“ไม่มีประโยชน์! ยันต์ใช้ไม่ได้ผล” นอกจากความตื่นตระหนกแล้ว ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายยังรู้สึกเสียใจอีกด้วย ต่อให้คนที่ตายไม่ใช่พวกเขา แต่ความผิดพลาดเล็กน้อยนั้นก็อาจทำให้พวกเขาต้องตกเป็นอาหารของค้างคาวดูดเลือดได้ ยิ่งกว่านั้น ค้างคาวดูดเลือดพวกนี้ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถสลัดให้หลุดได้ พวกมันทำตัวเหมือนกำลังเล่นกับพวกเขาอยู่ แทนที่จะฆ่าพวกเขาทันที พวกมันกลับโจมตีเข้ามาเป็นระลอกราวกับต้องการลิ้มรสความหวาดกลัวของบรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายก่อนตาย
“ทำอย่างไรดีขอรับ” ชายคนหนึ่งกระตุกแขนเซียวหลิงอวี้ “นายน้อยเซียว พวกเราใช้ยันต์ทั้งหมดไปกับการทำตามที่ท่านสั่งแล้วขอรับ ตอนนี้พวกเราไม่มียันต์เหลือแม้แต่แผ่นเดียว ทั้งยังไม่มีหนทางในการรับมือกับค้างคาวพวกนั้นอีกด้วย เราจะทำอย่างไรกันดีขอรับ พวกเราจะทำอย่างไรดี”
เซียวหลิงอวี้ผลักคนคนนั้นออกอย่างแรง กระดิ่งหยกสีม่วงในมือหล่นลงกับพื้นทันทีที่เขาทำเช่นนั้น ใบหน้าของเขาแดงก่ำขณะกล่าวว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ค้างคาวพวกนั้นไม่ได้กัดข้า ถ้าพวกเจ้าอยากโทษใครก็โทษตัวเองก็แล้วกัน เจ้าควรมองหาปัญหาของตัวเอง ดูให้ดีซะว่าเจ้าจุดยันต์ผิดวิธีหรือเปล่า” มันควรเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว อย่างไรสิ่งเดียวที่เขาต้องการก็คือโอกาสที่เขาจะได้หลบหนีไปอีกครั้งนั่นเอง!
แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือเสียงหัวเราะติดจะเกียจคร้านที่ลอยแว่วเข้ามาในหูพร้อมกับประโยคที่ว่า “อย่าเพิ่งรีบร้อน ครั้งนี้ค้างคาวดูดเลือดได้ไปหาเจ้าแน่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซียวหลิงอวี้ก็หันกลับไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยทันที เขาไม่มีเวลาได้พิจารณาคำพูดนั้นให้ดี แต่กลับตอบด้วยใบหน้าไร้สีเลือดว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“กระดิ่ง” เสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยเยือกเย็นอย่างมาก แม้กระทั่งสีหน้าของนางก็ยังดูเฉยชา “กระดิ่งหยกสีม่วงที่เจ้าถือเพิ่งหล่นไป ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด กระดิ่งอันนั้นคงเป็นวัตถุบูชาจากวัด เหตุผลเดียวที่เมื่อครู่นี้ทำให้ค้างคาวดูดเลือดพวกนั้นไม่ดูดเลือดเจ้าก็คงเป็นเพราะกระดิ่งอันนั้น ไม่ใช่เพราะเจ้ามียันต์อยู่ในมือ ยิ่งกว่านั้น ค้างคาวดูดเลือดใช้เสียงในการหาทิศทางการเคลื่อนไหว แต่เจ้ากลับเอาแต่ร่ายอาคมออกมาเสียงดัง หึๆ นายน้อยเซียว ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายของตระกูลเจ้าก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีฝีมือเท่าใดนัก แม้กระทั่งความรู้พื้นฐานเช่นนี้พวกเขาก็ยังไม่รู้กันเลยด้วยซ้ำ”
ตั้งแต่ตอนที่นางเริ่มพูดถึงกระดิ่งที่เขาบูชามาจากวัด ดวงตาของเซียวหลิงอวี้ก็เริ่มกระตุกไม่หยุด เขาเผลอก้มลงมองกระดิ่งหยกสีม่วงที่ตกอยู่ข้างเท้าโดยไม่รู้ตัว มันแตกเป็นเสี่ยงจนไม่หลงเหลือเค้าเดิมอีก และเมื่อเป็นเช่นนี้ มันย่อมหมายความว่าเขาไม่สามารถใช้กระดิ่งอันนี้ได้อีกต่อไป
เซียวหลิงอวี้ไม่เคยรู้สึกเสียใจในการตัดสินใจของตัวเองมากถึงเพียงนี้มาก่อน นิ้วของเขากำเศษกระดิ่งที่แตกเป็นชิ้นๆ ไว้แน่น แล้วดวงตาของเขาก็พลันแดงก่ำ เช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ เขาเองก็กลัวค้างคาวดูดเลือดระลอกใหม่ที่กำลังจะเข้ามาเหมือนกัน!
คนพวกนี้ควรเชื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยตั้งแต่แรก และตอนนี้พวกเขาเริ่มตระหนักได้แล้วว่านางไม่ใช่คนโง่ แต่เป็นยอดฝีมือตัวจริงเสียงจริง
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายพากันเดินไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวยราวกับเห็นความหวังที่จะรอดชีวิต
บรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่เคยดูถูกนางไว้ก่อนหน้านี้ มาตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน แม้กระทั่งคำพูดคำจาก็ยังฟังดูระมัดระวังมากขึ้น
แม้แต่เซียวหลิงอวี้ก็ยังดูลนลาน เขารีบลุกขึ้นจากพื้นแล้วมองตรงไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวย “เช่นนั้นเจ้าบอกได้หรือไม่ว่าพวกเราต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถกำจัดค้างคาวดูดเลือดพวกนั้นได้”
เซียวหลิงอวี้ในเวลานี้ได้สูญเสียความอวดดีที่เคยมีก่อนหน้านี้ไปแล้ว แม้แต่เสียงของเขาก็ยังฟังดูร้อนรนและแสดงให้เห็นถึงความลำบากใจ เขาไม่อยากยอมรับเรื่องนี้เพราะอย่างไรเขาก็ไม่เคยก้มหัวให้ใครมาก่อน แต่นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องทำเช่นนี้!
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหลือบมองเขา แล้วเอ่ยช้าๆ ว่า “ทำไมข้าต้องบอกเจ้าด้วย นายน้อยเซียว อย่าลืมว่าเมื่อครู่นี้เจ้าต้องการให้เราคุกเข่าขอร้องเจ้า”
“ข้า…” เซียวหลิงอวี้สังเกตเห็นสายตาที่คนอื่นๆ มองมา ใบหน้าของเขาเห่อร้อนขึ้นมาด้วยความอับอาย แต่ในเวลานี้เขาจำเป็นต้องก้มหน้ายอมรับในความพ่ายแพ้ของตัวเอง “เมื่อครู่นี้ข้าเพียงแค่พลั้งปากไป ข้าไม่ได้ตั้งใจพูดเช่นนั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเยาะ “นายน้อยเซียว ท่านกำลังขอร้องพวกข้าอยู่หรือ”
“ใช่” มือของเซียวหลิงอวี้กำแน่นเข้าหากัน รอยยิ้มยังคงแข็งค้างอยู่บนใบหน้าของเขา เขารู้สึกว่าเขาได้ทำทุกสิ่งที่ตัวเองสมควรทำไปหมดแล้ว
แต่ชายที่ยืนอยู่ตรงข้ามเขากลับเพียงพูดขึ้นเนิบๆ ว่า “พวกข้าไม่รับคำขอร้อง”
เซียวหลิงอวี้เงยหน้าขึ้นมองไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างรวดเร็ว ชายคนนั้นยังคงมีรอยยิ้มชั่วร้ายเหมือนกับตอนเริ่มออกเดินทางทุกกระเบียดนิ้ว ริมฝีปากบางที่โค้งขึ้นเล็กน้อยนั้นทำให้เขาดูเหมือนปีศาจที่ปรากฏกายขึ้นยามค่ำคืน
เรื่องทั้งหมดนี้ทำให้เซียวหลิงอวี้รู้สึกเหมือนเหตุการณ์เหล่านี้ล้วนแต่เป็นการเอาคืนในสิ่งที่เขาพูด!
ก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทาง เขาเคยพูดไว้ว่าเขาจะทำให้สองคนนี้ร้องไห้อ้อนวอนเขาตรงหน้า
หลังจากออกเดินทางได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น และคนที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญอยู่ในเวลานี้ก็คือเขาเอง!
ไม่มีอะไรน่าอัปยศอดสูไปกว่านี้อีกแล้ว!
ตอนนั้นคนอื่นๆ ยังเข้าข้างเขา แต่ตอนนี้สถานการณ์แตกต่างออกไป
เมื่อคิดได้ดังนี้ เซียวหลิงอวี้ก็อยากขุดหลุมแล้วฝังตัวเองไว้ในนั้น!
ในที่สุดเขาก็ได้ลิ้มรสการกระทำของตัวเอง
แต่ความหวาดกลัวที่อยู่ลึกลงไปในใจนั้นทำให้เขาไม่คิดที่จะสนใจเรื่องพวกนี้อีก เขาสนใจเพียงแค่ว่าจะหนีจากค้างคาวดูดเลือดระลอกใหม่ได้อย่างไร
เซียวหลิงอวี้สลัดคราบนายน้อยของตัวเองทิ้ง แล้วคว้าแขนเสื้อของจูเก่ออวิ๋นเอาไว้ แม้แต่เสียงของเขาก็ยังสั่นตอนที่พูดว่า “พี่อวิ๋น พวกเราเป็นเพื่อนเล่นและเติบโตมาด้วยกัน จำได้หรือไม่ว่าตอนที่เรายังเด็ก เราเคยสัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งกันหากเราฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการความช่วย ข้าขอให้เจ้ามองข้ามที่ก่อนหน้านี้ข้าทำตัวโง่เขลา และทำให้เจ้าต้องกลายเป็นตัวตลก ข้าจะไม่ทำเช่นนั้นอีกแล้ว พี่อวิ๋นช่วยบอกให้พวกเขาช่วยข้าที!”
จูเก่ออวิ๋นรู้ว่าเซียวหลิงอวี้ไม่มีวันคุกเข่าอ้อนวอนใครง่ายๆ
เพราะคนคนนี้อวดดีพอๆ กับหนีหู่
แต่เขาก็แตกต่างจากหนีหู่เล็กน้อย เพราะต่อให้เขาจะกลั่นแกล้งหรือดูถูกเหยียดหยามเขา แต่เขาก็ไม่เคยกลั่นแกล้งตระกูลจูเก่ออย่างโจ่งแจ้ง
ในฐานะผู้ขับไล่วิญญาณร้าย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องรู้ผิดชอบชั่วดี
ในเมื่อเขาไม่ได้ทำอะไรเกินเลยนัก เขาจึงไม่สามารถยืนเฉยมองดูเขาตายได้
จูเก่ออวิ๋นหันหน้ากลับไปแล้วกำหมัดทำความเคารพเฮ่อเหลียนเวยเวยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ท่านผู้มีพระคุณทั้งสอง หากท่านมีหนทางก็ได้โปรดบอกพวกเขาเถิดขอรับ”
ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่าองค์ชายใช้วิธีการเช่นใด เพราะทั้งหมดที่เขาทำก็คือแค่ยืนอยู่ตรงนั้นและเผยกลิ่นอายของตัวเองออกมา จากนั้นค้างคาวดูดเลือดทุกตัวต่างก็พากันบินห่างออกจากเขา
ทารกที่ตัวโตกว่าในท้องของเฮ่อเหลียนเวยเวยส่งเสียงอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักเมื่อได้ยินเสียงเอะอะจากด้านนอก เขาเบะปากพร้อมกับเอ่ยขึ้นอย่างอวดดีว่า “มนุษย์พวกนี้ไร้ประโยชน์จริงเชียว แค่ค้างคาวก็กลัวกันจนหัวหดเสียแล้ว”
“พวกมันเป็นค้างคาวดูดเลือด และเมื่อครู่นี้ก็ยังฆ่าคนไปหลายคน มนุษย์ไม่เหมือนกับพวกเรา พวกเขาย่อมกลัวสิ่งเหล่านั้น” ทารกที่ตัวเล็กกว่าพยายามอธิบายเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง
ดวงตาสีแดงราวกับเลือดของทารกที่ตัวโตกว่าเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยาม “ช่างเป็นเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอยิ่งนัก!”
ทารกที่ตัวเล็กกว่ารู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องเตือนอีกฝ่าย “ท่านพี่ ท่านแม่ของเราก็เป็นมนุษย์เหมือนกันนะ”
“ท่านแม่ต่างออกไป” ทารกที่ตัวโตกว่าตอบโดยพลัน “เจ้ากับท่านแม่ พวกเจ้าสองคนไม่เหมือนกับคนพวกนี้”
ทารกที่ตัวเล็กกว่าพึมพำตอบว่า “ท่านแม่ย่อมมีทางออกเสมอ”
“ใช่แล้ว ไม่เหมือนกับท่านพ่อที่รู้จักแต่การใช้กำลังข่มขู่ผู้คน” ทารกที่ตัวโตกว่าเย้ยหยัน
ทารกที่ตัวเล็กกว่าขยับมือโปร่งใสของตัวเองอย่างเงียบๆ พร้อมกับคิดกับในใจว่า : ท่านพูดเรื่องนี้ขึ้นมาพราะตั้งใจที่จะถากถางท่านพ่อสินะ…