไหนผมก็ไม่คิดจะให้พวกอาซึมะมาอยู่ใต้เท้าผม ดังนั้นผมจึงแจกแจงประเด็นนี้กับโดกะอย่างชัดเจน
หลังปรับความคิดกันเสร็จ ผมก็เดินออกมาพร้อมคาการิแล้วรอให้ไคลอาตื่นเพื่อเดินทางไปป้อมนันเท็น
ทีนี้ก็มาลุ้นบทสรุปของพวกตระกูลมิตสึรุกิ ผมอาจจะถูกบุกโจมตีกะทันหันก็ได้ ทว่ากลับคิดผิด พอมาถึงป้อมพวกเขาก็รอต้อนรับผมด้วยความสุภาพ
「กำลังรออยู่แล้วครับท่านโซระ ไม่สิ――ท่านผู้นำ」
คนที่คุกเข่าก่อนจะก้มหัวลงก็ไม่ใช่ใครแต่เป็นโกซุ ชิมะ
เมื่อก่อนผมคงขมวดคิ้วเซ็งๆ แต่ตอนนี้ผมได้ปล่อยวางความทรงจำที่ดีและร้ายกับโกซุไปหมดแล้ว ว่ากันตามตรงแอบคิดนิดหน่อยว่าหมอนี่จะโจมตีผมเพื่อแก้แค้นให้กับพ่อผมด้วยซ้ำ
เอาเป็นว่าจากที่เห็นก็คงไม่มีใครตรงนี้อยากจะหาเรื่องแหละนะ
แล้วผมก็มารู้ทีหลังว่าพ่อของผมที่ปลิวไปจากการต่อสู้คราวก่อนเหมือนจะถูกเจอตัวแล้วทว่าก่อนหน้านี้ยังไม่ได้สติเฉยๆ แต่ช่วงเช้าที่ผ่านมานี้เขาเริ่มรู้สึกตัวแล้ว และบอกกับพวกธงแห่งผืนป่าว่าตนไม่เปลี่ยนใจในการเลือกผมเป็นผู้สืบทอด
เห็นว่ามีบางคนคัดค้านเพราะพ่อของผมยังหายใจสบายดีอยู่ทำไมต้องเปลี่ยนผู้นำตระกูลด้วย แต่พ่อของผมก็ปฏิเสธแล้วบอกว่าตนไม่สามารถทำหน้าที่ต่อไปได้แล้วหลังพ่ายแพ้และสูญเสียอนิม่าไป
โกซุจึงสรุปว่าอย่างน้อยก็ไม่มีใครค้านผมอย่างออกนอกหน้าแล้ว
พอกลับมาถึงเกาะ แล้วเข้าไปยังโถงประชุม พวกธงแห่งผืนป่าทุกคนที่มาก็หันมาให้ความสนใจกับผม
พวกเขาเริ่มก้มหัวเคารพผมจากทั้งสองฝั่งทาง โดยอัตราส่วนที่ก้มหัวเคารพกับไม่ทำก็ครึ่งๆ แถมพวกที่ก้มหัวให้บางคนสายตาที่ส่งมาก็แอบทิ่มแทงผมพอสมควร
พวกเขาไม่ได้เคารพผมในฐานะผู้นำตระกูลคนถัดไปแต่เป็นคนที่มิตสึรุกิ ชิกิบุตั้งใจจะให้เป็นผู้สืบทอดมากกว่า อย่าคิดว่าจะได้รับการยอมรับจากพวกเราง่ายๆ นั่นคือสิ่งที่พวกเขาสื่อมาถึงผม
เรื่องพลังความสามารถพวกเขาคงเห็นชัดแล้ว แต่ทำไมถึงยังคิดจะเป็นศัตรูกับผมอีกนะ
หรือพวกมันจะคิดประมาณว่า ถึงผมจะเอาชนะพ่อผมและได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้สืบทอดจริง แต่ผมก็ไม่สามารถปกครองตระกูลได้ทั้งหมดอยู่ดีเพราะอำนาจได้ถูกแบ่งลงไปเป็นชั้นๆ โดยเฉพาะของพวกธงแห่งผืนป่าระดับสูง มันเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในการปกครองดินแดน
ก็หมายความว่าผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมประณีประนอมกับพวกหัวหน้าหน่วยแม้พวกเขาจะแสดงความหยาบคายออกมา ถึงจะโดนจ้องด้วยสายตาไม่พอใจ หรือแสดงท่าทีไม่เกรงใจออกมาผมก็ต้องยอม นั่นคือสิ่งที่พวกเขาคิด
ความรู้สึกเหยียดหยามของพวกเขาที่มีต่อผมคงไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อ 5 ปีก่อนนัก พวกเขาคงเชื่ออย่างหมดใจว่าผมไม่มีทางมองข้ามหัวพวกระดับสูงไปได้
ความจริงที่ผมซึ่งกระจอกจนไม่สามารถผ่านพิธีทดสอบได้ กลับเอาชนะนักบุญดาบแล้วมายืนอยู่เหนือพวกเขาสำเร็จคงจะเป็นเรื่องทำใจรับได้ยาก
ผมหรี่ตามองดูพวกเขาที่เรียงรายกันอยู่
ผมก็ไม่ได้อยากจะร้องขอความภักดีจากคนพวกนี้อยู่แล้ว ผมจึงไม่อยากจะไม่บ่นกับท่าทางของพวกเขา
ทว่า คงไม่ใช่ตัวอยากที่ดีนักสำหรับคนที่ต้องมาดูแลตระกูลสักพักหนึ่ง การมีลูกน้องที่ไม่เคารพเจ้านายอย่างเปิดเผยเช่นนี้คงได้มีปัญหาเรื่องการอพยพไปยังป่าทีทิสแน่
จะโกรธ จะเกลียด หรืออยากจะฆ่าผม ผมก็ไม่ติดหรอก
แต่ถ้าคิดจะดูหมิ่นผมจนออกนอกหน้าขนาดนี้ ก็ไม่มีเหตุให้ผมต้องปล่อยไปเฉยๆ
「――――!!」
ผมเบิกตากว้างขึ้นและปลดปล่อยพลังคิออกมากดดันใส่ธงแห่งผืนป่าทุกคนภายในที่แห่งนี้
อย่างที่คิดถึงจะไม่ใช้อาภรณ์วิญญาณ แต่หลังจากเอาชนะพ่อของผมแล้วกลืนกินบัลเดอร์มา พลังที่ผมมีตอนนี้ถึงจะเอาเผ่าพันธุ์ในตำนานหลายตัวกองรวมกันก็เทียบไม่ติดหรอกนะเออ
เสียงร้องแห่งความประหลาดใจของพวกธงแห่งผืนป่าดังขึ้นจากสิ่งที่เกิดโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
「อะไรกัน……คึ!? 」
「อึก!? 」
「นี่…มะ!! บ้าอะไร…กัน!? 」
พวกธงแห่งผืนป่าคุกเค่าลงกับพื้นเสื่อทาทามิทันทีราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นกดทับเอาไว้
แล้วผมก็เดินผ่านพวกเขาไปอย่างสบายๆ ก่อนจะมุ่งไปที่นั่งชั้นบน ไคลอากับเออซูร่าที่ตามมาเหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าผมคิดทำแบบนี้ เลยเดินตามหลังผมมาอย่างไม่แปลกใจอะไร
นอกจากนี้ก็มีคาการิที่เอาผ้าพันหัวเอาไว้ แต่ในสถานการณ์แบบนี้พวกธงแห่งผืนป่าคงไม่มีเวลามาคิดกับตัวตนที่แท้จริงของเขาแน่
อย่างที่คิด พวกหัวหน้ากับรองหัวหน้าหน่วยยังทนกันไหว แม้หลายคนจะแสดงสีหน้าบิดเบี้ยวออกมาก็ตามส่วนคนที่ไม่แสดงอาการใดๆ เลยก็อย่างที่คิดเอาไว้
ว่าคือสองสุดยอดผู้คุ้มกัน
ทว่าถึงสีหน้าของเขาจะไม่เปลี่ยน แต่เหงื่อที่ไหลออกมาจากหน้าผากเล็กน้อยนั่นก็นับว่าได้รับผลไปพอตัว
ผมได้นั่งลงที่นั่งผู้นำตระกูล จุดที่พ่อของผมเคยนั่ง จากนั้นก็หยุดปล่อยพลังคิ
ก่อนจะพูดกับพวกธงแห่งผืนป่าที่กำลังได้พักหายใจ
「หากแค่แรงกดดันระดับนี้ยังหืดขึ้นคอก็ควรทำตัวดีๆ ตั้งแต่แรกสิหเห้ย จะให้ฉันมาบ่นท่าทีของพวกแกทุกครั้งมันก็น่ารำคาญนะ」
——-
Note 1 : ตั้งใจจะว่าเอาให้จบองค์ 2 (อีก 6 ตอน) แล้วพักแปลเรื่องนี้ไปก่อนเพราะมันจะชนแล้วนะครับ
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code