ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง – บทที่ 83 อาหารเป็นพิษ

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

แม้บรรยากาศในวันนี้จะคึกคัก ทว่ามหาเสนาบดีไม่ได้เชิญขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ทั้งราชสำนักมาร่วมงานในจวนของตน เขาเชิญเพียงขุนนางที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันในยามปกติ รวมกับญาติจากฝ่ายภรรยาของตนแล้วจัดโต๊ะเพียงห้าหกโต๊ะเท่านั้น นับได้ว่าเป็นการจัดงานที่เรียบง่ายยิ่งนัก

หลินชิงเวยในฐานะเจาอี๋ของวังหลวง อีกทั้งยังเป็นบุตรสาวคนโตของครอบครัวสกุลหลินย่อมต้องมานั่งร่วมโต๊ะในโต๊ะประธาน หากว่ากันตามฐานะเซียวเยี่ยนนั่งในตำแหน่งประธาน ด้านซ้ายคือเซียวอี้ ด้านขวาคือมหาเสนาบดีหลิน ถัดไปก็เป็นหลินชิงเวยและจ้าวซื่อสองแม่ลูก

แม้มหาเสนาบดีหลินจะมีฐานะสูงศักดิ์ด้วยตำแหน่งมหาเสนาบดีของราชสำนัก ทว่าท่านอ๋องทั้งสองท่านต่างให้เกียรติมาเป็นแขก เขายังคงรับรองด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งยวดอาหารเลิศรสบนโต๊ะอาหารอันอุดมสมบูรณ์และวิจิตรบรรจง ลำพังแค่มองก็ทำให้คนเกิดความอยากอาหาร เห็นได้ว่ามหาเสนาบดีหลินและจ้าวซื่อทุ่มเทจิตใจลงไปไม่น้อยเลยทีเดียว

หลังจากกล่าวเปิดงานเล็กน้อยต่อมาทุกคนต่างเริ่มขยับตะเกียบรับประทานอาหาร ใบหน้าของจ้าวซื่อมีรอยยิ้มประดับอยู่ตลอดเวลา เวลานี้นางยืนขึ้นรินสุราให้กับเซ่อเจิ้งอ๋องและเซี่ยนอ๋องด้วยตนเอง คำพูดคำจาที่นางจำนรรจาล้วนอ่อนหวานน่าฟังส่งผลให้คนหาตำหนิหรือฟังแล้วไม่สบายใจไม่ได้

มหาเสนาบดีหลินยกจอกสุราดื่มคารวะต่อเซ่อเจิ้งอ๋องและเซี่ยนอ๋องตามลำดับ แล้วจึงยกจอกสุราเพื่อคารวะแก่แขกทั้งหมด แขกที่มาเยือนต่างลุกขึ้นกล่าวคำอวยพรล้วนด้วยถ้อยคำไพเราะและเป็นสิริมงคล มหาเสนาบดีฟังแล้วยินดียิ่งยวด

ทุกคนดื่มสุรา หลินชิงเวยหยิบตะเกียบกินอาหารบนโต๊ะ เซียวเยี่ยนดื่มสุราลงไปหลายจอก เขาไม่ถนัดเรื่องการพูดจา ไม่รู้ว่าเป็นการกระทำโดยเจตนาหรือไม่ เพราะเขาเห็นหลินชิงเวยกินอาหารจานใดก็จะใช้ตะเกียบของตนคีบอาหารรสชาติโอชาที่นางเพิ่งกินไปมาลองกินเช่นกัน

ทว่าสีหน้าของเซียวเยี่ยนผิดปกติ ตั้งแต่บริเวณลำคอของเขาค่อยๆ แดงก่ำด้วยฤทธิ์ของสุรา ค่อยๆ ลามขึ้นไปบนใบหน้าหล่อเหลา เขาคีบปลิงทะเลที่หลินชิงเวยเพิ่งกินไป ปลิงทะเลสดใหม่กรุบกรอบ รสชาติดียิ่ง

จากนั้นขณะที่ทุกคนกำลังดื่มกินอย่างมีความสุข เซียวเยี่ยนพลันส่งเสียงพรึ่บ ศีรษะของเขาฟุบลงบนโต๊ะไม่ได้สติ

มหาเสนาบดีหลินตกตะลึง “เซ่อเจิ้งอ๋อง!”

แขกเหรื่อที่มาร่วมงานทั้งหมดต่างตื่นตระหนกตกใจและหวาดกลัว มีคนถามขึ้นว่า “เซ่อเจิ้งอ๋องเป็นอันใดเล่า?”

จ้าวซื่อหน้าซีดแล้วซีดอีก มหาเสนาบดีหลินถลึงตากล่าวกับนาง “ยังไม่รีบไปเชิญท่านหมอ!”

ไม่มีเวลาให้สอบถามอะไร จ้าวซื่อด้านหนึ่งให้คนไปเชิญท่านหมอ อีกด้านหนึ่งให้คนในจวนประคองร่างของเซียวเยี่ยนไปพักผ่อนในเรือนด้านในของจวนมหาเสนาบดี อย่างไรยังมีแขกเหรื่อมากมายต้องรับรองดูแล มหาเสนาบดีหลินกล่าวกับแขกเหรื่อทุกคนให้กินดื่มต่อไป คนทั้งครอบครัวรีบตามเข้าไปดูเหตุการณ์ในเรือนด้านหลัง

หากเซ่อเจิ้งอ๋องเกิดเรื่องอันใดขึ้นที่นี่จริงๆ เช่นนั้นสกุลหลินย่อมไม่อาจรักษาศีรษะเอาไว้ได้ พวกเขาไหนเลยจะไม่ตื่นตระหนก

เพียงแต่คนในครอบครัวเหล่านี้ หลินชิงเวยไม่รวมอยู่ในนั้น

ชั่วพริบตาเบื้องหน้าโต๊ะอาหารตัวใหญ่ ที่ควรไปก็ไปแล้วเหลือเพียงหลินชิงเวยเผชิญหน้ากับเซียวอี้สองคน คนทั้งสองกลับสงบนิ่งอย่างยิ่ง ควรกินก็กินต่อไป ควรดื่มก็ดื่มต่อไป

เซียวอี้มีความสุขกับการกินดื่มของตน เขากล่าวขึ้นว่า “หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเซ่อเจิ้งอ๋อง เจ้าไม่กังวลหรือไร? หากมีเรื่องอันใดขึ้นจริงๆ เจ้าในฐานะบุตรสาวคนโตของสกุลหลินย่อมต้องร่วมประสบเคราะห์กรรมไปด้วย”

หลินชิงเวยกินปลิงทะเลอีกคำหนึ่งแล้วเลิกคิ้วเอ่ยว่า “คำพูดของคนโบราณมิใช่กล่าวได้ดียิ่ง บุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป ข้าในสายตาของบิดา น้องเสวี่ยหรงจึงจะเป็นบุตรีแท้ๆ ของเขา เกี่ยวข้องอันใดกับข้าด้วยเล่า? อีกทั้งข้าเป็นเจาอี๋ของฝ่าบาท ไฉนข้าต้องมาร่วมประสบเคราะห์กรรม?” พูดแล้วช้อนตาขึ้นมองเซียวอี้ “อย่างไรเซ่อเจิ้งอ๋องก็เป็นพี่น้องแท้ๆ ของเซี่ยนอ๋อง เวลานี้พี่ชายแท้ๆ หมดสติไม่ฟื้น ท่านอ๋องกลับนั่งกินดื่มอยู่ที่นี่ ท่านไม่ร้อนใจหรือ?”

เซียวอี้กล่าวยิ้มๆ “เวลานี้รอบกายเซ่อเจิ้งอ๋องคงแวดล้อมไปด้วยผู้คน ขาดเปิ่นหวางคนหนึ่งคงไม่กระไร”

ดังนั้นคนทั้งสองจึงนั่งกินอาหารเลิศรสที่วางอยู่เต็มโต๊ะต่อไป กระทั่งหลินชิงเวยจุกจนมิอาจเสแสร้งได้อีก นางเรอออกมาสองครั้งจึงยอมวางตะเกียบลง

หลินชิงเวยผลักเก้าอี้ออกแล้วยืนขึ้นสะบัดแขนเสื้อ “ไม่ทราบว่าเวลานี้เซ่อเจิ้งอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง ข้าเข้าไปดูสักหน่อย ท่านอ๋องค่อยๆ กินนะเพคะ”

หลินชิงเวยกำลังจะเดินจากไป เซียวอี้กล่าวว่า “เจาอี๋ช้าก่อน เปิ่นหวางไปพร้อมกับเจ้า”

ภายในห้องท่านหมอได้รีบรุดมาถึงแล้ว เขาจับชีพจรวิเคราะห์อาการอยู่ครู่หนึ่ง เซียวเยี่ยนยังไม่ได้สติ หลินชิงเวยและเซียวอี้ยืนอยู่นอกวงล้อม ได้ยินท่านหมอกล่าวว่า “เซ่อ สีหน้าของเซ่อเจิ้งอ๋องแดงก่ำ ริมฝีปากเขียวคล้ำ ผนวกกับชีพจรที่อ่อนแรงสับสน นี่ นี่เป็นอาการของผู้ต้องพิษ!”

คนทั้งหมดในเรือนล้วนตื่นตระหนก

มหาเสนาบดีหลินกล่าวทันทีว่า “บังอาจ เซ่อเจิ้งอ๋องจะต้องพิษได้อย่างไรกัน เจ้าไม่ต้องการศีรษะแล้วใช่หรือไม่!”

“ข้าน้อย ข้าน้อยมิกล้า…” ท่านหมอกล่าว “แต่อาการของเซ่อเจิ้งอ๋อง หากไม่ได้รับการถอนพิษอย่างทันท่วงที เกรงว่า เกรงว่า…”

“เช่นนั้นเจ้ามัวโง่งมอะไรกันเล่า ยังไม่รีบถอนพิษอีก!” จ้าวซื่อตะคอกดุดัน

ท่านหมอลำบากใจอย่างยิ่ง “ท่านใต้เท้ามหาเสนาบดี ฮูหยิน มิใช่ข้าน้อยไม่ถอนพิษให้ แต่เป็นเพราะข้าน้อยไม่ทราบว่าเซ่อเจิ้งอ๋องต้องพิษชนิดใด”

หลินชิงเวยก้มหน้าลงหัวเราะ เสียงใสกังวานของนางดึงขึ้นจากนอกวงล้อม “ข้าจดจำได้ว่าเซ่อเจิ้งอ๋องเพิ่งจะดื่มสุราที่จ้าวฮูหยินเป็นผู้รินให้”

คนทั้งหมดตกตะลึงอีกครั้ง ทุกคนค่อยๆ หันกลับมา ทันทีที่จ้าวซื่อเห็นว่าเป็นหลินชิงเวยก็กล่าวด้วยสีหน้าโกรธขึ้งว่า “เจ้าพูดจาเหลวไหล! ชิงเวย นี่เจ้าหมายความอย่างไรกัน หรือเจ้าคิดว่าข้าเป็นวางยาพิษในสุราของเซ่อเจิ้งอ๋องใช่หรือไม่? ข้าไม่เพียงแต่รินสุราให้เซ่อเจิ้งอ๋องเท่านั้น ข้ารินสุราให้คนทั้งหมด เหตุใดทุกคนจึงไม่เป็นอะไร?”

สีหน้าของหลินชิงเวยสงบนิ่ง นางอดทนฟังจ้าวซื่อพูดจนจบ

เซียวอี้ที่ยืนอยู่ข้างกายมองหลินชิงเวย “ใช่แล้ว เปิ่นหวางดื่มสุราที่จ้าวฮูหยินเป็นผู้เติมให้เช่นกัน ทว่าไม่ได้รู้สึกมีสิ่งใดผิดปกติ”

หลินชิงเวยยังคงไพล่มือทั้งคู่ไว้ด้านหลังดังเดิม ท่าทางของนางช่างน่ารักน่าเอ็นดูและไร้พิษสง สีหน้ากลับดูเหมือนลังเลใจ นางมองหน้าจ้าวซื่อแล้วยกยิ้มมุมปากกล่าว่า “ในเมื่อไม่ใช่ฝีมือของจ้าวฮูหยิน ดูเหมือนท่านจะหวาดกลัวยิ่งนัก? ข้าไม่ได้พูดว่าจ้าวฮูหยินเป็นผู้วางยาพิษ ข้าเพียงแต่พูดว่าเซ่อเจิ้งอ๋องดื่มสุราเท่านั้น ดูท่าแล้วเป็นไปได้ว่าเซ่อเจิ้งอ๋องอาจจะอาหารเป็นพิษ นี่เกี่ยวข้องกับร่างกายของแต่ละคน” จ้าวซื่อพรูลมหายใจโล่งอกออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ หลินชิงเวยกล่าวอีกว่า “แต่สุรานี้กินคู่กับอาหารจานนี้จะทำให้เกิดภาวะอาหารเป็นพิษ ดูเหมือนยากที่จ้าวฮูหยินจะพ้นความผิด”

จ้าวซื่อร้อนใจ ดูเหมือนนางทำอะไรหลินชิงเวยไม่ได้แม้แต่น้อย

ไม่ว่าเซ่อเจิ้งอ๋องจะต้องพิษด้วยสาเหตุใด นางเป็นผู้ดูแลทั้งหมดซ้ำยังเติมสุราคีบอาหาร แน่นอนว่านางไม่อาจปัดความรับผิดชอบให้พ้นตัวได้

ครานี้มหาเสนาบดีหลินไม่อาจมองหลินชิงเวยด้วยดวงตาอันเบิกกว้าง บุตรสาวคนนี้ของตนมีนิสัยขี้กลัวอ่อนแอตั้งแต่เล็กกระทั่งเขาผู้ซึ่งเป็นบิดาก็ยังดูแคลนเล็กน้อย การตัดสินใจให้นางแต่งเข้าวังให้ฮ่องเต้แทนหลินเสวี่ยหรงเพื่อเป็นการเสริมความเป็นสิริมงคลเป็นเรื่องถูกต้องเหมาะสมกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว มหาเสนาบดีหลินไม่ได้รู้สึกละอายแก่ใจในเรื่องนี้แม้แต่น้อย หลินเสวี่ยหรงแตกต่างจากนาง หลินเสวี่ยหรงเยือกเย็นเฉลียวฉลาด งดงามใจกว้าง มหาเสนาบดีหลินมีแผนการให้หลินเสวี่ยหรงแต่งให้เซี่ยนอ๋อง การแต่งงานที่ดีเช่นนี้จึงจะไม่ทำให้สกุลหลินต้องเสียหน้า

ยามนี้ดูแล้ว หลินชิงเวยกลับต่างจากเมื่อก่อนอยู่บ้าง เมื่อก่อนขอเพียงมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นนางก็จะซ่อนตัวในมุมๆ หนึ่งไม่กล้าส่งเสียง วันนี้ร่างของนางกลับเปล่งประกายชนิดหนึ่งดึงดูดสายตาผู้คนให้หันมามอง

มหาเสนาบดีหลินเอ่ยขึ้นว่า “ชิงเวย ไฉนเจ้าจึงรู้ว่าเซ่อเจิ้งอ๋องอาหารเป็นพิษ?”

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

Status: Ongoing
เพราะไม่อยากแต่งไปเป็นนางสนมที่ถูกลืม “หลินเสวี่ยหรง” จึงได้วางยา “หลินชิงเวย” พี่สาวของตนให้ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแทน ทั้งยังตามมาวางยากำหนัดนางอีกถึงในวัง เพื่อใส่ร้ายว่านางคบชู้ ทำให้ ‘หลินชิงเวย’ หญิงสาวยุคปัจจุบันที่ทะลุมิติเข้าร่างมาต้องตกกระไดพลอยโจรไปมีอะไรกับหนุ่มนิรนามที่มาช่วยนางไว้ จนถูกจับได้ว่าคบชู้สู่ชาย ทำให้นางโดนเนรเทศไปอยู่ตำหนักเย็น แม้นางจะทำใจ ยอมอยู่อย่างสงบในตำหนักเย็น ทว่าโลกใบนี้ ไม่ปล่อยให้นางมีความสุขง่ายๆ เช่นนั้น นางจึงต้องใช้ปัญญาและความสามารถทางแพทย์ปกป้องตัวเอง ผนวกกับการได้พบกับชายผู้ยิ่งใหญ่เย็นชาปากไม่ตรงกับใจอย่าง “เซ่อเจิ้งอ๋อง” การได้พบกับเขาทำให้นางค่อยๆ พบความหวัง ที่จะได้กลับมามีอิสรภาพอีกครั้ง! หลินชิงเวย: ท่านอ๋อง ท่านมองลำคออันขาวผ่องของข้าด้วยดวงตาที่เบิกกว้างเช่นนั้น นี่ข้ากำลังปลุกอารมณ์ของท่านหรือ ? เซ่อเจิ้งอ๋อง: คงไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเจ้าจะเป็นสตรีที่ไร้ยางอายเช่นนี้ !

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท