ขณะที่องครักษ์โกรธจนแทบจะกระอักออกมาเป็นโลหิต น้ำเสียงที่พูดออกมาจึงเต็มไปด้วยความดุดัน “หลินซื่อ นางสนมผู้มีความผิดช่างบังอาจนัก! เจ้ารู้หรือไม่ว่าพิราบสื่อสารที่เจ้ากำลังกินอยู่นั้นเป็นของใคร เซ่อเจิ้งอ๋องประทับอยู่ที่นี่ เจ้าถึงกับบังอาจเสียมารยาทต่อเซ่อเจิ้งอ๋องเช่นนี้!”
ซินหรูไม่ได้ใส่ใจว่าเซ่อเจิ้งอ๋องเป็นใคร แต่นางเคยได้ยินชื่อของเซ่อเจิ้งอ๋องมาก่อน จึงได้แต่คุกเข่าลงไปอย่างหวาดกลัวพร้อมกับเอ่ยวิงวอนว่า “พี่สาว…พี่สาวนางไม่ได้เจตนาเจ้าค่ะ นางเพียงแต่ต้องการบำรุงร่างกายให้บ่าวจึง จึง…”
“เซ่อเจิ้งอ๋อง?” หลินชิงเวยค่อยๆ ยืนขึ้นมา เมื่อเปรียบเทียบกับเซียวเยี่ยนแล้วรูปร่างของนางดูบอบบางกว่ามาก นางค่อยๆ เดินเข้ามาหาเซียวเยี่ยน เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่บนร่างกายเป็นกระโปรงผ้าฝ้ายเนื้อหยาบชั้นเลวที่สุด ใบหน้านั้นฉาบด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ริมฝีปากเล็กๆ เพิ่งจะกัดเนื้อพิราบย่างมายังมีคราบน้ำมันติดอยู่ หน้าตาดูสดชื่นแจ่มใส ดวงตาของนางโค้งลงเมื่อพูดกับเซียวเยี่ยน “ที่แท้ท่านคือเซ่อเจิ้งอ๋อง รูปงามจริงๆ”
ในยุคสมัยโบราณยังมีชายหนุ่มรูปงามเช่นนี้ เรื่องนั้นถือว่านางไม่เสียเปรียบก็แล้วกัน
สีหน้าท่าทางราวกับเป็นผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสาของหลินชิงเวย อีกทั้งแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์แสนกลมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง เซียวเยี่ยนหรือจะให้โอกาสนางสืบหาเรื่องราวของตน นอกจากสายตาเย็นชาสุดขั้วแล้วไม่มีความรู้สึกอื่นใดทั้งสิ้น
องครักษ์ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก : นาง นางกำลังท้าทายและยั่วยวนเซ่อเจิ้งอ๋องทั้งที่อยู่ในเวลากลางวันแสกๆ เช่นนี้หรือ?
ต่อมาหลินชิงเวยหัวเราะจนตาหยี “พวกเราเคยพบกันที่ไหนมาก่อนหรือไม่?”
ความคิดขององครักษ์สับสนยุ่งเหยิง : ยั่วยวนมิสำเร็จ เริ่ม เริ่มจะทอดสะพานให้แล้ว! มิน่าเล่า นางจึงถูกส่งมาอยู่ในตำหนักเย็น ที่แท้แล้วนางเป็นสตรีไร้ยางอายนี่เอง!
เซียวเยี่ยนยังคงไม่ตอบวาจานางอยู่นั่นเอง
นางมองใบหน้าไร้พิรุธของเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ถอนสายตากลับมาแล้วพยักหน้ากับตนเองโดยไม่หันกลับไปมองอีก “ข้าเพียงแต่รู้สึกคุ้นเคยกับความสูงและรูปร่างของเซ่อเจิ้งอ๋องเล็กน้อย คิดดูแล้วคงเป็นข้าเองที่จำคนผิด” นางหันไปมองนกพิราบย่างในมืออีกครั้ง เลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เช่นนั้นเวลานี้พวกเรามาพูดคุยเรื่องนกพิราบได้แล้ว ซินหรู เจ้าลุกขึ้นมาก่อนแล้วเข้าไปในเรือน”
ซินหรูคุกเข่าอยู่บนพื้นไม่ขยับ “บ่าวมิกล้าเจ้าค่ะ” นางไหนเลยจะเคยพบเห็นบุคคลสำคัญเช่นนี้มาปรากฏกายที่นี่ อีกทั้งหญิงสาวเหล่านั้นในตำหนักเย็นล้วนควบคุมความเป็นความตายของนางเอาไว้อย่างง่ายดาย ประสาอะไรที่ยืนอยู่เบื้องหน้าในเวลานี้ถึงกับเป็นเซ่อเจิ้งอ๋องเล่า
สุดท้ายหลินชิงเวยเอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “ข้างหลังห่างจากเจ้าไม่ถึงหนึ่งคืบมีงูเขียวอยู่ตรงนั้นตัวหนึ่ง หากเจ้ายังไม่ลุกขึ้นมามันจะรัดข้อเท้าของเจ้าให้แล้ว”
“อ๊า” ซินหรูร้องด้วยความตื่นตระหนักพร้อมกับลุกขึ้นมา นางหันกลับไปดู จึงเห็นว่ามีงูเขียวตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งกำลังส่งภาษาฟ่อๆ ให้กับนาง นางถอยหลังอีกสองก้าว ได้แต่เชื่อฟังคำของหลินชิงเวย เดินอ้อมงูตัวนั้นเข้าไปในเรือน
เซียวเยี่ยนมองทุกอย่างด้วยสายตาสุขุมนิ่งลึก เขาเห็นงูที่เลื้อยอยู่บนพื้นยืดลำตัวขึ้นมาครึ่งหนึ่ง ลิ้นของมันแดงราวกับโลหิต รอบๆ ลำตัวของมันมีลายสีเขียว สีเขียวนั้นราวกับไม้ไผ่สีหยก แววตาของเขานิ่งเฉยแทบจะดูไม่ออกว่าเขาพรูลมหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นคลายลงเป็นสีหน้าครุ่นคิดสองส่วน
องครักษ์เห็นเช่นนั้นจึงดึงกระบี่ออกจากมาจากเอวของตน คุ้มกันให้เซียวเยี่ยนอยู่ข้างหลังตน “ท่านอ๋องระวังพ่ะย่ะค่ะ” ต่อมาเขาตั้งท่าจะฟันงูตัวนั้นให้ขาดเป็นสองท่อน
ในขณะที่เขากำลังจะทำเช่นนั้น หลินชิงเวยกล่าวขึ้นเนิบๆ ว่า “ข้าเตือนเจ้าว่าอย่าทำเช่นนั้นจะดีกว่า ต่อให้เจ้าฆ่ามันแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะหนีออกไปจากที่นี่ได้อย่างง่ายดาย”
องครักษ์ไม่กระจ่างแจ้งถึงความหมายในคำพูดของหลินชิงเวย ทว่าในนาทีถัดมา รอบๆ เรือนหลังนี้พลันเกิดเสียงฟ่อๆ ที่งูสื่อสารกัน เขาไม่อาจไม่ยอมรับว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูกลุ่มใหญ่ แม้จะยังมองไม่เห็นชัดเจนนัก ทว่าพื้นหญ้ารอบด้านล้วนกลายเป็นสีดำมันวาววับ!
ที่นี่คือรังงูชัดๆ ชั่วขณะหนึ่งองครักษ์พลันรู้สึกได้ถึงพลังชนิดหนึ่งประดุจแม่มดปีศาจที่แผ่กระจายออกจากร่างของหลินชิงเวย สตรีนางนี้เหมือนนางแม่มด! หาไม่แล้วจะบงการให้งูมากมายเช่นนี้มาที่นี่ได้อย่างไร นางควรจะถูกงูฝูงใหญ่เช่นนี้กัดตายเนิ่นนานแล้วจึงจะถูก!