ปัง ปัง ปัง!
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลอดเข้ามาในร้านเล็ก เสียงร้องแต่ละครั้งหมายถึงมีผู้ฝึกตนที่ร่างกายระเบิดแหลกเหลวกลายเป็นเศษเลือดเศษเนื้อหนึ่งคน
นี่คือนรกบนดินอย่างแน่นอน สิ่งที่เกิดขึ้นน่ากลัวมากเสียจนทำให้หัวใจของทุกคนบีบรัดรุนแรงทันทีที่เห็นโศกนาฏกรรมสีเลือดตรงหน้า
เจ้าขาวกลับไปสู่ระบบปฏิบัติการดวงตาสีแดงอีกครั้ง เลือดที่ชุมโชกอยู่บนร่างของมันก็หายไปหมดแล้วเช่นกัน มันกลับไปเป็นเจ้าขาวตัวอวบอ้วนน่ารักที่มายืนอยู่ข้างหลังปู้ฟางดังเดิม
หนี่หยันและคนอื่นๆ อึ้งจนขยับร่างกายไม่ได้ สีหน้าของพวกเขาขาวซีดเหมือนซากศพขณะมองทุ่งสังหารตรงหน้า
ไม่มีใครเคยเห็นความน่าสยดสยองขนหัวลุกเช่นนี้มาก่อน แม้แต่ตัวเซียวเหมิงเองที่ใช้ชีวิตอยู่กับการสู้รบจนเคยชินยังหัวใจกระตุกสั่นสะท้าน รูขุมขนทั้งบนล่างเปิดออก หลังเปียกชุ่มโชกด้วยเหงื่อเย็น!
เยี่ยจึหลิงดวงตาเบิกกว้าง ปากไร้ซึ่งสีเลือด นางเป็นสตรีว่านอนสอนง่ายที่ใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนแสนภูผามาตลอด แม้ขั้นปราณจะจัดว่าใช้ได้ แต่ก็ไม่เคยอยู่ในสนามรบมาก่อนในชีวิตนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการได้มาเห็นภาพเหตุการณ์น่าตกใจที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ด้วยซ้ำ
สายตาของทุกคนที่มองไปยังสุนัขล่าเนื้อสีดำตัวใหญ่ซึ่งยืนอยู่กลางตรอกและกำลังหอนอยู่นั้น เต็มไปด้วยความยำเกรงสุดหัวใจ
ปู้ฟางเองก็หน้าซีดไปเล็กน้อยเช่นกัน แต่เขาก็ยังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะควบคุมอารมณ์ให้ได้
เสียงเห่าหอนของสุนัขร้ายไม่ได้ดังไปทั่วนครหลวง เนื่องจากเจ้าดำใช้พลังปราณของตนสะกดเอาไว้ให้อยู่ภายในตรอกเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ที่ด้านนอกตรอก นครหลวงจึงยังคงสงบสุขเหมือนเดิม ไม่มีแม้กระทั่งกระแสพลังปราณน่ากลัวเล็ดลอดออกไปแม้แต่น้อย
พื้นตรอกแตกยับชุ่มโชกไปด้วยเลือดสดๆ
หลายคนที่หนีออกจากตรอกได้ทันก็แทบจะเสียสติไป พวกเขาไม่กล้าหันหลังกลับมามองแม้แต่ครั้งเดียว เอาแต่คิดหนีออกไปจากที่นี่อย่างลนลานบ้าคลั่งเท่านั้น
ผู้ที่หนีรอดออกไปได้เป็นผู้ที่มีพลังปราณขั้นนักพรตยุทธการเป็นอย่างต่ำ เนื่องจากแต่ละคนล้วนมีวิธีการเอาตัวรอดเฉพาะตัว จึงรอดจากการสังหารหมู่นี้ไปได้
เสียงเห่าหอนของสัตว์ร้ายเงียบลง
ตัวสุนัขล่าเนื้อเองก็ก้มศีรษะที่เมื่อครู่เงยขึ้นไปบนฟ้าลงแล้วเช่นกัน ดวงตากวาดมองไปรอบกายอย่างไร้ความรู้สึก แล้วก็พบว่าตนเองกลับมายืนอยู่ในตรอกว่างเปล่าไร้ผู้คนอีกครั้ง มันส่งเสียงฮึดฮัดขึ้นหนึ่งครั้งก่อนจะหดขนาดลง กลับไปอยู่ในร่างสุนัขอ้วนที่ชื่อเจ้าดำดังเดิม
เจ้าดำเดินกลับเข้าร้านด้วยท่าทางเยื้องย่างเหมือนแมว
พลังกดดันน่ากลัวเองก็สลายหายไปจากตรอกเช่นกัน ทุกคนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ความตึงเครียดที่พอกพูนมาตลอดเมื่อต้องเผชิญประสบการณ์สยองขวัญค่อยๆ หายไปจากร่างกาย จนรู้สึกราวกับได้ยกภูเขาหนักอึ้งออกจากอก
เจ้าดำเปิดปากหาว ท่าทางเกียจคร้านตัวเป็นขนของมันเช่นนี้…ราวกับกำลังยียวนกวนประสาททุกคนในที่แห่งนี้อย่างไรอย่างนั้น
ทว่าเซียวเหมิงกลับมองไปที่เจ้าดำด้วยความยำเกรง ไม่กล้าแม้แต่จะแสดงความยกย่องชื่นชมออกมาด้วยซ้ำ
ปู้ฟางลูบศีรษะเจ้าดำ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้คนที่ลอยอยู่เหนือท้องฟ้าบนตรอก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “ยังมีใครอยากได้ผลตื่นรู้ทั้งห้าสายอยู่อีกหรือไม่”
อยากได้รึ อยากได้กับผีมารดาเจ้าน่ะสิ!
ทุกคนก่นด่าประท้วงในใจ แน่นอนว่าพวกเขายังอยากได้อยู่แต่ใครจะกล้ากันเล่า หากต้องเผชิญหน้ากับสุนัขน่ากลัวตัวนี้…เห็นทีคงไม่เหลือแม้แต่ศพเอาไว้ให้แต่งหน้าเป็นแน่ แม้แต่ขั้นเทพแห่งสงครามก็คงกลายเป็นเพียงมดปลวกหากต้องต่อสู้กับมัน
“เอ่อ…พวกเจ้าไม่ต้องเสียกำลังใจหรือผิดหวังไปหรอก” ชายหนุ่มมองไปยังผู้คนบนท้องฟ้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เหตุผลที่ข้าไม่ขายผลตื่นรู้ทางห้าสายเพราะข้าต้องใช้ผลไม้นี้ทำอาหาร พวกเจ้าอาจจะซื้อผลตื่นรู้ทางห้าสายไม่ได้ แต่ยังสามารถซื้ออาหารที่ใช้ผลไม้นี้ทำได้ ข้ามั่นใจว่าอาหารจานนี้จะไม่ทำให้พวกเจ้าผิดหวังอย่างแน่นอน”
ทำอาหารโดยใช้ผลตื่นรู้ทางห้าสายเช่นนั้นรึ สีหน้าของทุกคนบนท้องฟ้าดูพิกลราวกับยังย่อยสิ่งที่ปู้ฟางพูดไม่ได้
ผลตื่นรู้ทางห้าสายเป็นสมบัติล้ำค่ายากหาสิ่งใดเปรียบ แต่เจ้ากลับจะเอาไปทำกับข้าวเนี่ยนะ
สีหน้าของจ่านคงและเปี้ยนฉางกงดูงุนงงเหมือนไก่ตาแตก
แต่ตาแก่ขี้เมากลับฉีกยิ้มยิงฟัน รู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างน่าสนใจเสียเหลือเกิน เขาเองก็อยากใช้ผลตื่นรู้ทางห้าสายมาหมักสุรา แต่ปู้ฟางกลับอยากใช้ทำอาหาร…ความคิดของทั้งสองคนแม้จะไม่เหมือนกันในเชิงวิธีการ แต่ย่อมให้ผลลัพธ์ไปในทางเดียวกันอย่างแน่นอน
ตาแก่ขี้เมาเริ่มระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างปรีดา เขายกน้ำเต้าขึ้น รินสุราใส่จอกให้ตัวเองราวกับกำลังพยายามควบคุมความลิงโลดใจให้สงบลง
จากนั้นชายชราก็ลากเจ้าลาแสนดื้อลงไปที่กลางตรอก แล้วเดินไปยังร้านอาหารของปู้ฟาง
สุดท้ายเขาก็ผูกลาเอาไว้ในตรอกด้านนอกร้าน
“ข้าจะตั้งตารออาหารที่ทำจากผลตื่นรู้ทางห้าสายฝีมือเถ้าแก่ปู้นะ” ชายชราขี้เมายิ้ม
ปู้ฟางหันไปมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็พยักหน้าให้แล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
จ่านคงและคนอื่นๆ ที่อยู่บนท้องฟ้าขมวดคิ้ว สุดท้ายก็เลือกกลับลงสู่พื้นแล้วเดินเข้าร้านไปเช่นกัน
เหตุการณ์โกลาหลจบลงในที่สุด ไม่มีใครรู้ว่าผู้ฝึกตนที่เสียชีวิตในตรอกแสนธรรมดาแห่งนี้มีทั้งหมดกี่คน มีขั้นนักพรตยุทธการบางคนที่หนีรอดออกจากตรอกได้ แต่พวกเขาก็รีบกระวีกระวาดออกจากเมืองไปทันทีโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง ทุกคนกลัวสุนัขตัวนั้นจนขึ้นสมอง
พ่อครัวเงาหวังติงค่อยๆ เดินไปบนถนนของนครหลวง ในมือข้างหนึ่งถือเหยือกกระเบื้อง หน้าตาของเขาดูสงบนิ่งเป็นอันมาก
“กระแสพลังปั่นป่วนหายไปไหนหมดแล้ว หรือว่าข้ามาถึงช้าเกินไป…การต่อสู้จบลงแล้วเช่นนั้นหรือ” พ่อครัวเงาดูงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก จากความเข้าใจของเขา เป็นไปไม่ได้เลยที่ร้านเล็กๆ แห่งนี้จะต้านทานพลังการโจมตีร้ายกาจของผู้ฝึกตนจากทุกทิศทางได้
เขามาถึงปากทางเข้าตรอกแล้วเยี่ยมหน้ามองเข้าไปข้างใน ตรอกนี้ร้างผู้คน ไม่มีแม้แต่สิ่งมีชีวิตอยู่ภายใน
แต่กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งกลับโชยพุ่งเข้าโพรงจมูก ทำให้พ่อครัวเงารู้สึกราวกับตนเองถูกจับโยนลงมหาสมุทรโลหิตอย่างไรอย่างนั้น
พ่อครัวเงาสูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าดูจริงจังขณะก้าวเท้าเข้าตรอกมา ทันทีที่เท้าของเขาแตะพื้น ฝ่าเท้าก็ยวบลงไป ชายชราตกใจเป็นอันมาก รีบก้มลงมองว่าตนเองเหยียบอะไรเข้า พื้นตรอกที่เห็นนั้นถูกปกคลุมด้วยผงละเอียดหนา..
“เกิดอะไรขึ้น…ในตรอกนี้กันแน่!” หัวใจของพ่อครัวเงาเริ่มเต้นระส่ำด้วยความกระสับกระส่าย
“เงียบเหมือนป่าช้า…หรือว่าการต่อสู้จะจบลงแล้วจริงๆ เช่นนั้นเหตุใดร้านเล็กๆ นี่จึงยังไม่พังอีก”
พ่อครัวเงาเดินทอดน่องไปยืนอยู่หน้าร้าน แล้วก็พบว่าในร้านเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย!
“หรือว่าร้านนี้จะถูกบุกรุกแล้วโดนยึดเรียบร้อยแล้ว มีความเป็นไปได้…เป็นไปได้สูงทีเดียว!” ชายชรามั่นใจมากว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น พลางสูดหายใจเข้าลึก
พ่อครัวเงาไม่ลังเลอีกต่อไป เขาเปิดฝาเหยือกกระเบื้องออก
กลิ่นคาวคละคลุ้งเหม็นเน่าลอยออกจากเหยือก ทำให้พ่อครัวเงาขมวดคิ้วเล็กน้อย ช่างเหม็นเกินทานทนอะไรเช่นนี้!
ที่ปากทางเข้าร้าน พ่อครัวเงาดื่มน้ำแกงจากเหยือกจนหมดในคราวเดียว ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าเส้นปราณทุกเส้นในร่างกายเริ่มบวมออก
เพล้ง!
เหยือกตกลงกระทบพื้นแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เสียงนี้ทำให้ทุกคนในร้านหันมามองทันที พวกเขามองออกมานอกร้านแล้วก็เห็นชายชราผมเผ้ารุงรังกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ต่อสู้กับอาการกระตุกรุนแรงของร่างกาย
หลังจากชักอยู่บนพื้นสักพัก ชายชราผู้นั้นก็ลุกขึ้นยืน ใบหน้าที่ควรจะเหี่ยวย่นดูอ่อนเยาว์ลงมากอย่างไม่คาดฝัน
พ่อครัวเงาหวังติงหมุนคอแก้เมื่อย รู้สึกได้ถึงพลังปราณปริมาณมหาศาลและพละกำลังมากมายในร่างกาย เขาพยายามสะกดเสียงหัวเราะด้วยความปรีดา นี่น่ะหรือพลังของขั้นเทพแห่งสงคราม ไม่แปลกใจเลยหากผู้ที่ได้สัมผัสจะรู้สึกมัวเมาในอำนาจ
“ต่อไปก็ถึงเวลาที่ข้าจะเข้าไปชิงผลตื่นรู้ทางห้าสายแล้ว”
พ่อครัวเงาเชิดหน้าขึ้นยิ้มชั่วร้าย ดวงตามองไปยังผู้คนที่อยู่ภายในร้านซึ่งจ้องมายังเขา
…
ปู้ฟางหยิบผลตื่นรู้ทางห้าสายขึ้นมาแล้วเดินกลับเข้าครัวไป เขาวางผลไม้ที่มีสีสันเจิดจ้าส่องแสงเรืองรองพร้อมพลังปราณจำนวนมหาศาลลงบนโต๊ะทำกับข้าว
ชายหนุ่มจ้องผลไม้สามผลตรงหน้าพลางขมวดคิ้ว ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ขณะยกมือขึ้นมาลูบคางด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ภารกิจที่ได้รับมาคือการใช้ผลตื่นรู้ทางห้าสายทำอาหาร และอาหารจานนี้จะถือว่าใช้ได้ก็ต่อเมื่อระบบบอกว่าผ่านเกณฑ์เท่านั้น แต่ปัญหาคือเขาควรจะทำอาหารแบบใดออกมา นี่เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องขบคิด และตัวเขาก็ยังแก้ไม่ได้
“ใช้วิธีทำสลัดแตงกวาแบบทุบกับผลตื่นรู้ทางห้าสายเพื่อให้ยังมีรสสัมผัสของผลไม้อยู่ดีไหมนะ” ปู้ฟางพึมพำ แต่สุดท้ายก็ปัดความคิดนี้ออกไปอย่างรวดเร็ว หากเขาใช้วิธีการนี้ อาหารจานนี้ต้องไม่ผ่านการประเมินของระบบอย่างแน่นอน เนื่องจากระบบนั้นมีความคิดที่ถี่ถ้วนรอบคอบเป็นอันมาก คงไม่มีทางปล่อยให้ปู้ฟางทำภารกิจสำเร็จได้ง่ายๆ
หลังจากที่คิดอยู่นาน ชายหนุ่มก็หยิบผลตื่นรู้ทางห้าสายออกมาผลหนึ่ง พร้อมทั้งเรียกกลุ่มควันสีเขียวออกจากมือ จากนั้นมีดทำครัวกระดูกมังกรทองสีดำสนิทหน้าตาเรียบไร้ซึ่งพิษภัยก็ปรากฏขึ้นในมือ
ชายหนุ่มหยิบเขียงออกมา แล้วควงมีดเพื่อหั่นผลไม้ออกเป็นสองซีก
กลิ่นผลไม้หอมเข้มข้นกระจายทั่ว ตามมาด้วยความร้อนเบาบางที่ไม่คาดคิด หลังจากผ่าผลไม้แล้ว เนื้อผลไม้ภายในก็เริ่มปล่อยน้ำชุ่มฉ่ำอุ่นๆ ออกมา
หลังประเมินผลตื่นรู้ทางห้าสายเสร็จ ชายหนุ่มก็พึมพำกับตนเองอยู่สักพักก่อนจะเริ่มหั่นผลไม้อย่างรวดเร็ว เขาแบ่งเนื้อผลไม้ออกเป็นชิ้นเท่าๆ กัน
ปู้ฟางตัดสินใจทำอาหารออกมาหนึ่งจานก่อนเพื่อทดสอบ
เขาหยิบไข่ออกมาจากตู้ ไข่นี้เป็นไข่ของอสูรเวทระดับห้า ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนับว่ายังห่างชั้นกับผลตื่นรู้ทางห้าสายอยู่มาก
ชายหนุ่มตอกไข่ลงในชามแล้วตี เขาจุดไฟจากนั้นก็เริ่มอุ่นกระทะให้ร้อน
เขารอให้กระทะร้อนได้ที่ก่อนจะเทน้ำมันลงไป พอน้ำมันเริ่มเดือดก็ใส่ผลตื่นรู้ทางห้าสายที่หั่นเป็นชิ้นส่งกลิ่นหอมฟุ้งอัดแน่นไปด้วยพลังปราณลงในกระทะ เสียงฉ่าดังขึ้นทันที
น้ำมันกระเด็นไปทั่วทุกทิศทาง
ปู้ฟางควบคุมพลังปราณแล้วส่งมันเข้าไปในกระทะ เขาควบคุมทิศทางของพลังปราณเพื่อป้องกันไม่ให้พลังปราณในผลไม้ถูกกระบวนการทำอาหารทำลาย
หลังจากผัดอยู่สักพักชายหนุ่มก็เทไข่ตามลงไป นอกจากนี้ยังใส่ผลตื่นรู้ทางห้าสายที่หั่นแล้วลงไปเพิ่มด้วย ไข่และผลไม้ผสมเข้าด้วยกัน แปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นหอมฟุ้งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนกำลังเมามายทันที
ปูฟางดมกลิ่นอาหารในอากาศ รู้สึกว่าสมองของตนพลันปลอดโปร่งโล่งขึ้นมา ช่างเป็นกลิ่นที่สดชื่นอะไรเช่นนี้!
“หอมมาก!” เขาชมเปาะ แล้วก็เริ่มผัดไข่กับผลไม้เร็วๆ
ไม่นานนักไข่ก็เริ่มสุก เนื่องจากอาหารจานนี้มีน้ำของผลตื่นรู้ทางห้าสายรวมอยู่ด้วย ไข่ที่สุกแล้วจึงไม่ได้เป็นสีเหลืองอ่อนนุ่มอย่างที่ควรเป็นตามปกติ แต่กลับดูโปร่งแสงเป็นประกายราวกับถูกแช่แข็งเอาไว้
ปู้ฟางปิดฝากระทะเพื่อนึ่งมันสักพัก เขาควบคุมพลังของตนให้ดึงเอาพลังปราณภายในกระทะออกมา ทำให้ระดับกระแสพลังปราณภายในนั้นอยู่ในจุดสมดุล
ในที่สุดชายหนุ่มก็เปิดฝากระทะ ไอร้อนพุ่งออกมาพร้อมกลิ่นอาหารที่ฟุ้งกระจายลามออกไปนอกครัว
ปู้ฟางหยิบชามกระเบื้องกลมสีขาวออกมาแล้วเทอาหารในกระทะลงไป
ด้วยความสามารถในการจัดจานอันแสนยอดเยี่ยม อาหารในจานจึงยังคงความสว่างสดใสได้อย่างครบถ้วน ไอร้อนพุ่งออกจากผลตื่นรู้ทางห้าสาย ตรงกลางนั้นเป็นไข่ข้นส่องประกายโปร่งแสง เนื้อไข่เดือดพล่านไปด้วยพลังปราณของผลไม้ กลุ่มควันพลังปราณก่อตัวหนาลอยอยู่บนชาม
“ไข่ข้นผลตื่นรู้ทางห้าสาย…ไม่สิ ดูคิดน้อยไป เรียกว่าดอกไม้ตื่นรู้ที่เบ่งบานก็แล้วกัน ดูมีชั้นเชิงกว่าเยอะ น่าจะทำให้อาหารจานนี้ดูดีขึ้นมาได้”
ปู้ฟางควงมีดในมือแล้วเก็บกลับเข้าไปพร้อมกลุ่มควัน
เขามองจานที่ถูกปกคลุมไปด้วยไอสีทองอร่ามแล้วก็ยิ้มออกมา
“ระบบ อาหารจานนี้ผ่านการประเมินหรือไม่” ชายหนุ่มเอ่ยถามระบบ
หากอาหารจานนี้ผ่านการประเมินของระบบ แปลว่าเขาจะรักษาพลังงานที่ต้องใช้ในการคิดค้นอาหารจานใหม่ไปได้เยอะ ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงตั้งหน้าตั้งตารอผลการตัดสินอย่างใจจดใจจ่อ
เสียงของระบบตอบกลับมาด้วยความรวดเร็วในศีรษะของชายหนุ่ม
“ชื่ออาหาร: ดอกไม้ตื่นรู้ที่เบ่งบาน
พ่อครัว: นายท่านปู้ฟาง
พลังปราณภายในอาหารร้อยละ 70
พลังการสร้างสภาวะตื่นรู้ร้อยละ 70
ผลลัพธ์ที่ได้จากการกิน: หากผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการกินเข้าไป ก็ยากที่จะบรรลุขั้นเทพแห่งสงครามได้สำเร็จด้วยสิ่งนี้เพียงลำพัง
ดังนั้นอาหารจานนี้จึงไม่ผ่านการประเมิน”