ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง – บทที่ 73 แต่ละคนล้วนเป็นจิ้งจอกตาขาวทุกคน

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

        เซียวอี้ยังไม่ทันได้ลงมือขั้นต่อไป ด้านหลังพลันเกิดเสียงฟู่ๆ ดังขึ้นทั่วบริเวณ

        เซียวอี้หันกลับไปมอง เห็นเพียงสนามหญ้าทั้งผืนด้านหลังล้วนเต็มไปด้วยฝูงงู ผู้ที่เป็นหัวหน้าก็คือชิงหลัน

        ดีนัก เซียวอี้ไว้ชีวิตมัน มันกลับไปเรียกทัพหนุนมาช่วย!

        และในขณะเดียวกัน พลันปรากฏเงาร่างดำๆ ร่างหนึ่งแหวกอากาศเข้ามา เซียวอี้เงยหน้าขึ้นหรี่ตามอง ต่อมาพบว่าเงาร่างสีดำนั้นลงมาสู่พื้นข้างกายเขาอย่างพอเหมาะพอเจาะ

        หลินชิงเวยกลอกนัยน์ตามองไป เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเย็นชายืนอยู่ที่นั่น ราวกับเป็นภูเขาน้ำแข็งที่สลักออกมา

        ไม่ใช่เซียวเยี่ยนแล้วจะเป็นใครเล่า

        ท่าทางของเซียวอี้และหลินชิงเวยกำกวมอย่างยิ่ง สายตาของเขาปรากฏความเคร่งขรึมในชั่วขณะ “มาทำเรื่องเช่นนี้ในสถานที่เช่นนี้ เจ้าไม่รู้สึกว่าเจ้าทำเกินไปหรือ?”

        คำพูดนี้เขาพูดกับเซียวอี้

        ทว่าหลินชิงเวยกลับรู้สึกได้ว่าในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความอิดหนาระอาใจต่อตน

        ราวกับเขากำลังคิดว่าตนเป็นคนอย่างไรก็ได้ขอเพียงเป็นบุรุษ นางก็ยั่วยวนได้ทั้งสิ้น ก่อนหน้านี้ยั่วยวนเขา ยั่วยวนเขาไม่สำเร็จ บัดนี้จึงมายั่วยวนเซี่ยนอ๋อง

        หลินชิงเวยไม่คิดว่าตนเองมีอะไรต้องทุกข์ใจหรือต้องโศกเศร้า บุรุษล้วนเป็นเช่นนี้

        เขามีอะไรพิเศษกว่าคนอื่น?

        คำตอบคือไม่มี

        เซียวอี้ปล่อยหลินชิงเวยในที่สุด เขากล่าวยิ้มๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ไม่มีอะไรปิดบังเสด็จพี่ได้จริงๆ ข้าและเสี่ยวเวยเวยได้พบกันก็เหมือนถ่านไฟเก่าคุ เสี่ยวเวยเวยมีความสัมพันธ์กับเปิ่นหวางนานแล้ว ด้วยคิดจะถนอมพฤกษาอาลัยหยก ข้าทนเห็นไม่ได้ที่เสด็จพี่จะตบตีและด่าทอนาง”

        ความเย็นเยียบในดวงตาหงส์คู่นั้นเพิ่มขึ้นอีก “นางเป็นถึงเจาอี๋ของฝ่าบาท”

        เซียวอี้กล่าวอย่างไม่ยี่หระ “ไว้วันหน้าข้าจะไปขอนางจากฝ่าบาท” พูดแล้วก็หันไปกะพริบตาปริบๆ ใส่หลินชิงเวย “เสี่ยวเวยเวย เจ้าต้องรอข้านะ”

        นี่เป็นการใส่ร้ายป้ายสีอย่างแน่นอน เป็นการใส่ร้ายแบบโต้งๆ! คนเลวผู้นี้ไม่ยอมเสียเปรียบ เพียงแค่คำพูดประโยคนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเซียวเยี่ยนนางยิ่งไม่มีทางที่จะมีชีวิตที่ดีได้!

         หลินชิงเวยกล่าวอย่างเดือดดาล “ให้ตายสิ! เหตุใดท่านจึงไม่บอกว่าข้ามีความสัมพันธ์กับมารดาท่านเล่า!”

        เซียวอี้เดินยิ้มจากไป

        เซียวเยี่ยนมองกองทัพงูเต็มพื้นที่อยู่เบื้องหน้า ราวกับฝูงงูรู้ว่าไม่มีอันตรายแล้ว จึงพากันแยกย้าย เขามองหลินชิงเวยที่ไม่เคลื่อนไหวอยู่ใต้ต้นไห่ถังด้วยสายตาที่รังเกียจมากขึ้น

        หลินชิงเวยกล่าว “รบกวนเซ่อเจิ้งอ๋องช่วยข้าคลายจุด แล้วค่อยรังเกียจข้าต่อได้หรือไม่?”

        เซียวอี้จี้สกัดจุดนาง? เซียวอี้เต็มไปด้วยโทสะในใจ กลับไม่ได้สังเกตถึงเรื่องนี้

        ดังนั้นเขาจึงเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นชา ยื่นปลายนิ้วมาคลายจุดบนร่างให้หลินชิงเวยสองครั้ง

        หลินชิงเวยได้รับอิสระ ดวงตาทั้งปวดเมื่อยและชา นางบีบนวดแขนและขาของตน กำลังคิดจะเดินผ่านร่างของเซียวเยี่ยนโดยไม่เอ่ยอวาจา เซียวเยี่ยนกลับยื่นมือมาจับข้อมือของนางเอาไว้

        เดิมทีหลินชิงเวยไม่มีคำพูดอะไรจะกล่าวกับเขา

        เซียวเยี่ยนกลับเอ่ยปากถามก่อน “เจ้าและเซี่ยนอ๋องเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”

        “เรื่องอะไรกัน?” หลินชิงเวยหันหน้ามามองเขา กล่าวอย่างไร้เดียงสาและไร้พิษสง “ยังจะมีเรื่องอันใดได้ มีเพียงเรื่องที่ท่านเห็น สีหน้าและสายตาของท่าน มิใช่บอกเรื่องราวทั้งหมดแล้วหรือไร ยังถามข้าอีก?”

        เซียวเยี่ยนมองนางด้วยสายตาคลุมเครือ สายตานั้นตกลงบนริมฝีปากนางอย่างอดไม่ได้

        ในใจของเซียวเยี่ยนในเวลานี้ราวกับถูกครอบงำด้วยสัตว์ร้ายเช่นกัน คลุ้มคลั่งเล็กน้อย

        เขาอยากฟังคำอธิบายจากหลินชิงเวย ขอเพียงนางยอมอธิบาย เขาย่อมเลือกที่จะเชื่อสิ่งใดและไม่เชื่อสิ่งใด น่าเสียดายที่หลินชิงเวยคร้านที่จะอธิบาย

        เซียวเยี่ยนจึงได้แต่โกรธขึ้งยิ่งขึ้น เขาออกแรงบีบข้อมือของหลินชิงเวย

        เซียวเยี่ยน “เจ้าอย่าทำตัวต่ำช้าเลวทรามเช่นนี้จะได้หรือไม่ ไม่รู้จักละอาย ขอเพียงเป็นบุรุษก็ทำให้เจ้าถูกใจได้แล้วใช่หรือไม่?”

        สีหน้าของหลินชิงเวยยังคงเรียบเฉย นางผินกายมามองเซียวเยี่ยนตรงๆ “ใช่แล้วอย่างไรเล่า บุรุษทั้งใต้หล้าล้วนทำให้ข้าถูกใจได้ทั้งสิ้น มีเพียงท่าน เซ่อเจิ้งอ๋อง คนเดียวทำไม่ได้ ท่านจะทำอะไรต่อไป บอกฝ่าบาทว่าข้าทำผิดกฎเกณฑ์ของตำหนักในอีก ประหารข้าหรือส่งข้าเข้าไปในตำหนักเย็นอีกครั้ง? ข้าจะตั้งตารอ” พูดแล้วนางก็สะบัดมือของเซียวเยี่ยนออก เดินมุ่งหน้าออกไป ขาทั้งคู่เหยียบลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยกลีบดอกไห่ถัง นางกล่าวเสียงเย็น “พวกท่านแต่ละคน ล้วนเป็นจิ้งจอกตาขาว ท่านคิดว่าท่านดีกว่าเซี่ยนอ๋องสักเท่าใดกัน”

        เซียวเยี่ยนตกตะลึงไม่ได้หันไปมองนาง

        เรื่องราวก่อนหน้าทั้งหมดที่กล่าวกับเซียวอี้ ล้วนเป็นคำลวง เรื่องระหว่างเขาและจู๋กุ้ยเหริน หลินชิงเวยยังไม่ได้บอกกล่าวกับผู้ใด นางยังไม่ได้ไปสอบถามเกี่ยวกับฐานะของจู๋กุ้ยเหรินให้ชัดเจน นางเพียงแต่อุปโลกน์เรื่องราวขึ้นมาอย่างกะทันหัน โชคดีที่นางรู้จักพูดจาโน้มน้าว และโชคดีที่วาจาของนางถูกต้องอยู่บ้าง หาไม่แล้วชีวิตน้อยๆ ของนางคงต้องจบลงในวันนี้

        ดูท่าแล้วต่อไปไม่ป้องกันไม่ได้แล้ว นางจำเป็นต้องใคร่ครวญเพื่อชีวิตเล็กๆ และเส้นทางข้างหน้า

        หลินชิงเวยเดินวนไปเวียนมาในตำหนักในนั้นเอง นางจำทางไม่ได้ราวกับแมลงวันที่ไร้ศีรษะอย่างไรอย่างนั้น นางเดินมาทางนี้พักหนึ่ง พักทางนั้นครู่หนึ่ง ดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

        อาหารเที่ยงก็ไม่ได้กิน ยามนี้ใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว หลินชิงเวยไหนเลยจะมีเรี่ยวแรงเดินต่อไปต่อมาหลินชิงเวยนั่งลงบนก้อนหินเรียบๆ ก้อนหนึ่งด้านหน้าภูเขาจำลอง นั่งมองฟ้าที่กำลังจะมืดอย่างสงบ

        ทันทีที่ฟ้ามืดลงภายในวังหลวงก็จะค่อยๆ จุดไฟตามโคมไฟ มองไปจากมุมที่หลินชิงเวยนั่งอยู่ นางไม่รู้ว่าเป็นตำหนักของใคร ดูเหมือนจะมีนางกำนัลถือโคมไฟ ไปจุดโคมไฟตามชายคาตำหนักให้สว่างขึ้น โคมไฟตลอดทั้งแถวสว่างสว่างเป็นแนว ทำให้จิตใจที่ตกอยู่ในสภาวะกดดันพลันรู้สึกสบายอกสบายใจขึ้น

        ตามจุดต่างๆ ของตำหนักในเริ่มมีองครักษ์ลาดตระเวน สตรีในวังนั้นพวกเขาเห็นเป็นเรื่องปกติจึงทำเหมือนมองไม่เห็น นอกจากผู้ที่สวมชุดดำมือถือดาบด้วยท่าทีลับลมคมในพวกเขาจึงจะยื่นมือเข้าไปสอด

        หลินชิงเวยนั่งแกว่งขาทั้งคู่บนก้อนหินนั้นเอง นางมององครักษ์เหล่านั้นเดินลาดตระเวนไปรอบหนึ่ง รู้สึกว่ามีช่องโหว่มากมาย การลอบเข้ามาในวังหลวงแห่งนี้ไม่ใช่เรื่องยากอันใด แต่คิดจะออกไปจากที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเช่นกัน

        หาไม่แล้วเหตุใดหลินชิงเวยยังต้องทนดูสีหน้าผู้อื่นอยู่ที่นี่เล่า

        เอ๊ะ พูดถึงท่าทางมีลับลมคมใน เวลานี้นางพบว่ามีคนผู้หนึ่งมีท่าทีลับๆ ล่อๆ จริงๆ

        ไม่ เป็นคู่หนึ่ง

        ขณะที่องครักษ์หน่วยหนึ่งเดินลาดตระเวน มีองครักษ์ที่อยู่ท้ายแถวแอบออกจากแถวอย่างเงียบเชียบ เขาเดินเข้าไปในสวนเพื่อแอบเกียจคร้าน

        หลินชิงเวยมองรูปร่างและหน้าตาขององครักษ์คนนั้น ท่าทีมีพิรุธ อีกทั้งยังดูคุ้นตาถึงสองส่วน วันนี้สวรรค์มอบโอกาสให้นางได้รำลึกถึงความแค้นแต่หนหลังหรือไร

        หลินชิงเวยนั่งอยู่อีกครู่หนึ่ง ไม่เห็นองครักษ์คนนั้นออกมา ไม่นานกลับมีนางกำนัลลอบเข้าไปอีกนางหนึ่ง

        นางกำนัลและองครักษ์นี้ เข้าไปในสวนกลางดึกกลางดื่นเช่นนี้ ยังจะทำเรื่องดีอะไรอีกเล่า?

        เข้าไปครั้งนี้เนิ่นนานไม่กลับออกมา ขณะที่หลินชิงเวยกำลังจะสิ้นความอดทนในการรอคอย นางกำนัลนางนั้นรีบเร่งเดินออกมาจากสวนในที่สุด เพียงแต่เสื้อผ้ากระโปรงบนกายของนางไม่เป็นระเบียบอยู่บ้าง เส้นผมบนศีรษะยุ่งเหยิงเล็กน้อย ท่ามกลางแสงจากโคมไฟในมือของนางเห็นใบหน้าของนางแดงก่ำทั้งสองข้างแก้ม นางกำลังเดินผ่านด้านข้างภูเขาจำลองที่หลินชิงเวยนั่งอยู่ ทว่ากลับไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีคนนั่งอยู่คนหนึ่ง

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

Status: Ongoing
เพราะไม่อยากแต่งไปเป็นนางสนมที่ถูกลืม “หลินเสวี่ยหรง” จึงได้วางยา “หลินชิงเวย” พี่สาวของตนให้ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแทน ทั้งยังตามมาวางยากำหนัดนางอีกถึงในวัง เพื่อใส่ร้ายว่านางคบชู้ ทำให้ ‘หลินชิงเวย’ หญิงสาวยุคปัจจุบันที่ทะลุมิติเข้าร่างมาต้องตกกระไดพลอยโจรไปมีอะไรกับหนุ่มนิรนามที่มาช่วยนางไว้ จนถูกจับได้ว่าคบชู้สู่ชาย ทำให้นางโดนเนรเทศไปอยู่ตำหนักเย็น แม้นางจะทำใจ ยอมอยู่อย่างสงบในตำหนักเย็น ทว่าโลกใบนี้ ไม่ปล่อยให้นางมีความสุขง่ายๆ เช่นนั้น นางจึงต้องใช้ปัญญาและความสามารถทางแพทย์ปกป้องตัวเอง ผนวกกับการได้พบกับชายผู้ยิ่งใหญ่เย็นชาปากไม่ตรงกับใจอย่าง “เซ่อเจิ้งอ๋อง” การได้พบกับเขาทำให้นางค่อยๆ พบความหวัง ที่จะได้กลับมามีอิสรภาพอีกครั้ง! หลินชิงเวย: ท่านอ๋อง ท่านมองลำคออันขาวผ่องของข้าด้วยดวงตาที่เบิกกว้างเช่นนั้น นี่ข้ากำลังปลุกอารมณ์ของท่านหรือ ? เซ่อเจิ้งอ๋อง: คงไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเจ้าจะเป็นสตรีที่ไร้ยางอายเช่นนี้ !

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท