หลินชิงเวยไม่รู้ว่าควรจะเดินไปทางใดเช่นกัน ขณะที่นางกำลังเดินไปอย่างไร้จุดหมาย พร้อมกับปลอบประโลมซินหรูไปด้วย “เจ้าอย่าร้องไห้อีกเลย อีกประเดี๋ยวไม่เพียงใบหน้าที่บวมเบ่งแม้กระทั่งดวงตาก็จะบวมไปด้วย”
เดินไปครู่หนึ่ง ซินหรูเอ่ยขึ้นอย่างเอาใจใส่ว่า “พี่สาว ท่านวางข้าลงเถิด ข้าเดินเองได้เจ้าค่ะ”
หลินชิงเวยไม่เกรงใจนางเช่นกัน เมื่อเดินผ่านเงาร่มไม้จึงปล่อยนางลงมา แม้ซินหรูจะตัวเบาและผอมบางมาก ทว่ารูปร่างของตนนี้ก็ยังเยาว์นัก เมื่อต้องอุ้มนางเดินมาระยะหนึ่ง แขนของตนจึงรู้สึกเมื่อยล้าเนิ่นนานแล้ว
เวลานี้เองมีนางกำนัลเดินมุ่งหน้ามาทางพวกนางทั้งสอง นางกำนัลหยุดลงเบื้องหน้าหลินชิงเวย “เซ่อเจิ้งอ๋องให้บ่าวมาต้อนรับหลิน หลินเฟยเหนียงเหนียงกลับตำหนักเพคะ”
แม้หลินชิงเวยจะเป็นนางสนมที่ถูกทอดทิ้ง แต่ตำแหน่งเฟยของนางไม่ได้ถูกปลดตามไปด้วย แม้การเรียกขานนางว่าหลินเฟยเหนียงเหนียงจะทำให้ดูห่างเหินอยู่บ้าง เวลานี้นางเพิ่งจะออกจากตำหนักเย็นมา ผู้ที่รู้เรื่องนี้มีน้อยยิ่งทว่าไม่นานคนทั้งตำหนักในย่อมรู้เอง เมื่อถึงเวลานั้นจะเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้ได้
หลินชิงเวยได้ยินว่าเป็นความประสงค์ของเซ่อเจิ้งอ๋องจึงเดินตามนางกำนัลไป
สถานที่ที่มาถึงยังคงเป็นตำหนักหลังเดิมที่นางเคยอาศัยอยู่ก่อนที่จะถูกส่งตัวไปอยู่ในตำหนักเย็นทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม หลินชิงเวยและซินหรูเข้าไปอาบน้ำร้อนให้สบายเนื้อสบายตัวกันก่อน ห้องอาบน้ำทั้งใหญ่อีกทั้งน้ำร้อนก็มีมาก เมื่อเปรียบเทียบกับเรือนที่นางเคยอาศัยในตำหนักเย็นแล้วช่างเป็นความแตกต่างราวฟ้ากับดิน
ซินหรูค่อยๆ ไม่เงียบขรึมไม่พูดไม่จาแล้ว หลังจากอาบน้ำเสร็จหลินชิงเวยช่วยใส่ยาให้นาง แม้ว่าเมื่อดูแล้วยังคงทั้งบวมทั้งแดงแต่ซินหรูรู้สึกดีขึ้นมาก
รัตติกาลมาเยือน
ในวังได้เตรียมอาหารมื้อเย็นไว้แล้วหลินชิงเวยและซินหรูนั่งอยู่ที่โต๊ะทั้งคู่ ซินหรูมองอาหารเลิศรสที่วางอยู่เต็มโต๊ะด้วยดวงตาที่เบิกค้าง
ราวกับนางไม่เคยคิดมาก่อนว่านางจะยังมีโอกาสได้ลิ้มชิมรสอาหารเหล่านี้ ก่อนหน้านี้เมื่ออยู่ในตำหนักเย็นลำพังแค่ได้กินน้ำแกงเนื้อนกพิราบไม่กี่คำนางก็พึงพอใจมากแล้ว
ซินหรูสูดจมูกพลันได้ยินหลินชิงเวยกล่าวว่า “กินเถิด กินให้เต็มที่ เลือกกินเนื้อ”
“อื้อ!” ซินหรูน้ำลายสออยู่เนิ่นนานแล้ว หยิบจับเนื้อเหล่านั้นมากินอย่างไม่เกรงใจ แม้กระทั่งตะเกียบก็ทิ้งไว้ด้านข้างนั่นเอง
ไหนเลยจะคิดว่าอาหารมื้อนี้ยังไม่ทันได้กินให้อิ่มท้องด้านนอกก็เกิดเสียงวุ่นวายดังขึ้นระลอกหนึ่ง
หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นหมัวมัวหน้ายักษ์รูปร่างใหญ่โตเดินเข้ามาราวกับมีลมหมุนอยู่ใต้ฝ่าเท้า เมื่อเห็นหลินชิงเวยและซินหรูแล้วจึงตวัดสายตาไปด้านข้างช่างทำให้คนประหวั่นพรั่นพรึงนัก เวลานั้นซินหรูถอยหลังและหดกายลง ปรากฏว่าหมัวมัวผู้นั้นเดินขึ้นมาไม่เอ่ยวาจาใดทั้งสิ้นนางตรงเข้าไปจับตัวหลินชิงเวยและซินหรู หิ้วทั้งสองคนออกไปด้านนอก
หลินชิงเวยยังไม่ทันได้ตั้งตัว ความเจ็บปวดจากหัวเข่าก็ส่งผ่านเข้ามาในความรู้สึก นางกล่าวว่า “ไทเฮาเสด็จ หลินซื่อ นางสนมผู้มีความผิดยังไม่คุกเข่าอีก!”
หลินชิงเวยถูกบังคับให้คุกเข่าอยู่บนบันไดของธรณีประตู หัวเข่าถูกเสียดสีจนหนังถลอกปอกเปิกด้วยความเจ็บปวดนั้นบาดลึกเข้ามาในความรู้สึก
ซินหรูถูกหมัวมัวหิ้วไปคุกเข่าอยู่อีกด้านหนึ่ง
เมื่อสักครู่ที่รับรู้ได้ถึงมือของหมัวมัว หลินชิงเวยรู้ทันทีว่าหมัวมัวท่านนี้เป็นผู้ฝึกยุทธ ไม่เพียงแต่แข็งแรงทั้งยังมีเรี่ยวแรงมหาศาล หากนางต่อสู้กับนางซึ่งหน้าย่อมไม่ส่งผลดีแน่
คิดมาถึงตรงนี้ เบื้องหน้าคลองจักษุพลันปรากฏรองเท้าผ้าไหมปักลายหงส์ทองคู่หนึ่ง เจ้าของรองเท้าคู่นี้สูงสง่ายิ่งยวด ย่างก้าวนั้นเบายิ่งยวด มาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้านาง
“หลินซื่อ เงยหน้าขึ้นมา”
น้ำเสียงที่ไม่ต้องโกรธเกรี้ยวแต่สร้างความยำเกรงได้นั้นดังเข้ามาในโสตประสาทของหลินชิงเวย
นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ภายใต้แสงจากตะเกียงภายในวังและตะเกียงมุมลานเรือน สตรีสูงศักดิ์ที่ปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าสวมเสื้อคลุมหงส์ทั้งตัวช่างสูงส่งยิ่งนัก
นี่มิใช่ไทเฮาองค์ปัจจุบันหรอกหรือ