หลินชิงเวยกล่าวเรียบๆ ว่า “หากไม่กลัวว่าอีกประเดี๋ยวข้าจะสั่งยาผิดให้กับฮ่องเต้ ท่านก็เล่นต่อไปเถิด”
เซียวเยี่ยนหลุบตาลงมองนาง จากนั้นดึงแขนของตนกลับมาเล็กน้อย ลดช่องว่างระหว่างเขาและหลินชิงเวยให้น้อยลง หลินชิงเวยเห็นเช่นนั้นจึงรีบยื่นแขนทั้งคู่ออกไป กอดคอเขาเอาไว้ ร่างกายนุ่มนิ่มของนางแนบติดไปบนหน้าอกของเขา
ร่างของเซียวเยี่ยนแข็งค้างทันที
ขนตาของหลินชิงเวยกระพริบถี่ๆ “ทึ่มทื่ออะไรอยู่เล่า กอดข้าเอาไว้สิ” ทำเช่นนี้จึงจะผ่อนแรงของนางลงได้ กอดคอของเขาเอาไว้เพื่อให้น้ำหนักของร่างกายตนเกิดความสมดุล เวลานี้นางรู้สึกเมื่อยล้าไปทั้งแขน
เซียวเยี่ยนไร้การเคลื่อนไหว กลับกล่าวเสียงเย็นว่า “นี่เจ้ากำลังเล่นลูกไม้อะไร”
หลินชิงเวยกล่าวยิ้มๆ “เซ่อเจิ้งอ๋องของข้า เวลานี้อยู่บนความสูงราวๆ ยี่สิบเมตร ข้าจะเล่นลูกไม้อะไรได้เล่า?” ดวงตาของนางกลิ้งกลอกไปมาแล้วพลันส่งเสียงหัวเราะขึ้น “หรือท่านปรารถนาให้ข้าเล่นลูกไม้อะไรหรือ?” นางเงยหน้าขึ้น มองใบหน้าด้านข้างคมสันหล่อเหลาที่อยู่เบื้องบน ยิ่งดูก็ยิ่งชมชอบ ฮึ คิดจะมาเล่นเจ้าล่อเอาเถิดกับพี่สาวน่ะหรือ เจ้าน่ะยังอ่อนหัดไปหน่อย ดังนั้น ขณะที่เซียวเยี่ยนไม่ได้ป้องกันอะไร นางจึงยืดคอขึ้นไปจุมพิตลงบนซีกหน้าด้านข้างของเซียวเยี่ยน ถามว่า “เช่นนี้?”
หลินชิงเวยเดาะปากด้วยความพออกพอใจ
สมควรตายนัก
“…” นาทีถัดมา ร่างของเซียวเยี่ยนสูญเสียการทรงตัว จึงพาร่างของหลินชิงเวยร่วงลงสู่เบื้องล่างพร้อมกัน
ให้ตายเถอะ สภาพจิตใจของเซ่อเจิ้งอ๋องท่านนี้ไม่ย่ำแย่ไปหน่อยหรือ หลินชิงเวยตระหนกเสียจนรีบหลับตาปี๋ เมื่อรู้สึกตัวก็อ้าขาทั้งคู่กอดรัดเอวของเซียวเยี่ยนอย่างแน่นหนา เห็นอยู่ว่ากำลังลงสู่พื้น เซียวเยี่ยนพลันเม้มปาก มือทั้งคู่ไม่อาจไม่โอบรอบเอวของหลินชิงเวย จากนั้นร่างทั้งร่างก็พลิกกลับให้ร่างของหลินชิงเวยอยู่บนร่างของตน แผ่นหลังของเซียวเยี่ยนนั้นสัมผัสกับพื้น
ชั่วขณะนั้นทำให้ใบไม้บนต้นร่วงหล่น เสียงดังจากกิ่งก้านสาขาของต้นไม้กระทบกัน
หลินชิงเวยได้ยินเสียงหัวใจของตนเองเต้นตุบๆๆ ด้วยตกลงมาจากที่สูงกะทันหัน นางกลัวความสูงจริงๆ หัวใจทั้งดวงแทบจะกระโดดออกมาจากลำคอก็ว่าได้
ขาทั้งคู่ที่อ่อนยวบของนางพาดอยู่บนร่างของเซียวเยี่ยน หน้าผากของนางแตะอยู่บนปลายคางของเขา ตอหนวดสั้นๆ ที่เพิ่งจะขึ้นนั้นทิ่มแทงลงบนผิวของนางจนรู้สึกเจ็บนิดๆ นางเบิกดวงตาดำขลับกลมโตทั้งคู่ขึ้นมอง คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเซียวเยี่ยนถึงกับยอมพลีกายเป็นฟูกรองรับนางในเวลาแห่งความเป็นความตายเช่นนี้
นางหัวเราะคิกออกมาอย่างหาได้ยาก จากนั้นจึงถูกเซียวเยี่ยนที่ลุกขึ้นนั่งผลักออก
หลินชิงเวยนั่งอยู่บนกองใบไม้ที่ทับถมกัน มองเซียวเยี่ยนที่รีบผุดลุกขึ้นใช้มือปัดเศษใบไม้ตามร่างกาย รูปร่างใหญ่โตตกลงมาสูงเช่นนี้ราวกับไม่รู้จักความเจ็บปวด สายตาที่เขาจับจ้องหลินชิงเวยนั้นเย็นชาผิดธรรมดา “เจ้าอย่าได้ท้าทายขีดความอดทนของเปิ่นหวาง”
หลินชิงเวยใช้ฝ่ามือยันกายของตนเพื่อลุกขึ้นยืน เดินมาหยุดข้างกายเซียวเยี่ยน รอยยิ้มที่อยู่บนริมฝีปากนั้นไม่จางลง “ล้อเล่นกับท่านหรือไร ข้าไหนเลยจะรู้ว่าเซ่อเจิ้งอ๋องเป็นคนที่ล้อเล่นไม่เป็น”
เซียวเยี่ยนหลุบตาลง “ต่อไปเจ้าจะยังได้รู้ด้วยว่าเรื่องที่เจ้าทำไม่ได้มีมากมายนัก หากคิดจะมีชีวิตอยู่อย่างสงบ เจ้าสงบเสงี่ยมเจียมตนสักหน่อยจะเป็นการดีที่สุด”
พูดแล้วก็สะบัดชายเสื้อแล้วเดินไปเบื้องหน้า ชายเสื้อสีม่วงนั้นปลิวสะบัดพลิ้วไปมา เส้นผมสีดำสนิทที่ถูกหยกสีเขียวอ่อนรวบเอาไว้นั้นยาวมาถึงช่วงเอว บนเส้นผมของเขายังมีเศษใบไม้ติดอยู่ หลินชิงเวยมองน้ำแข็งก้อนโตก้อนนั้น ท่าทางที่เดินนั้นเป็นธรรมชาติและสง่างาม ราวกับความสูงศักดิ์นั้นติดตัวมาแต่กำเนิด อย่างไรก็พอเป็นอาหารตาแล้ว
ราวกับสถานที่แห่งนี้ห่างจากตำหนักบรรทมของเซียวจิ่นฮ่องเต้ไม่ไกลมาก หลังจากเดินออกมาจากผืนป่าแล้ว เบื้องหน้าก็คือตำหนักหลังหนึ่ง