หลินชิงเวยยิ้มจนตาหยีและกล่าวว่า “แน่นอนว่าดูออกเจ้าค่ะ เมื่อสักครู่ข้าเห็นในจานของเซ่อเจิ้งอ๋องมีปลิงทะเลที่เหลือและก้างปลาเมื่อผนวกกับสุราฤทธิ์แรง อาหารทะเลและสุราจะก่อให้เกิดอาการแพ้ นี่เป็นเรื่องรอง บนโต๊ะมีปลิงทะเลและยังมีไก่อบอ้อย อาหารสองจานนี้ไม่เข้ากัน เมื่อนำมากินรวมกันจะทำให้ต้องพิษได้ง่าย พวกท่านลองคิดดูมีคนนำอาหารสองจานนี้มากินด้วยกันบ้างหรือไม่? จ้าวฮูหยิน ประจวบเหมาะกับท่านนำอาหารสองจานนี้วางไว้เบื้องหน้าเซ่อเจิ้งอ๋อง นี่หมายความว่าอย่างไร?”
คนในยุคสมัยโบราณไหนเลยจะรู้ว่าอาหารจะส่งผลกระทบต่อกันได้เช่นนี้ อีกทั้งบนโต๊ะมีอาหารมากมายหลานจาน ใครจะจดได้ว่าเบื้องหน้าเซียวเยี่ยนมีอาหารอะไรบ้าง เมื่อหลินชิงเวยกล่าวคำพูดนี้ออกไป มหาเสนาบดีหลินจึงถลึงตาหนักๆ ให้จ้าวซื่อครั้งหนึ่ง
จ้าวซื่อร้อนตัวทันที “นายท่าน อนุภรรยาไม่รู้เรื่องเหล่านี้เจ้าค่ะ อนุภรรยาไม่รู้อะไรทั้งสิ้น…”
หลินชิงเวยกล่าวเรียบๆ “เจ้าไม่รู้เจ้ายังกล้าลุกขึ้นมาแนะนำอาหาร? วันนี้ข้ายังได้ยินจ้าวฮูหยินพูดกับฮูหยินและคุณหนูเหล่านั้นว่า วันนี้บิดาจะประกาศรับจ้าวฮูหยินเป็นภรรยาเอก”
สีหน้าของจ้าวซื่อขาวเผือดทันที สีหน้าท่าทางของมหาเสนาบดีหลินไม่น่าดูอย่างยิ่ง
ทุกคนล้วนเป็นคนมีฐานะและตำแหน่งอีกทั้งอายุที่มากขึ้น คำพูดบางอย่างพูดคุยเล่นกันในกลุ่มสตรีก็ไม่กระไรนัก ทว่าการให้มหาเสนาบดีหลินประกาศต่อหน้าทุกคนว่าจะรับจ้าวซื่อเป็นภรรยาเอกของเขาแล้วละก็ ไม่ต้องกล่าวถึงว่าอายุปูนนี้แล้วยังประพฤติตนหน้าไม่อาย จ้าวซื่อผู้นี้ยังเป็นภรรยาน้องชายของเขา ต่อให้เขารับเข้ามาในเรือนจริงๆ เหตุใดต้องทำเป็นเรื่องอึกทึกครึกโครม?
จ้าวซื่อไม่ต้องการหน้าตา เขามหาเสนาบดีหลินยังต้องการหน้าตา
หลินชิงเวยกล่าวอีกว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ดูแล้วหากจ้าวซื่อคิดจะเป็นประมุขหญิงของครอบครัวยังต้องฝึกฝนอีกมาก”
“เจ้า” จ้าวซื่อกล่าวอย่างขุ่นเคืองใจ “ชิงเวย ยามปกติข้าดีต่อเจ้าไม่น้อย ไฉนเจ้าจึงพูดจาเช่นนี้”
หลินชิงเวยหัวเราะ “จ้าวฮูหยินต้องการอบรมสั่งสอนข้า ไม่สู้เร่งคิดหาวิธีที่จะช่วยเซ่อเจิ้งอ๋องได้อย่างไรดีกว่ากระมัง เซ่อเจิ้งอ๋องจะแย่แล้ว”
ท่านหมอร้อนใจจนเหงื่อแตกท่วมตัวกล่าวขึ้นว่า “ท่านใต้เท้ามหาเสนาบดี ข้าน้อย ข้าน้อยไม่รู้ว่าจะเริ่มรักษาอย่างไรจริงๆ ขอรับ…”
เซี่ยนอ๋องกลับหันมามองหลินชิงเวย ในที่สุดเขากล่าวกลั้วหัวเราะขึ้นว่า “เจาอี๋เหนียงเหนียง เมื่ออยู่ในวังมักจะเห็นเจ้าอยู่ข้างกายฝ่าบาท ถวายการรักษาพระวรกายฝ่าบาทจนอาการประชวรกระเตื้องขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เซ่อเจิ้งอ๋องเพียงแค่อาหารเป็นพิษไม่ใช่เจ้ารักษาไม่ได้กระมัง?”
มหาเสนาบดีหลินตื่นตะลึง รีบถามว่า “ชิงเวย เจ้ารักษาได้จริงๆ หรือ?”
“ท่านพ่อ หรือท่านพ่อก็ไม่กระจ่างแจ้งว่าข้ารักษาได้หรือไม่?” หลินชิงเวยย้อนถาม มหาเสนาบดีหลินตอบคำถามนี้ไม่ได้
ถูกต้อง บุตรีของตนเองมีความสามารถอะไรบ้างตนย่อมกระจ่างแจ้งดี ไฉนจะมีความสามารถทางการแพทย์เช่นเซี่ยนอ๋องกล่าวได้
เซี่ยนอ๋องกล่าว “ดูแล้วมหาเสนาบดีหลินยังไม่รู้ว่าเจาอี๋เหนียงเหนียงร้ายกาจเพียงใด เจาอี๋ใยต้องซ่อนคมไว้ในฝักด้วยเล่า? ในวังล้วนรู้ดีว่าความรู้ทางการแพทย์ของเจาอี๋นั้นเป็นเลิศ ล้ำหน้าสำนักหมอหลวงทั้งสำนัก เพียงแต่เรื่องนี้ยังไม่ได้ถูกโจษจันมาถึงข้างนอกเท่านั้นเอง อีกประเดี๋ยวพิสูจน์ก็รู้ว่าหลินเจาอี๋แตกฉานในวิชาแพทย์ ทว่ากลับปฏิเสธที่จะช่วยรักษาเซ่อเจิ้งอ๋อง สกุลหลินทั้งครอบครัวต้องถูกทำให้เดือดร้อนไปด้วย”
มหาเสนาบดีหลินได้ยินเช่นนั้นจึงเชื่อในคำพูดของเซี่ยนอ๋องทันที เขากล่าวอย่างคาดหวังว่า “ชิงเวย ในเมื่อเจ้ารู้วิชาแพทย์ ไยไม่รีบลงมือรักษา หรือเจ้าต้องการให้พวกเราทุกคนถูกเจ้าทำให้เดือดร้อนไปด้วยใช่หรือไม่?”
หลินชิงเวยเลิกคิ้วทว่าน้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างที่สุด “จิตใจของท่านพ่อลำเอียงไปอยู่ด้านขวาแล้วกระมัง ช่างรู้จักเปลี่ยนตัวผู้ร้ายเหลือเกิน ก่อนหน้านี้เป็นจ้าวฮูหยินมิใช่หรือ เวลานี้กลายเป็นข้าเสียแล้ว ก็ใช่ เมื่อก่อนท่านพ่อมักใช้วิธีการเช่นนี้ในการแก้ปัญหาเสมอ” มหาเสนาบดีหลินอ้าปาก ไม่รอให้เขาพูดจาสักประโยค หลินชิงเวยโบกไม้โบกมือแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เดือดร้อนก็เดือดร้อน อย่างไรผู้ที่ทำให้เซ่อเจิ้งอ๋องต้องพิษก็ไม่ใช่ข้า ข้าเป็นบุตรสาวที่แต่งออกไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป ไม่ใช่คนในสกุลหลินเนิ่นนานแล้ว และเป็นเจาอี๋ของฝ่าบาท เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับสกุลหลินของพวกท่าน” นางหันไปมองมหาเสนาบดีหลินอย่างดื้อดึง ไม่ใช่ท่าทีคุ้นเคยที่เคยพบเห็นในยามปกติ มุมปากนั้นยังมีรอยยิ้มชั่วร้าย ซ้ำยังพูดอย่างเย่อหยิ่งออกมาอีกว่า “เกี่ยวอันใดกับข้าด้วยเล่า”
มหาเสนาบดีหลินสูดลมหายใจเข้าลึก เมื่อก่อนหลินชิงเวยไม่มีทางกล้าหาญพูดจาเนรคุณเช่นนี้ออกมา
หลินชิงเวยหันกายเดินออกประตูห้องไป พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จงใจลากเสียงให้ยาว “บรรดาแขกเหรื่อที่อยู่ด้านหน้าเวลานี้น่าจะกินดื่มอิ่มเอมแล้วกระมัง ข้าจะไปเรียกให้พวกเขามามุงดูที่นี่”
“ชิงเวย!” มหาเสนาบดีหลินยับยั้งนาง
นางหยุดอยู่หน้าประตู หันกลับมายิ้มให้คนทั้งหมด “ข้ามีวิธีรักษาเซ่อเจิ้งอ๋องจริงๆ แต่ขอบิดาปฏิบัติกับข้าด้วยท่าทีที่ดีกว่านี้สักหน่อย”
มหาเสนาบดีหลินไม่อาจไม่ลดท่าทีดุดันของตนลง “ได้ๆๆ เมื่อก่อนเป็นบิดาที่ทำไม่ถูกต้อง ในเมื่อชิงเวยมิวีธีรักษาก็รีบช่วยเซ่อเจิ้งอ๋องเถิด”
หลินชิงเวยกล่าว “ข้าอยากรู้เช่นกันว่า หลังจากท่านอ๋องฟื้นแล้ว ท่านพ่อจะจัดการจ้าวฮูหยินต่อหน้าท่านอ๋องอย่างไร”
ร่างของจ้าวฮูหยินสั่นเทิ้มแทบจะล้มลง โชคยังดีที่มีหลินเสวี่ยหรงประคองเอาไว้ หลินเสวี่ยหรงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ท่านแม่ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ ท่านพ่อไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องอะไรกับท่านแม่”
“อาศัยเพียงเจ้าเรียกว่า “ท่านพ่อ” หลินชิงเวยนั่งลงริมเตียงของเซียวเยี่ยน กล่าวขึ้นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ท่านพ่อก็ต้องหนุนหลังพวกเจ้าสองคนแม่ลูกหรือ”
หลินเสวี่ยหรงกัดริมฝีปากของตน ในใจเคียดแค้นชิงชังยิ่งนัก ทว่ากลับไม่อาจเอ่ยปากโต้ตอบกลับไปได้
ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าหลินชิงเวยมีวิธีการรักษาจริงๆ นางมีเข็มเงินติดตัวมา นางฝังเข็มลงไปสองสามเล่ม ร่างของเซียวเยี่ยนพลันมีปฏิกิริยาโต้ตอบ จากนั้นคนจึงค่อยๆ ได้สติคืนมา
สีแดงบนใบหน้าของเขาเลือนหายไป เมื่อลุกขึ้นนั่งยังรู้สึกปวดศีรษะอย่างรุนแรงจึงยกมือขึ้นประคองหน้าผากเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแยกแยะอารมณ์ไม่ออกว่า “มหาเสนาบดีหลิน เจ้าช่างบังอาจนัก นี่คิดจะวางแผนลอบทำร้ายเปิ่นหวางใช่หรือไม่?”
มหาเสนาบดีตกใจจนตัวสั่น เขาและจ้าวซื่อสองแม่ลูกรีบคุกเข่าลงบนพื้น
หลินชิงเวยคาดไม่ถึงว่าเซ่อเจิ้งอ๋องจะกล่าวเช่นนี้ นัยน์ตาของนางกลอกไปมาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เซ่อเจิ้งอ๋องโปรดระงับโทสะด้วยเพคะ นี่ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอันใด หากส่งผลถึงไฟในตับลุกลามไปถึงปอดจะเป็นเรื่องไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไปเพคะ เซ่อเจิ้งอ๋องเพียงแต่อาหารเป็นพิษ ดูเหมือนจ้าวฮูหยินนำอาหารสองจานมาเบื้องหน้าเซ่อเจิ้งอ๋อง จึงทำให้เซ่อเจิ้งอ๋องกินอาหารผิดทำให้ต้องพิษ”
“เซ่อเจิ้งอ๋องโปรดระงับโทสะ เซ่อเจิ้งอ๋องโปรดระงับโทสะเพคะ อนุภรรยาไม่รู้จริงๆ ว่าอาหารจะส่งผลกระทบต่อกันได้…”
“จ้าวฮูหยิน?” เซียวเยี่ยนช้อนตาขึ้นมองจ้าวซื่อแวบหนึ่ง “เป็นฮูหยินของมหาเสนาบดีหลินใช่หรือไม่? ไม่ว่าจะมีเจตนาหรือไม่ โทษนี้ไม่อาจละเว้นได้ มหาเสนาบดีหลินเจ้ากำเริบเสิบสานเทียมฟ้า กลับให้ฮูหยินวางแผนลอบวางยาพิษเปิ่นหวาง”
“หาใช่ไม่พ่ะยะค่ะ เซ่อเจิ้งอ๋องโปรดตรวจสอบให้กระจ่างแจ้งด้วยพ่ะยะค่ะ” มหาเสนาบดีหลินรีบพูดอย่างร้อนใจ “จ้าวซื่อไม่ได้เป็นฮูหยินของกระหม่อมพ่ะยะค่ะ นางเป็นเพียงภรรยาม่ายของพี่ชายที่จากไปแล้วของกระหม่อมทิ้งเอาไว้พะยะค่ะ กระหม่อมเวทนานางสองแม่ลูกไร้ที่พึ่ง จึงได้รับพวกนางมาดูแล คิดไม่ถึงว่าพวกนางกลับทำเรื่องเช่นนี้ออกมาพะยะค่ะ”
“เจ้าพูดถึงแม่ทัพหลิน?” คิ้วของเซียวเยี่ยนคลายลงเล็กน้อย ราวกับกำลังครุ่นคิด
“ถูกต้องพะยะค่ะ”
“แต่เปิ่นหวางได้ยินว่ามหาเสนาบดีหลินท่านกำลังจะรับนางมาเป็นภรรยาเอก”
มหาเสนาบดีหลินกล่าวว่า “เซ่อเจิ้งอ๋องทรงปราดเปรื่อง นี่เป็นเพียงคำเล่าลือเท่านั้น กระหม่อมไหนเลยจะแต่งพี่สะใภ้มาเป็นภรรยาได้! กระหม่อมขอกล่าวคำปฏิญาณในที่นี้ กระหม่อมรับพวกนางเข้ามาด้วยความสงสารเวทนาพวกนางเท่านั้น ไม่มีความคิดเป็นอื่นเด็ดขาด! กระหม่อมระลึกถึงภรรยาผู้ล่วงลับไปแล้วของกระหม่อมเท่านั้น จะไม่รับภรรยาเอกคนใหม่หรืออนุตลอดไป หากเซ่อเจิ้งอ๋องไม่เชื่อ กระหม่อมยินดีรับโทษทัณฑ์ทุกอย่างพ่ะยะค่ะ!”
สีหน้าของจ้าวซื่อซีดเผือดจนแทบจะยืนไม่อยู่