หลินชิงเวยหยิบเครื่องประดับสวมเอวออกมาชิ้นหนึ่ง คีบไว้ระหว่างปลายนิ้วพิศดูอย่างละเอียด นางสามารถจินตนาการได้ถึงใบหน้าบอกบุญไม่รับของเซียวเยี่ยนในเวลานี้
เครื่องประทับสวมเอวชิ้นนี้เป็นหยกสีม่วงทรงกลมชิ้นหนึ่ง งดงามอย่างยิ่ง บนหยกสลักลายเมฆา ดูลึกลับและหรูหรา ด้านล่างยังห้อยพู่ไหมลื่นมือสีม่วงเข้มเช่นเดียวกับสีของหยก
นี่เป็นเครื่องประดับสวมเอวที่เซียวเยี่ยนพกพาติดกาย ลำพังเพียงแค่ดูสีของหยกและคุณภาพของหยก หลินชิงเวยก็รู้ว่าหยกชิ้นนี้มีมูลค่ามากกว่าถุงเงินใบนั้นของเซียวเยี่ยนมากมายนัก เครื่องประดับสวมเอวชิ้นนี้หากประดับไว้ที่เอวจะบ่งบอกถึงหน้าตาและบอกถึงฐานะของผู้สวมใส่ได้อย่างชัดเจน
มูลค่าน่าจะไม่ต่างจากสิ่งของเล็กๆ เหล่านั้นในห้องทรงพระอักษร ล้วนเป็นสิ่งของชั้นดี
หลินชิงเวยยิ่งพิศยิ่งชมชอบ จึงนำมาถือเล่นในอุ้งมือ อย่าหวังว่านางจะคืนสิ่งของชิ้นนี้ให้กับเซียวเยี่ยนเช่นถุงเงินใบนั้น ในเมื่อตกมาอยู่ในมือของนางแล้วย่อมต้องเป็นสิ่งของของนาง
เซ่อเจิ้งอ๋อง คิดจะเล่นกับพี่สาว เจ้าต้องตั้งใจมากกว่านี้
ที่จริงบาดแผลบนหน้าผากของลวี่เฉี่ยวไม่ได้สาหัสอะไรมากนัก เปลี่ยนยาวันละครั้งก็เพียงพอ แต่ช่วยไม่ได้ที่นางกลายเป็นผู้ป่วยฝึกหัดของซินหรู ในวันหนึ่งๆ จึงต้องเปลี่ยนยาถึงห้ารอบ เดิมทีบาดแผลเริ่มจะประสานตัวกันแล้วก็ถูกซินหรูทำจนเลือดออกอีก อีกทั้งลวี่เฉี่ยวเองก็มิกล้าส่งเสียงใดๆ
อาหวงรอคำสั่งอยู่ด้านข้าง รอที่จะกัดลวี่เฉี่ยวสักครั้งสองครั้ง
หลินชิงเวยที่ตื่นจากการงีบยามบ่ายมาชี้แนะซินหรูด้วยตนเอง ลวี่เฉี่ยวได้แต่โมโหทว่าไม่กล้าพูดอะไร
ต่อมาลวี่เฉี่ยวทนไม่ไหวแล้วจริงๆ นางจึงขบกรามแน่นแล้วกล่าวว่า “เหนียงเหนียงจะฆ่าจะแกงก็เชิญเลยเจ้าค่ะ เหตุใดต้องมาทรมานบ่าวเช่นนี้”
หลินชิงเวยแตะคางของตน “เจ้าคิดว่าเวลานี้ข้าไม่ดีกับเจ้า? เจ้ารู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือไร?”
สีหน้าที่ปรากฏบนใบหน้าของลวี่เฉี่ยวก็คือไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่ที่กล่าวออกมาคือ “บ่าวไม่กล้าพูดเช่นนี้เจ้าค่ะ”
หลินชิงเวย “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นสาวใช้ที่ข้าพาเข้าวังมาจากจวนสกุลหลิน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่อาจให้เจ้าอยู่ในตำหนักฉางเหยี่ยนได้อีกต่อไป ข้าจำต้องส่งเจ้ากลับบ้านไปรับใช้หลินเสวี่ยหรง”
สีหน้าของลวี่เฉี่ยวเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา นางทำทีอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง หลินชิงเวยกลับมิให้โอกาสนี้แก่นาง ลุกขึ้นแล้วผินกาย “ปี้หลิง วันนี้เจ้าช่วยลวี่เฉี่ยวเก็บข้าวของ ส่งนางออกจากวัง”
“เจ้าค่ะ”
ราชโองการนี้มาได้ว่องไวนัก เซียวจิ่นเพิ่งจะเอ่ยถึงเมื่อยามสายเรื่องที่จะลดตำแหน่งของหลินชิงเวย ยามบ่ายเรื่องราวก็ได้อนุมัติจัดการลงมาเป็นที่เรียบร้อย หลินชิงเวยคิดในใจ น่าแปลกที่เด็กน้อยคนนี้เจ็บป่วยตลอดเวลา เขายังสะสางงานราชกิจได้มากมายเช่นนี้? ทางหนึ่งต้องอนุมัติฎีกา อีกทางหนึ่งยังออกพระราชโองการลดตำแหน่งนางจากนางสนมมาเป็นเจาอี๋
ที่จริงนางไม่ได้ใส่ใจต่อการเลื่อนตำแหน่งหรือการถูกลดตำแหน่งเหล่านี้ ที่สำคัญคือเงินเดือน…เฮ้อๆ แสดงให้เห็นว่านางยังมีโอกาสได้เลื่อนขั้นอีกมาก
ราชโองการฉบับนี้เพิ่งจะลงมา เมื่อถึงยามค่ำคืนก็มีคนแต่งกายเต็มยศเพื่อมาประกาศศักดา คนผู้นี้มิใช่จ้าวกุ้ยเหรินแล้วจะเป็นใครได้อีก และเวลานี้นางเป็นถึง จ้าวเฟย แล้ว หากว่ากันตามลำดับขั้นของนางสนม ตำแหน่งของนางอยู่สูงกว่าหลินชิงเวยเล็กน้อย
เวลานี้ทันทีที่นางก้าวเข้ามาในตำหนักฉางเหยี่ยน ก็เหมือนนกยูงที่หยิ่งผยองตัวหนึ่ง หลินชิงเวยและซินหรูกำลังรดน้ำใส่ปุ๋ยให้กับแปลงสมุนไพรแปลงใหม่ที่เพิ่งปลูก
จ้าวเฟยยืนรออยู่ในเรือนเนิ่นนาน คนทั้งสองทำราวกับนางเป็นอากาศธาตุ ไม่ถามไถ่อันใดทั้งสิ้น
จ้าวเฟยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขุ่นขึ้ง นางกำนัลข้างกายจึงตำหนิด้วยท่าทีลูกขุนพลอยพยัคฆ์ “หลินเจาอี๋ช่างกำเริบนัก เห็นจ้าวเฟยเหนียงเหนียงแล้วยังไม่มาถวายบังคมอีก?!”
หลินชิงเวยจึงเงยหน้าขึ้น เห็นหญิงสาวรูปโฉมงดงามยืนอยู่ในเรือนด้วยท่าทีหยิ่งยโส จึงยืดกายขึ้น กล่าวพร้อมกับยิ้มจนตาหยี “ท่านนี้คือจ้าวเฟยเหนียงเหนียง?”
เห็นท่าทีไร้เดียงสาไม่เป็นพิษเป็นภัยของนาง รวมไปถึงท่าทีราวกับเป็นครั้งแรกที่ได้พบจ้าวเฟยอย่างไรอย่างนั้น จ้าวเฟยได้แต่ขุ่นเคืองใจ บัญชีก่อนหน้านี้นางทำร้ายตนจนต้องตกลงไปในสระมรกต ยังไม่ได้คิดบัญชีกับนาง!
จ้าวเฟยกล่าวว่า “เจ้าน่าจะความจำไม่ดี เปิ่นกงไม่ถือสาที่จะรื้อฟื้นความทรงจำให้เจ้าอีกครั้ง ครั้งก่อนที่ศาลาริมสระมรกต เพราะคนชั้นต่ำคนหนึ่ง เจ้าถึงกับผลักเปิ่นกงตกลงไปในสระ”
หลินชิงเวยทำท่าราวกับเพิ่งนึกออก “หา ที่แท้เป็นเจ้าหรอกหรือ ข้าได้ยินมาว่าเจ้านอนหลับใหลไม่ได้สติ ยังไม่รู้ว่าจะตายหรือรอด ไฉนเวลานี้จึงมายืนอยู่ที่นี่ได้เล่า?”
สีหน้าของจ้าวเฟยย่ำแย่ยิ่งยวด นางกวาดตามองแปลงสมุนไพรของหลินชิงเวยแวบหนึ่ง บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มบิดเบี้ยว กล่าวเสียงแหลมว่า “เปิ่นกงได้ยินว่าเวลานี้เจ้าถวายการรักษาให้กับฝ่าบาทโดยเฉพาะ ดูจากการวางท่าของเจ้าแล้วคงไม่ใช่เพียงข่าวลือกระมัง” ต่อมานางแค่นหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าคิดว่าเจ้าถวายการรักษาอาการประชวรของฝ่าบาทจนหายดีแล้วก็จะเหินกายขึ้นเป็นหงส์ได้หรือไร เกรงว่าเจ้าจะเลือกผิดข้างเสียแล้วถึงอย่างไรฝ่าบาทก็ทรงเป็นโอรสของไทเฮา เขาจะไม่ฟังคำพูดของไทเฮาได้อย่างไร?”
หลินชิงเวยยิ้มบางๆ “ข้าย่อมเหินกายขึ้นเป็นหงส์ไม่ได้ เจ้าจึงจะทำได้”
เมื่อจ้าวเฟยได้ยินเช่นนั้น แทบจะรักษารอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้ไม่ได้ นางจึงเอ่ยด้วยสีหน้าเดือดดาลว่า “เจ้า เจ้ากล้าพูดว่าเปิ่นกงเป็นแค่นกกระจอก?!”
หลินชิงเวยยักไหล่ “ไม่ได้พูด ข้ามีพูดหรือไร? ข้าไม่ได้พูดแม้แต่คำเดียวกระมัง ล้วนเป็นเจ้าพูดเอง”
ซินหรูลุกขึ้นจากพื้นในเวลานี้เอง แล้วหันกายเดินมายืนเคียงข้างหลินชิงเวย นางมองสาวใช้ข้างกายจ้าวเฟยด้วยสายตาสงบนิ่ง
จ้าวเฟยเดือดดาลเสียจนมิอาจระงับโทสะได้ในชั่วพริบตา “เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถถวายการรักษาให้กับฝ่าบาทก็เก่งกาจกว่าผู้อื่นแล้วกระมัง แปลงสมุนไพรแปลงนี้เป็นของเจ้ากระมัง เด็กๆ เผาแปลงสมุนไพรแปลงนี้ให้เปิ่นกงเดี๋ยวนี้”
จ้าวเฟยนำนางกำนัลมาด้วยจำนวนไม่น้อย ชัดเจนยิ่งนักว่านางจงใจมาหาเรื่อง อีกทั้งนางกำนัลของตำหนักฉางเหยี่ยนล้วนคำนึงถึงตำแหน่งที่แตกต่างอย่างชัดเจน จึงมิกล้าขัดขืนแม้แต่น้อย ทันทีที่สิ้นเสียง นางกำนัลข้างกายก็ถือคบไฟมา ทั้งเรือนสว่างไสวด้วยเปลวไฟจากคบเพลิง พวกเขาล้อมหลินชิงเวยและซินหรูเอาไว้
สุดท้ายแสงสุดท้ายจากดวงอาทิตย์ก็ลาจากไป เหลือเพียงความมืดแห่งรัตติกาลที่ครอบคลุมพื้นที่
จ้าวเฟยเห็นซินหรูขัดหูขัดตายิ่ง “ลากตัวนางคนชั้นต่ำนั่นออกมาก่อน”
ซินหรูกล่าว “ข้าอยู่ที่นี่ ไม่ไปไหนทั้งสิ้น มีความสามารถเจ้าก็เผาพวกเราให้ตายไปพร้อมกันเลยสิ”
โอ้โห? หลินชิงเวยอดไม่ได้ที่จะหันไปมองซินหรู แม่ชีน้อยนางนี้มีความกล้าหาญมากขึ้นแล้วนี่นา เพียงแต่ไม่ยินยอมที่จะถูกข่มเหงรังแก ท่าทางกล้าหาญเช่นนี้ของนางดูแล้วช่างน่าเอ็นดู
ครั้งก่อนจ้าวเฟยผู้นี้ตบตีซินหรูอย่างอเนจอนาถ ทว่าครั้งนี้นางถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะต้องพ่ายแพ้กลับไป
ชัดเจนยิ่งนักว่าจ้าวเฟยคาดไม่ถึงว่าซินหรูจะกล้าตอบโต้นางด้วยคำพูดเช่นนี้ จึงกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เจ้าช่างกำเริบเสิบสานนัก ก็แค่สายเลือดชั่วๆ คนหนึ่ง มีคุณสมบัติอะไรมาพูดจากับเปิ่นกง เจ้าคิดว่าเปิ่นกงไม่กล้าเผาเจ้าให้ตายใช่หรือไม่?”
จ้าวเฟยหันมาหยิบคบไฟไปถือเอง เดินมุ่งหน้าไปยังแปลงสมุนไพร เพียงแต่ยังไม่ทันรอให้นางจุดไฟ ซินหรูกล่าวขึ้นอย่างมิเกรงกลัวว่า “ท่านเผาเถิด เผาพวกเราด้วย พี่สาวของข้ารับผิดชอบถวายการรักษาอาการประชวรของฝ่าบาท ยาสมุนไพรเหล่านี้ล้วนเตรียมมาเพื่อถวายการรักษาฝ่าบาททั้งสิ้น ท่านจุดไฟเผา ทั้งยังเผาพี่สาวของข้าด้วย รอให้ถึงพรุ่งนี้ฝ่าบาททราบเรื่องนี้เข้า ตำแหน่งเฟยที่ท่านได้มาอย่างไม่ง่ายดายนักก็คงต้องถูกยึดคืนในชั่วพริบตา” ภายใต้แสงจากคบไฟ ซินหรูมองเห็นใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยเพลิงโทสะของจ้าวเฟยอย่างชัดเจน หลินชิงเวยเลิกคิ้วด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ท่าทางของนางคือท่าทางของคนที่รอชมละครฉากเด็ด นางอยากจะรอดูเช่นกันว่า จ้าวเฟยจะกล้าจุดไฟหรือไม่ ซินหรูกล่าวเสริมอีกว่า “เรื่องที่ท่านวางเพลิงนี้จะกล่าวว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ได้ เรื่องเล็กก็ได้ เรื่องเล็กคือพี่สาวของข้าต้องเอาชีวิตมาทิ้ง เรื่องใหญ่คือท่านเจตนาจะทำลายโอสถของฝ่าบาท สังหารท่านหมอของฝ่าบาท ท่านคิดจะวางแผนลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาท ถึงเวลานั้นไม่ต้องพูดถึงท่าน ครอบครัวของท่านทั้งครอบครัวก็ยังยากที่จะมีชีวิตรอด”