โลกาวินาศล่มสลาย ตอนที่ 713 อยากเป็นแบบนั้น
หลังจากหยางเทียนพูดจบ ทั้งบริเวณที่เงียบสนิทเป็นเวลากว่าห้านาที ทุกคนยืนนิ่ง มองค้างไปที่หยางเทียน แน่นอนว่าตอนนี้ค่ายเขี้ยวหมาปามีพลโทเพียงแค่คนเดียวคือเฉินช่าวเย่และไม่มีใครมีอํานาจแต่งตั้งตําแหน่งให้ใครตามใจชอบ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าซูฮันจะปล่อยผ่านสิทธิพิเศษที่ค่ายซางจิงเคยตกลงมอบให้ไว้
ถ้าซูฮันลงนามตกลงในการยอมรับตําแหน่งพลเอก ซูฮันจะแต่งตั้งทหารกี่คนก็ได้!
ในค่ายเจี้ยนอี้มีเพียงหลูคนเดียวที่เป็นทหารระดับสูงสุด ตําแหน่งพลโท และก็เป็นผู้นําของค่ายด้วยอีกทั้งยังมีพลตรีเพียงแค่คนเดียวที่รองลองมา
ค่ายเจี้ยน ไม่มีอะไรเทียบเท่าค่ายเขี้ยวหมาปาได้เลย!
ซุนอี้เจียตะลึง พยายามระลึกถึงข้อมูลที่เขาทําการสืบสวนจากซางจิงไว้ในหัวออกมา การกระทําของซูฮันมันรวดเร็วเกินกว่าที่คาดไว้ อีกทั้งชูชันได้ส่งเอกสารขออนุญาติไปถึงซางจิงแล้วเรียบร้อย
ตอนนี้มีเพียงแค่ความหวังเท่านั้นว่าคนที่นั่นจะสามารถหยุดสถานการณ์เอาไว้ และไม่ ปล่อยให้เอกสารนั่นได้เข้าไปในที่ประชุมซะก่อน!
ในขณะที่ซุนอี้เจียกําลังครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง หยางเทียนก็พูดขึ้น แต่ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉันจะยังไม่มีตําแหน่งเทียบเท่ากับคุณ ทว่าในแง่ของพลังและสถานะของเมืองอันลู ที่จริงแล้วหลูอี้คุณจําเป็นต้องทําความเคารพต่อฉันด้วยซ้ํา เพราะท้ายที่สุดแล้ว คุณก็เป็นเพียงแค่ข้าราชบริพารของค่ายเขี้ยวหมาป่า”
หลูอี้เผยอปากค้าง มองหยางเทียนด้วยสายตาไม่พอใจเต็มที่ จะกดซุนอี้เจียก็กดไป แต่ทําไมถึงต้องมากดเขาด้วย?
ภายใต้รัศมีอํานาจพลังมหาศาลของหยางเทียน ทหารหลายสิบคนของค่ายเจี้ยนอี้ก็สะอึกกันหมด…แม้แต่ซุนอี้เจียที่ถูกส่งมาจากซางจึงยังเถียงไม่ออกสักคํา
“กลับมาที่หัวข้อหลัก” หยางเทียนที่มองเห็นความร้ายกาจที่ซ่อนอยู่ของซุนอี้เจียก็เอ่ยขึ้น”คุณจ่ายตั๋วราคาเต็มหรือลงนามในสัญญากับค่ายเขี้ยวหมาป่าเพื่อรับส่วนลด 50% ในนามของท่านพลเอกชูฮัน?”
หลูอี้กลืนน้ําอลายอีก “ตัวราคาเท่าไหร่กัน?”
หยางเทียนเหลือบมองซุนอี้เจียที่พยายามซ่อนสีหน้าของตัวเองอยู่ “การประเมินระยะ 2 ของเสาหินพิเศษ หนึ่งคนราคา 1,000 เหรียญล่มสลายต่อหนึ่งครั้ง”
ทันทีที่ได้ยิน หลูอี้ก็ตะโกนโพล่งขึ้นมาด้วยความตกใจ “แพงขนาดนี้เลย? นี้มันปล้นกันชัดๆ!”
“มันแพงงั้นเหรอ? งั้นก็ลงนามในสัญญาซะสิ แล้วคุณจะได้ส่วนลด 50% สําหรับทหารทุกคนจ่ายเพียงครั้งเดียวและสามารถเข้าไปทําการประเมิณได้ตลอดไป”
“ถ้านั่นคือสัญญา” หลูอี้ยังคงดันทุรัง “ในกรณีนั้น ในเมื่อเดิมที่ค่ายเจี้ยนอ๋อยู่ขอบเขตพื้นที่ปกครองของค่ายเขี้ยหมาปาอยู่ ถ้างั้นเราก็ควรรวมอยู่ในกรณีนั้นอยู่แล้วหน”
“เดี๋ยวก่อน” ซุนอีเจียรีบถามแทรกขึ้นมา ” จะลงนามในสัญญาโดยไม่อ่านเงื่อนไขก่อนงั้นเหรอครับ?”
“แน่นอนว่าเงื่อนไขเป็นประโยชน์ต่อเจ้าบ้าน” หยางเทียนเอ่ยขึ้นทันที “หลูอี้จะยังคงดําแหน่งผู้นําสูงสุดของค่ายเจียนอีไว้เหมือนเดิม จ่ายภาษี รวมถึงอย่างอื่นเหมือนกับประชากรทั่วไปของค่ายเขี้ยวหมาป่า เราไม่เอาเปรียบคนธรรมดา และเนื่องจากสิทธิพิเศษของท่านพลเอกชูชันของเรา ทําให้เราไม่ต้องส่งภาษีให้แก่ซางจิงเหมือนค่ายอื่นๆ และภาษีทุกอย่างที่เราเก็บในขอบเขตอํานาจของท่านพลเอกชูฮันนั้นเป็นเพียงครึ่งเดียวกับที่ซางจึงเก็บเท่านั้น ไม่ว่าด้านในมันก็ดีกับค่ายเจี้ยนว่ามั้ย?”
หลู ตะลึงค้าง ทําไมผู้ชายคนนี้ถึงรู้เรื่องหมดทุกอย่าง?
“ตกลง” หลอี้ตกลงสั้นๆ
ซุนลี่เจียได้แต่ชะงักค้างกับคําพูดของหยางเทียน เป็นเวลาพักหนึ่งที่ซุน เจียไม่สามารถหาเหตุผลมาโต้แย้งอีกฝ่ายได้ ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้เขาอยู่ในการปลอมตัวอยู่ละก็ เขาก็คงมีอํานาจเหนือคนพวกนี้ และแน่นอนว่าคนพวกนี้จะต้องกลับการกระทําที่ทํากับเขาตอนนี้แน่ และจะต้องสํานึกกับความผิดของตัวเองที่ทํากับซางจิง
ดังนั้นใน
อะไร และหยางเทียนก็ไม่ยอมลด
นามตกลงในสัญญา
แม้ว่าซุนอี้เจียจะไม่พอใจ แต่ที่จริงแผนการในใจของเขาพึ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ในเมื่อทั้งสองฝ่ายได้ลงในสัญญาเป็นพันธมิตรกันเรียบร้อย ถ้าอย่างนั้นเขาก็ควรจะเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ค่ายเขี้ยวหม่าปาซึ่งก็คือจุดประสงค์หลักของการมาจากชางจิงของเขาตั้งแต่แรกซึ่งเป้าหมายหลักของซุนอี้เจียก็คือการทําลายค่ายเขี้ยวหมาปาจากภายใน
ดังนั้น ภายใต้การไม่แทรกแซงของซุนอี้เจีย สัญญาจึงถูกลงนามผ่านไปอย่างเรียบง่ายและกลุ่มมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ระยะ 2 จําเป็นต้องแสดงหลักฐานพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นประชากรของค่ายเจียนเพื่อที่จะได้รับผลประโยชน์ตลอดชีวิต จากนั้นหลูอีก็จ่าย 500 เหรียญล่มสลายเป็นค่าตัวให้ทุกคนและเข้าไปทําการประเมิณระยะ 2 ของเสาหินพิเศษ
เมื่อทุกคนเข้าไปในเสาหินแล้ว หลูอี้ซึ่งเป็นวิวัฒนาการระยะ 5 และหยางเทียนวิวัฒนาการระยะ 6 ก็ยืนข้างกันอยู่ตรงกําแพงของเสาหิน ส่งยิ้มราวกับสุนัขจิ้งจองให้กันและกัน
“พรุ่งนี้จะเป็นหน้าที่ของกูเหลียงเฉิน ในฐานะเจ้าหน้าที่ของค่ายเขี้ยวหมาป่าทําหน้าที่คอยให้การสนับสนุนคนของค่ายเจี้ยนอี้” หยางเทียนพูดขึ้นช้าๆท่ามกลางความเงียบขณะคอยเหลือบตามองซุนอี้เจีย
“เหลือเกิน! ไอ้เด็กซุนอี้เจียนี่มันหยิ่งดีเหลือเกิน!” หลูอี้เหยียดยิ้ม “ดูท่าทางจองหองของมันไม่เห็นว่าจะทําตัวเป็นประโยชน์ให้ค่ายเจี้ยนอี้ยังไงเลย นั่งเฮลิคอปเตอร์มาอย่างหรูแต่ก็แค่วิวัฒนาการระยะ 2 เท่านั้น!”
“ที่จริงฉันอยากจะฆ่าซุนอี้เจียนทันทีเลยด้วยซ้ํา แต่ท่านพลเอกชูฮันบอกว่าไม่ว่าเราจะฆ่าหรือส่งมันกลับชางจิงไป ยังไงเดี๋ยวทางนั้นก็ส่งคนใหม่ม่อีกอยู่ดี!” หยางเทียนแสยะยิ้ม “เพราะฉะนั้นทางเดียวที่ทําได้คือให้กเหลียงเฉินเป็นคนกดดันมันจนหายใจไม่ออกแทน และคุณก็ใช้โอกาสนี้พัฒนาความภักดีของคุณให้เราเห็นซะ”
หลอีดีใจซะจนอยากจะร้องออกมาดังๆ การลงนามทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่น หากเขาลังเลที่จะถาม”กเหลียงเฉิน ฉันเคยเจอเขา ให้เขารับมือกับซุนอี้เจียมันจะไหวเหรอ?”
หยางเทียนสบตาหลูอี้ “ฉันลืมบอกไปว่ากูเหลียงเฉินเคยป็นผู้บัญชาการกองทัพเขี้ยวหมาป่า”
หลูอีทั้งตกใจและตะลึง
“และเขาเป็นทหารของกองทัพเขี้ยวหมาปามานาน ก่อนที่จะได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองทัพเขี้ยวหมาป่า และยังรับผิดชอบเป็นหัวหน้าแผนกเจ้าหน้าที่ของค่ายเขี้ยวหมาปาชั่วคราวอีกด้วย” หยางเทียนขยายต่อ
หลูอี้ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ทันใดนั้นเขาก็พุ่งเข้าไปกอดหยางเทียนแน่น “เพื่อน! นี่มันสุดยอด ฉันต้องทํายังไงบ้างถึงจะได้รับโอกาสแบบนั้น?”
หยางเทียนนิ่วหน้าและผลักหลูอี้ให้พ้นทาง สีหน้าบูดบึง “ค่ายเขี้ยวหมาปาของเราคัดสรรแต่คนที่มีพรสวรรค์ พวกเขาสามารถจัดการคุณได้ง่ายๆภายในพริบตาแม้จะมีระยะวิวัฒนาการต่ํากว่าจําทุกคนที่คุณเจอในห้องประชุมได้มั้ยล่ะ? สนใจแต่ค่ายของตัวเองเถอะอย่าคิดเปลี่ยนแปลงอะไร!”
เหลือเพียงไว้แค่ใจความสําคัญที่หยางเทียนไม่ได้บอกออกไป นั่นก็คือค่ายเขี้ยวหมาปาได้พัฒนาระบบภายในขึ้นหลายครั้งแล้วตั้งแต่มีข้อมูลภายในรั่วออกไปก่อหนน้านี้ ซึ่งคนของเหยู่จือโปจะไม่มีแทรกเข้ามาได้แม้แต่ทางอากาศ..
ดังนั้นพวกเขาจึงส่งกูเหลียงเฉินออกไปล่อแทน!