เซียวอี้ยังไม่ทันได้ลงมือขั้นต่อไป ด้านหลังพลันเกิดเสียงฟู่ๆ ดังขึ้นทั่วบริเวณ
เซียวอี้หันกลับไปมอง เห็นเพียงสนามหญ้าทั้งผืนด้านหลังล้วนเต็มไปด้วยฝูงงู ผู้ที่เป็นหัวหน้าก็คือชิงหลัน
ดีนัก เซียวอี้ไว้ชีวิตมัน มันกลับไปเรียกทัพหนุนมาช่วย!
และในขณะเดียวกัน พลันปรากฏเงาร่างดำๆ ร่างหนึ่งแหวกอากาศเข้ามา เซียวอี้เงยหน้าขึ้นหรี่ตามอง ต่อมาพบว่าเงาร่างสีดำนั้นลงมาสู่พื้นข้างกายเขาอย่างพอเหมาะพอเจาะ
หลินชิงเวยกลอกนัยน์ตามองไป เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเย็นชายืนอยู่ที่นั่น ราวกับเป็นภูเขาน้ำแข็งที่สลักออกมา
ไม่ใช่เซียวเยี่ยนแล้วจะเป็นใครเล่า
ท่าทางของเซียวอี้และหลินชิงเวยกำกวมอย่างยิ่ง สายตาของเขาปรากฏความเคร่งขรึมในชั่วขณะ “มาทำเรื่องเช่นนี้ในสถานที่เช่นนี้ เจ้าไม่รู้สึกว่าเจ้าทำเกินไปหรือ?”
คำพูดนี้เขาพูดกับเซียวอี้
ทว่าหลินชิงเวยกลับรู้สึกได้ว่าในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความอิดหนาระอาใจต่อตน
ราวกับเขากำลังคิดว่าตนเป็นคนอย่างไรก็ได้ขอเพียงเป็นบุรุษ นางก็ยั่วยวนได้ทั้งสิ้น ก่อนหน้านี้ยั่วยวนเขา ยั่วยวนเขาไม่สำเร็จ บัดนี้จึงมายั่วยวนเซี่ยนอ๋อง
หลินชิงเวยไม่คิดว่าตนเองมีอะไรต้องทุกข์ใจหรือต้องโศกเศร้า บุรุษล้วนเป็นเช่นนี้
เขามีอะไรพิเศษกว่าคนอื่น?
คำตอบคือไม่มี
เซียวอี้ปล่อยหลินชิงเวยในที่สุด เขากล่าวยิ้มๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ไม่มีอะไรปิดบังเสด็จพี่ได้จริงๆ ข้าและเสี่ยวเวยเวยได้พบกันก็เหมือนถ่านไฟเก่าคุ เสี่ยวเวยเวยมีความสัมพันธ์กับเปิ่นหวางนานแล้ว ด้วยคิดจะถนอมพฤกษาอาลัยหยก ข้าทนเห็นไม่ได้ที่เสด็จพี่จะตบตีและด่าทอนาง”
ความเย็นเยียบในดวงตาหงส์คู่นั้นเพิ่มขึ้นอีก “นางเป็นถึงเจาอี๋ของฝ่าบาท”
เซียวอี้กล่าวอย่างไม่ยี่หระ “ไว้วันหน้าข้าจะไปขอนางจากฝ่าบาท” พูดแล้วก็หันไปกะพริบตาปริบๆ ใส่หลินชิงเวย “เสี่ยวเวยเวย เจ้าต้องรอข้านะ”
นี่เป็นการใส่ร้ายป้ายสีอย่างแน่นอน เป็นการใส่ร้ายแบบโต้งๆ! คนเลวผู้นี้ไม่ยอมเสียเปรียบ เพียงแค่คำพูดประโยคนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเซียวเยี่ยนนางยิ่งไม่มีทางที่จะมีชีวิตที่ดีได้!
หลินชิงเวยกล่าวอย่างเดือดดาล “ให้ตายสิ! เหตุใดท่านจึงไม่บอกว่าข้ามีความสัมพันธ์กับมารดาท่านเล่า!”
เซียวอี้เดินยิ้มจากไป
เซียวเยี่ยนมองกองทัพงูเต็มพื้นที่อยู่เบื้องหน้า ราวกับฝูงงูรู้ว่าไม่มีอันตรายแล้ว จึงพากันแยกย้าย เขามองหลินชิงเวยที่ไม่เคลื่อนไหวอยู่ใต้ต้นไห่ถังด้วยสายตาที่รังเกียจมากขึ้น
หลินชิงเวยกล่าว “รบกวนเซ่อเจิ้งอ๋องช่วยข้าคลายจุด แล้วค่อยรังเกียจข้าต่อได้หรือไม่?”
เซียวอี้จี้สกัดจุดนาง? เซียวอี้เต็มไปด้วยโทสะในใจ กลับไม่ได้สังเกตถึงเรื่องนี้
ดังนั้นเขาจึงเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นชา ยื่นปลายนิ้วมาคลายจุดบนร่างให้หลินชิงเวยสองครั้ง
หลินชิงเวยได้รับอิสระ ดวงตาทั้งปวดเมื่อยและชา นางบีบนวดแขนและขาของตน กำลังคิดจะเดินผ่านร่างของเซียวเยี่ยนโดยไม่เอ่ยอวาจา เซียวเยี่ยนกลับยื่นมือมาจับข้อมือของนางเอาไว้
เดิมทีหลินชิงเวยไม่มีคำพูดอะไรจะกล่าวกับเขา
เซียวเยี่ยนกลับเอ่ยปากถามก่อน “เจ้าและเซี่ยนอ๋องเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
“เรื่องอะไรกัน?” หลินชิงเวยหันหน้ามามองเขา กล่าวอย่างไร้เดียงสาและไร้พิษสง “ยังจะมีเรื่องอันใดได้ มีเพียงเรื่องที่ท่านเห็น สีหน้าและสายตาของท่าน มิใช่บอกเรื่องราวทั้งหมดแล้วหรือไร ยังถามข้าอีก?”
เซียวเยี่ยนมองนางด้วยสายตาคลุมเครือ สายตานั้นตกลงบนริมฝีปากนางอย่างอดไม่ได้
ในใจของเซียวเยี่ยนในเวลานี้ราวกับถูกครอบงำด้วยสัตว์ร้ายเช่นกัน คลุ้มคลั่งเล็กน้อย
เขาอยากฟังคำอธิบายจากหลินชิงเวย ขอเพียงนางยอมอธิบาย เขาย่อมเลือกที่จะเชื่อสิ่งใดและไม่เชื่อสิ่งใด น่าเสียดายที่หลินชิงเวยคร้านที่จะอธิบาย
เซียวเยี่ยนจึงได้แต่โกรธขึ้งยิ่งขึ้น เขาออกแรงบีบข้อมือของหลินชิงเวย
เซียวเยี่ยน “เจ้าอย่าทำตัวต่ำช้าเลวทรามเช่นนี้จะได้หรือไม่ ไม่รู้จักละอาย ขอเพียงเป็นบุรุษก็ทำให้เจ้าถูกใจได้แล้วใช่หรือไม่?”
สีหน้าของหลินชิงเวยยังคงเรียบเฉย นางผินกายมามองเซียวเยี่ยนตรงๆ “ใช่แล้วอย่างไรเล่า บุรุษทั้งใต้หล้าล้วนทำให้ข้าถูกใจได้ทั้งสิ้น มีเพียงท่าน เซ่อเจิ้งอ๋อง คนเดียวทำไม่ได้ ท่านจะทำอะไรต่อไป บอกฝ่าบาทว่าข้าทำผิดกฎเกณฑ์ของตำหนักในอีก ประหารข้าหรือส่งข้าเข้าไปในตำหนักเย็นอีกครั้ง? ข้าจะตั้งตารอ” พูดแล้วนางก็สะบัดมือของเซียวเยี่ยนออก เดินมุ่งหน้าออกไป ขาทั้งคู่เหยียบลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยกลีบดอกไห่ถัง นางกล่าวเสียงเย็น “พวกท่านแต่ละคน ล้วนเป็นจิ้งจอกตาขาว ท่านคิดว่าท่านดีกว่าเซี่ยนอ๋องสักเท่าใดกัน”
เซียวเยี่ยนตกตะลึงไม่ได้หันไปมองนาง
เรื่องราวก่อนหน้าทั้งหมดที่กล่าวกับเซียวอี้ ล้วนเป็นคำลวง เรื่องระหว่างเขาและจู๋กุ้ยเหริน หลินชิงเวยยังไม่ได้บอกกล่าวกับผู้ใด นางยังไม่ได้ไปสอบถามเกี่ยวกับฐานะของจู๋กุ้ยเหรินให้ชัดเจน นางเพียงแต่อุปโลกน์เรื่องราวขึ้นมาอย่างกะทันหัน โชคดีที่นางรู้จักพูดจาโน้มน้าว และโชคดีที่วาจาของนางถูกต้องอยู่บ้าง หาไม่แล้วชีวิตน้อยๆ ของนางคงต้องจบลงในวันนี้
ดูท่าแล้วต่อไปไม่ป้องกันไม่ได้แล้ว นางจำเป็นต้องใคร่ครวญเพื่อชีวิตเล็กๆ และเส้นทางข้างหน้า
หลินชิงเวยเดินวนไปเวียนมาในตำหนักในนั้นเอง นางจำทางไม่ได้ราวกับแมลงวันที่ไร้ศีรษะอย่างไรอย่างนั้น นางเดินมาทางนี้พักหนึ่ง พักทางนั้นครู่หนึ่ง ดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
อาหารเที่ยงก็ไม่ได้กิน ยามนี้ใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว หลินชิงเวยไหนเลยจะมีเรี่ยวแรงเดินต่อไปต่อมาหลินชิงเวยนั่งลงบนก้อนหินเรียบๆ ก้อนหนึ่งด้านหน้าภูเขาจำลอง นั่งมองฟ้าที่กำลังจะมืดอย่างสงบ
ทันทีที่ฟ้ามืดลงภายในวังหลวงก็จะค่อยๆ จุดไฟตามโคมไฟ มองไปจากมุมที่หลินชิงเวยนั่งอยู่ นางไม่รู้ว่าเป็นตำหนักของใคร ดูเหมือนจะมีนางกำนัลถือโคมไฟ ไปจุดโคมไฟตามชายคาตำหนักให้สว่างขึ้น โคมไฟตลอดทั้งแถวสว่างสว่างเป็นแนว ทำให้จิตใจที่ตกอยู่ในสภาวะกดดันพลันรู้สึกสบายอกสบายใจขึ้น
ตามจุดต่างๆ ของตำหนักในเริ่มมีองครักษ์ลาดตระเวน สตรีในวังนั้นพวกเขาเห็นเป็นเรื่องปกติจึงทำเหมือนมองไม่เห็น นอกจากผู้ที่สวมชุดดำมือถือดาบด้วยท่าทีลับลมคมในพวกเขาจึงจะยื่นมือเข้าไปสอด
หลินชิงเวยนั่งแกว่งขาทั้งคู่บนก้อนหินนั้นเอง นางมององครักษ์เหล่านั้นเดินลาดตระเวนไปรอบหนึ่ง รู้สึกว่ามีช่องโหว่มากมาย การลอบเข้ามาในวังหลวงแห่งนี้ไม่ใช่เรื่องยากอันใด แต่คิดจะออกไปจากที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเช่นกัน
หาไม่แล้วเหตุใดหลินชิงเวยยังต้องทนดูสีหน้าผู้อื่นอยู่ที่นี่เล่า
เอ๊ะ พูดถึงท่าทางมีลับลมคมใน เวลานี้นางพบว่ามีคนผู้หนึ่งมีท่าทีลับๆ ล่อๆ จริงๆ
ไม่ เป็นคู่หนึ่ง
ขณะที่องครักษ์หน่วยหนึ่งเดินลาดตระเวน มีองครักษ์ที่อยู่ท้ายแถวแอบออกจากแถวอย่างเงียบเชียบ เขาเดินเข้าไปในสวนเพื่อแอบเกียจคร้าน
หลินชิงเวยมองรูปร่างและหน้าตาขององครักษ์คนนั้น ท่าทีมีพิรุธ อีกทั้งยังดูคุ้นตาถึงสองส่วน วันนี้สวรรค์มอบโอกาสให้นางได้รำลึกถึงความแค้นแต่หนหลังหรือไร
หลินชิงเวยนั่งอยู่อีกครู่หนึ่ง ไม่เห็นองครักษ์คนนั้นออกมา ไม่นานกลับมีนางกำนัลลอบเข้าไปอีกนางหนึ่ง
นางกำนัลและองครักษ์นี้ เข้าไปในสวนกลางดึกกลางดื่นเช่นนี้ ยังจะทำเรื่องดีอะไรอีกเล่า?
เข้าไปครั้งนี้เนิ่นนานไม่กลับออกมา ขณะที่หลินชิงเวยกำลังจะสิ้นความอดทนในการรอคอย นางกำนัลนางนั้นรีบเร่งเดินออกมาจากสวนในที่สุด เพียงแต่เสื้อผ้ากระโปรงบนกายของนางไม่เป็นระเบียบอยู่บ้าง เส้นผมบนศีรษะยุ่งเหยิงเล็กน้อย ท่ามกลางแสงจากโคมไฟในมือของนางเห็นใบหน้าของนางแดงก่ำทั้งสองข้างแก้ม นางกำลังเดินผ่านด้านข้างภูเขาจำลองที่หลินชิงเวยนั่งอยู่ ทว่ากลับไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีคนนั่งอยู่คนหนึ่ง