ลำแสงหนึ่งสาย
ลำแสงสองสาย
จากนั้นลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนก็ท่วมท้นสายตาของทุกคน ความเจิดจ้าอันน่ามหัศจรรย์ทำให้พวกเขาไม่อาจละสายตาได้ ทำได้เพียงหรี่ตาลงเท่านั้น
เว่ยต้าฝูที่อยู่ห่างออกไปรู้สึกเย็นวาบลงไปถึงไขสันหลัง เขาเบิกตากว้าง ไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเองแม้แต่น้อย
ชายวัยกลางคนเหยียดนิ้ว อ้าปากกว้าง ก่อนจะชี้ไปยังอาหารที่กำลังส่องแสงเจิดจ้า
“อะ… อาหารที่ส่องแสงเจิดจ้าอย่างนั้นหรือ”
เว่ยต้าฝูงุนงงจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นอาหารซึ่งส่องแสงเจิดจ้าเช่นนี้ สิ่งนี้เป็นตัวแทนของวิธีการทำอาหารแบบใหม่ เป็นความสูงชั้นที่พ่อครัวแม่ครัวส่วนมากไม่อาจก้าวขึ้นไปได้ แม้จะตั้งใจขัดเกลาทักษะการทำอาหารมาตลอดชีวิตก็ตาม
แสงนั้นค่อยๆ จางหายไป แต่สายตาทุกคู่ยังคงจับจ้องอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยน ทุกคนต่างสนใจอาหารตรงหน้าเป็นอย่างมาก
เมื่อแสงเริ่มจางหาย ไอน้ำร้อนแรงก็พวยพุ่งออกมาราวกับเป็นม่านหมอก จากนั้นกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ของเนื้อก็กระจายไปทั่ว ทำให้จิตใจของทุกคนสั่นไหว
ช่างเป็นกลิ่นแปลกประหลาดที่รวมเอากลิ่นของเนื้อสุก หญ้าสด และดอกไม้หอมยวนใจไว้ด้วยกัน กลิ่นทั้งสามผสานรวมกันก่อเกิดเป็นกลิ่นพิเศษสุดออกมา
“เนื้อสุกพอดีเลย” ปู้ฟางใช้มีดทำครัวกระดูกมังกรทองลอกใบไม้พลังปราณออก เผยให้เห็นเนื้อกิ้งก่าที่อยู่ภายใน จากนั้นชายหนุ่มก็กดมีดลงไป น้ำมันในเนื้อค่อยๆ ไหลซึมออกมา
เนื้อกิ้งก่ายักษ์ดูชุ่มฉ่ำแวววาวจนชวนให้หลงใหล
ปู้ฟางหยิบชิ้นเนื้อออกมาวางบนพื้น จากนั้นก็ตัดใบไม้พลังปราณออกทั้งหมด เนื้อทั้งชิ้นปรากฏสู่คลองจักษุ กลิ่นหอมรุนแรงพุ่งทะยานออกมาจนแทบจะปกคลุมไปทั่วค่ายพัก
“หอมเหลือเกิน!”
“ขะ… ข้าอยากลองกินสักคำ ข้าอยากดื่มด่ำกลิ่นเนื้อที่ชวนหลงไหลนี่!”
“ข้าไม่เคยได้กลิ่นใดหอมเท่าเนื้อนี้มาก่อนเลย!”
…
บรรดาทหารล้วนตกตะลึง พวกเขาพากันส่ายหน้า สายตาล่องลอยเมื่อกลิ่นหอมหวานพุ่งเข้าปะทะใบหน้า
ปู้ฟางสูดกลิ่นเนื้อกิ้งก่าเข้าไปเล็กน้อย เขาแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก ก่อนจะควงมีดทำครัวกระดูกมังกรทองในมือแล้วหั่นลงบนชิ้นเนื้อ
ฝูงชนได้เห็นเพียงประกายแสงจากมีดเท่านั้น เพราะในชั่วพริบตาปู้ฟางก็หั่นเนื้อเสร็จเรียบร้อย
เนื้อกิ้งก่าชิ้นนั้นหากดูไกลๆ ก็เหมือนยังรวมอยู่เป็นชิ้นเดียว แต่เมื่อดูใกล้ๆ จะเห็นได้ว่ามีรอยหั่นบางๆ อยู่บนเนื้อ
“หลงไฉ หยิบจานมาใบหนึ่ง” ปู้ฟางออกคำสั่งกับหลงไฉ ผู้ที่กำลังยืนอ้าปากค้างอยู่ห่างๆ
หลงไฉได้สติทันที นัยน์ตาของเขาทอประกายขณะรีบพุ่งออกไปข้างหน้าอย่างเชื่อฟัง
มีดทำครัวกระดูกมังกรทองสะบัดไปมาอีกครั้งก่อนจะพุ่งลงไปบนเนื้อ เนื้อของกิ้งก่ายักษ์ซึ่งส่องประกายระยับด้วยน้ำมันลอยขึ้นฟ้าก่อนจะตกลงไปบนจานดิน
ไอร้อนระอุลอยออกมาทำเอาหลงไฉตาพร่าไปหมด เด็กหนุ่มเบิกตากว้างก่อนจะกลืนน้ำลายอึกใหญ่
“ยกจานไป มันคืออาหารเย็นของทุกคนในวันนี้” ปู้ฟางกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลงไฉก็เดินไปหาถังอิ่นและคนอื่นๆ แล้วส่งจานให้ แม้ว่าจะรู้สึกอิดออดไม่น้อยที่ต้องแยกจากเนื้อกิ้งก่าจานนี้ไปก็ตามที
ด้วยน้ำใจของจูเยวี่ย เนื้อกิ้งก่าชิ้นแรกจึงตกไปอยู่ในมือของถังอิ่น
ถังอิ่นจ้องเนื้อกิ้งก่าด้วยความตื่นเต้น เขาสูดกลิ่นหอมเข้าไปเต็มปอด ตะเกียบในมือสั่นเทาเบาๆ ส่วนท้องก็ร้องดังโครก
ทันทีที่ตะเกียบกดลงบนเนื้อกิ้งก่ายักษ์ น้ำมันในเนื้อก็ไหลทะลักออกมา ถังอิ่นคีบเนื้อขึ้นมา ก่อนจะยัดเข้าปากไปอย่างตื่นเต้นจากนั้นก็กัดลงไป
เนื้อนั้นไม่ได้เหนียวอย่างที่จินตนาการไว้ กลับกันมันกลับนุ่มนวลอย่างประหลาด เนื้อที่อยู่ในปากทั้งนุ่มและมีรสสัมผัสละเมียดละไม ราวกับว่ามันกำลังนวดคลึงลิ้นของเขาอยู่กระนั้น
ทันทีที่เนื้อกิ้งก่ายักษ์ตกถึงท้อง ถังอิ่นก็รู้สึกราวกับมีเตาไฟขนาดเล็กมาเผาไหม้อยู่ในกาย พลังปราณที่พวยพุ่งออกมาจากชิ้นเนื้อทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นเป็นกอง
ความร้อนของเปลวไฟในกายทำให้พลังปราณของถังอิ่นไหลทะลักออกมาท่วมรยางค์ทั้งสี่ เขารู้สึกราวกับว่าอาการบาดเจ็บแทบจะหายไปหมดสิ้นด้วยซ้ำ
ปู้ฟางหั่นมีดลงไปอีกครั้ง ก่อนจะส่งเนื้อกิ้งก่ายักษ์อีกชิ้นลงบนจานดินเช่นเดิม
เนื้อกิ้งก่ายักษ์ชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกตัดแบ่งให้ทุกคนอย่างทั่วถึง
เนื้อชิ้นมหึมาถูกแบ่งเป็นร้อยๆ ชิ้นแล้วส่งต่อๆ กันไป เหล่าทหารจำนวนมากได้กินของอร่อยกันจนหนำใจ
เนื้อกิ้งก่าชิ้นที่สองถูกขุดออกมาเช่นกัน มันร้อนฉ่าและส่งกลิ่นหอมพอๆ กับชิ้นแรก
ปู้ฟางหั่นเนื้อชิ้นที่สองให้เท่าๆ กันแล้วแจกจ่ายไปยังทหารทุกนาย เพื่อให้อาหารไปถึงปากผู้คนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะมากได้
แน่นอนว่าชายหนุ่มเก็บเนื้อชิ้นหนึ่งไว้ให้ตนเองด้วย เมื่อเคี้ยวชิ้นเนื้อ ดวงตาของเขาก็หรี่ลงเป็นรอยยิ้มน้อยๆ เนื้อกิ้งก่ามีรสชาติดีเยี่ยม และเพราะมันเป็นอสูรเวทระดับเจ็ดจึงมีพลังปราณอยู่มากมาย ที่สำคัญที่สุดคือเนื้อนี้เป็นของกิ้งก่ายักษ์ มันจึงพิเศษกว่าอสูรเวทประเภทอื่นๆ
“อร่อยมาก” ปู้ฟางพอใจเป็นอย่างยิ่ง
ปู้ฟางจำลองวิธีการปรุงมาจากอาหารที่ชื่อว่าไก่ขอทาน[1] เขาสามารถรักษากลิ่นหอมตามธรรมชาติของเนื้อไว้ได้ ด้วยวิธีการปรุงนี้ เนื้อที่สุกออกมาจะทั้งนุ่มทั้งละมุนลิ้น คงรสสัมผัสที่ยอดเยี่ยมเอาไว้ได้เต็มเปี่ยม
เพราะทหารมีเป็นจำนวนมากแต่เนื้อกิ้งก่ามีอยู่จำกัด จึงมีทหารไม่น้อยที่ต้องตาละห้อยเพราะไม่ได้ชิมอาหารอันโอชะนี้
กลิ่นที่กระจายไปทั่วในอากาศทำให้พวกเขาน้ำลายสอ ต่างรู้สึกทรมานราวกับตกนรกทั้งเป็น แต่ไม่ว่าจะทำสายตาน่าสงสารเพียงใด พวกเขาก็รู้ดีว่าเนื้อกิ้งก่าย่างนั้นต้องใช้เวลาเตรียมพักใหญ่ พวกเขาจึงทำได้เพียงกลืนอาหารที่พ่อครัวประจำกองทัพคนอื่นๆ ทำลงคอ แค่คิดก็ปวดใจเกินจะเปรียบแล้ว
หลังจากเก็บกวาดเรียบร้อย ปู้ฟางก็บิดขี้เกียจ ชายหนุ่มถอนหายใจยาวพลาง สีหน้าดูผ่อนคลาย
เสียงแจ้งเตือนของระบบดังขึ้นมาในศีรษะ เห็นได้ชัดว่าระบบพึงพอใจกับกิ้งก่าบุปผาจานนี้
กิ้งก่าบุปผาใช้วิธีการปรุงเหมือนไก่ขอทาน ซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อจากชีวิตที่แล้วของปู้ฟาง วิธีการปรุงเช่นนี้มีเอกลักษณ์มากเสียจนแทบไม่เคยได้ยินใครกล่าวถึงมาก่อน ประกอบกับความอร่อยตามธรรมชาติของเนื้อกิ้งก่า ปู้ฟางจึงค่อนข้างมั่นใจว่าอาหารจานนี้จะผ่านการประเมินแน่นอน
หลังจากที่กินกันจนอิ่มหนำสำราญ กองทหารลำดับสามก็ออกเดินทางต่อ พวกเขาต้องเร่งฝีเท้าเพื่อให้ไปถึงเมืองโม่หลัวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เป้าหมายเดียวในการเดินทางไกลของพวกเขาคราวนี้คือพิทักษ์เมืองแห่งนั้น แต่พวกเขากลับถูกซุ่มโจมตีเสียก่อนที่จะถึงเมืองโม่หลัว แปลได้ว่าตัวเมืองเองอาจกำลังถูกโจมตีอยู่เป็นแน่ หรือหากจะมองในแง่ร้ายสุด ก็อาจพ่ายแพ้ไปแล้วก็ได้
หรือต่อให้เมืองยังไม่ล่มสลาย สภาพคงใกล้เคียงเต็มทน
…
เมืองโม่หลัว ดวงจันทร์เสี้ยวสองดวงส่องแสงเย็นตาอยู่บนท้องฟ้ามืดมิด
กำแพงเมืองเก่าคร่ำคร่าเต็มไปด้วยรอยแตก เหล่าทหารยามสวมเกราะถือคบไฟในมือกำลังเดินตรวจตราอยู่ด้านบน พวกเขาล้วนตั้งสมาธิและระแวดระวังตัวเป็นอย่างดี ไม่ยอมผ่อนคลายแม้สักลมหายใจเดียว
จู่ๆ เสียงสายธนูถูกปล่อยก็ดังสะท้อนก้องไปในท้องฟ้าสีหมึก ห่าธนูพุ่งมาราวสายฝน
ลูกธนูพุ่งเข้าชนกำแพงเมืองจนเกิดเสียงดัง ทำให้กำแพงเมืองที่ย่ำแย่อยู่แล้วเสียหายหนักขึ้นกว่าเดิม
“ข้าศึกบุก!!”
ทหารยามบนกำแพงตะโกนเสียงดัง
จากนั้นเสียงหวีดร้องแหลมสูงก็ดังออกมาจากตีนกำแพง เงาจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นในราตรีกาล พวกเขาแห่เข้ามาด้วยจิตใจฮึกเหิมพร้อมที่จะต่อสู้
ร่างที่ถือวงแหวนปราณซึ่งสร้างจากยันต์ห้าแผ่นกำลังลอยอยู่กลางอากาศ ใบหน้าของเขาทั้งมืดมนและเศร้าหมอง
เขาวางแผนว่าจะทำสงครามตามปกติ แต่การตายของนู่เอ๋อร์กลับทำให้เสียขวัญ ส่งผลให้ต้องเร่งความเร็วในการโจมตีขึ้น
ยอดฝีมือจากลัทธิอสุรายกมือขึ้นขณะยังลอยอยู่บนฟ้า กระบี่สีโลหิตเล่มเล็กลอยออกมาจากฝ่ามือ กระบี่เหล่านั้นลอยวนอยู่ในอากาศพลางส่งเสียงหวีดหวิว ก่อนจะพุ่งผ่านอากาศออกไปอย่างดุเดือดจนแทบจะตัดสายลมออกเป็นเสี่ยงๆ
เปรี้ยง เปรี้ยง!!
กระบี่เหล่านั้นพุ่งเข้าใส่กำแพงเมืองสร้างรูขนาดต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วน แรงสั่นสะเทือนรุนแรงทำให้ทหารบนกำแพงเมืองถึงกับหลั่งโลหิตออกมาทางทวารทั้งสี่
“ไอ้ผีร้าย!!”
เสียงคำรามสะท้อนก้องขึ้นมาจากในเมืองโม่หลัว จู่ๆ ร่างในชุดคลุมสีขาวก็พุ่งตัวไปในอากาศด้วยท่าทางมั่นใจ
สีหน้าของหูอี้เฟิงขณะนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารรุนแรง นัยน์ตาเกรี้ยวกราดของเขาจับจ้องไปยังร่างของชายในชุดคลุมสีดำที่ลอยอยู่กลางอากาศ คนผู้นี้เป็นผู้ที่สังหารพี่น้องสิบสามกองโจรแห่งเมืองโม่จั่วของเขา อภัยไม่ได้เด็ดขาด! หูอี้เฟิงมุ่งมั่นที่จะเข่นฆ่าทำลายล้างศัตรูจนกว่าชีวิตจะหาไม่!
การต่อสู้กันกลางอากาศเริ่มขึ้นอีกครั้งอย่างดุเดือด แต่เห็นได้ชัดว่าหูอี้เฟิงกำลังเสียเปรียบ
เปลวไฟระเบิดลุกโชนขึ้นกลางเวหา
สงครามอันโหดร้ายของเมืองโม่หลัวดำเนินต่อไป
แก่นวิญญาณจากศพที่ยังอุ่นๆ จำนวนนับไม่ถ้วนถูกกระชากออกจากร่าง ดึงเข้าไปในวงแหวนปราณที่หลอมขึ้นมาจากยันต์ เพื่อเพิ่มพลังให้รัศมีที่น่ากลัวซึ่งแผ่ออกมาไม่หยุดหย่อน
…
แสงแรกของดวงอาทิตย์ชำแรกตัวผ่านขอบฟ้าที่ริมทุ่งกว้าง ทอประกายสีแดงอบอุ่น
ในที่สุดกองทหารลำดับสามของกองทัพแห่งเมืองประจิมเร้นลับก็มองเห็นเมืองโม่หลัวอยู่เบื้องหน้า
เมื่อพวกเขาเดินเข้าเขตเมืองโม่หลัวมาก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศแห่งความตายที่รายล้อมอยู่ พื้นที่บริเวณนั้นอาบชโลมไปด้วยโลหิตและซากศพที่กองกลาดเกลื่อน
มีทั้งศพของศัตรูและทหารยามเมืองโม่หลัวปะปนกัน
เหล่าทหารแห่งกองทหารลำดับสามเงียบงันไป พวกเขารู้สึกได้ถึงความเศร้าอันสุดจะบรรยายที่กำลังถาโถมเข้ามาในจิตใจ
เมื่อเข้าใกล้ประตูเมือง ทหารยามบนกำแพงก็ยิงธนูลงมาใส่เป็นจำนวนมาก
ลูกธนูมากมายราวห่าฝนร่วงหล่นลงบนพื้น
จูเยวี่ยออกคำสั่งให้กองทหารของตนหยุดด้วยสีหน้างุนงง
และเมื่อเพ่งมองธงที่กำลังโบกสะบัดอยู่บนกำแพงเมืองโม่หลัว ริมฝีปากของเขาก็สั่นไหว
เมืองโม่หลัวล่มสลายแล้ว
“ถอยทัพ!”
หลังจ้องมองเมืองโม่หลัวด้วยดวงตาที่เปี่ยมความหมายเป็นครั้งสุดท้าย จูเยวี่ยก็ออกคำสั่งอย่างสิ้นหวัง กองทหารลำดับสามค่อยๆ ล่าถอยออกมาตามๆ กัน พวกเขาฟันฝ่าความยากลำบากมากมายจนมาถึงเมืองโม่หลัว แต่ก็ไม่อาจปกป้องเมืองแห่งนี้จากการถูกรุกรานและยึดครองได้
ด้วยกำลังทหารที่มีอยู่จำกัด การคิดจะชิงเอาเมืองคืนมานั้นเป็นได้เพียงความฝันอันโง่เขลา ฉะนั้นจูเยวี่ยจึงออกคำสั่งให้ล่าถอย
ในเมื่อเมืองโม่หลัวแตกพ่ายแล้ว เป้าหมายต่อไปของการโจมตีก็ย่อมเป็นเมืองประจิมเร้นลับแน่นอน… จูเยวี่ยต้องรีบกลับไปแจ้งเจ้าเมืองให้รู้โดยเร็ว
…
บนกำแพงเมืองประจิมเร้นลับ
หนี่หยันยืนเอามือไหล่หลัง สีหน้าเคร่งขรึมบดบังความงดงามอย่างเหลือเชื่อของนางไว้ เมื่อหญิงสาวมองผ่านทิวเมฆสีดำสนิทออกไป นางก็รู้สึกว่าหัวใจอันหนักอึ้งเริ่มหมุนวน
นางสัมผัสได้ว่าภัยใหญ่หลวงกำลังจะตรงมายังเมืองประจิมเร้นลับแห่งนี้ ความโกลาหลคืบคลานเข้ามาใกล้
ที่ตีนกำแพงเมืองประจิมเร้นลับ กองทหารลำดับสามซึ่งถูกส่งไปช่วยเหลือเมืองโม่หลัวกำลังเดินทางกลับมา การเดินทางกลับมาอย่างรวดเร็วของคนกลุ่มนี้ยืนยันความกังวลของหญิงสาวได้เป็นอย่างดี
หนี่หยันเดินลงมาจากกำแพงเมืองแล้วแทรกตัวเข้าไปในฝูงชน นางสอดส่ายสายตาหาถังอิ่นในหมู่กองทหารลำดับสาม เพราะอย่างไรถังอิ่นก็เป็นลูกศิษย์ของนาง
แต่ทันทีที่พบผู้เป็นลูกศิษย์ หญิงสาวก็แทบผงะ เพราะร่างที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาคือชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งที่คุ้นหน้าคุ้นตาดี
“เถ้าแก่ปู้ เจ้ามาทำอะไรที่นี่น่ะ” หนี่หยันเบิกตากว้าง ความประหลาดใจฉาบเคลือบบนใบหน้า
[1] ไก่ที่เมื่อเชือดแล้วเอาไปพอกด้วยดินเหนียวทั้งตัวแล้วเผาไฟ