เซียวเยี่ยนกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เปิ่นหวางเห็นแก่ในอดีตที่แม่ทัพหลินซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อราชสำนัก จ้าวซื่อผู้นี้กระทำการลงไปโดยไม่เจตนา เปิ่นหวางไม่ติดใจอันใด คำพูดของมหาเสนาบดีหลินในวันนี้เปิ่นหวางจดจำเอาไว้แล้ว”
คำพูดเหล่านี้ชัดเจนยิ่งไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว หากมหาเสนาบดีหลินไม่แจกแจงความสัมพันธ์ให้ชัดเจน เซ่อเจิ้งอ๋องมีเหตุผลอย่างยิ่งที่จะสงสัยว่าเป็นมหาเสนาบดีหลินเองที่สั่งให้จ้าวซื่อทำเช่นนี้ ยังดีที่มหาเสนาบดีหลินตัดความสัมพันธ์กับจ้าวซื่อสองคนแม่ลูก จึงดึงตัวเองออกมาได้อย่างสะอาดสะอ้าน อีกทั้งจุดประสงค์ของเซ่อเจิ้งอ๋องไม่ได้อยู่ที่จะจัดการจ้าวซื่อสองแม่ลูกอย่างไร แต่เห็นแก่แม่ทัพหลินในอดีตจึงไม่ติดใจเอาความต่อการกระทำด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของจ้าวซื่อ กลับส่งผลให้ความเมตตาอารีของเขาชัดเจนขึ้นในสายตาทุกคน
งานฉลองวันเกิดในวันนี้น่าอึดอัดคับข้องใจจริงๆ ในใจของมหาเสนาบดีหลินเต็มไปด้วยความโกรธขึ้ง ทว่ากลับไม่อาจบันดาลโทสะออกมา
เซี่ยนอ๋องดูละครฉากเด็ดตั้งแต่ต้นจนจบ ทว่าละครฉากนี้ยังไม่จบ
เซ่อเจิ้งอ๋องยังคงพักผ่อนอยู่ในจวนมหาเสนาบดี หลินชิงเวยคร้านจะพูดคุยกับผู้อื่นจึงได้แต่เดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้อย่างไร้จุดหมาย ได้ยินว่าคืนนี้ในจวนยังมีงานเลี้ยงค่ำอีกครั้งหนึ่ง ด้วยเหตุนี้แขกเหรื่อทั้งหลายจึงยังรั้งอยู่ที่นี่เพื่อรอเวลาร่วมงานเลี้ยงยามค่ำแล้วจึงจะแยกย้าย
หลินชิงเวยนั่งอยู่ริมบ่อน้ำแห่งหนึ่ง ในบ่อน้ำได้ปลูกดอกบัวไว้เล็กน้อย ยามนี้ท่ามกลางใบบัวได้ปรากฏช่อดอกบัวสีเขียวอ่อนๆ ขึ้นมาแล้ว แต่ดอกตูมของดอกบัวยังคงถูกห่อหุ้มไว้อย่างมิดชิด ดูเหมือนเม็ดตุ่มสีเขียวๆ อย่างไรอย่างนั้น ราวกับพวกมันยังต้องการรอให้สภาพอากาศอบอุ่นขึ้นกว่านี้เล็กน้อยจึงค่อยๆ คลายตัวออกมาให้เห็น
รอบๆ บ่อน้ำมีบุปผาแห่งวสันตฤดูเบ่งบานพุ่มแล้วพุ่มเล่าจึงส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งสวน พุ่มดอกไม้สีเหลืองอ่อนดอกเล็กๆ ร่วงหล่นลงบนผิวน้ำสีเขียวมรกตให้ความรู้สึกสงบสุขและงดงามยิ่งนัก ตะใคร่น้ำสีเขียวขึ้นตามผนังของบ่อน้ำตามกาลเวลา ความเงียบสงบของผิวน้ำพลันเกิดความเคลื่อนไหวระลอกหนึ่ง อาจเป็นเพราะถูกรบกวนจากกบตัวใดตัวหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่
หลินชิงเวยนั่งอยู่ที่พักหนึ่ง พลันได้ยินเสียงพูดจาลอยมาจากสถานที่ไม่ใกล้ไม่ไกล
น้ำเสียงนั้นทั้งขมขื่นและแสบสัน ทางหนึ่งเดินไปอีกทางหนึ่งก่นด่าไปด้วย
“คิดไม่ถึงว่านางคนต่ำช้าคนนั้นแต่งงานออกเรือนไปแล้ว ยังกล้ากลับมาก่อคลื่นลม! ครั้งก่อนนางทำผิดใหญ่หลวงเช่นนั้น ไทเฮาเหนียงเหนียงควรจะประหารนางเสีย!”
“ท่านแม่ ท่านอย่าได้โกรธขึ้งอีกเลย วันนี้นางกล้าทำเช่นนี้ วันหน้าลูกจะทำให้นางมีจุดจบที่ย่ำแย่กว่านี้!”
“ฮึ คนต่ำช้านางนั้น ต่อให้นำนางมาถลกหนังเลาะกระดูกก็ไม่อาจคลายความแค้นเคืองในใจของข้าได้!”
“ท่านแม่…” หลินเสวี่ยหรงเห็นเงาร่างของสตรีนางหนึ่งนั่งอยู่ริมบ่อน้ำแห่งนั้น จึงส่งเสียงเรียกจ้าวซื่อคำหนึ่ง
จ้าวซื่อโมโหจนดวงตาแดงก่ำ เมื่อเหลือบไปเห็นหลินชิงเวยอีกครั้งจึงเคียดแค้นเสียจนต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน หลินชิงเวยนั่งแกว่งขาทั้งคู่เบาๆ กระโปรงของนางบานตัวลงด้านข้างบ่อน้ำ กระโปรงปลิวสะบัดตามแรงลมทิ้งตัวลงมาเบาๆ ดูงดงามและสง่างาม นางเอียงหน้ามองสองแม่ลูกด้วยรอยยิ้มสวยงาม คิ้วของนางชี้ขึ้นเล็กน้อย “ใครคือคนต่ำช้า?”
จ้าวซื่อสูดลมหายใจเข้าลึกสองครั้งเพื่อควบคุมความเดือดดาลในใจให้สงบลง อย่างไรก็ควรมีบุคลิกและท่าทางของประมุขหญิงของเรือน นางประสานมือทั้งคู่ให้หลินเสวี่ยหรงประคองเดินเข้าไป ใบหน้าแข็งเกร็งนั้นราวกับดินโคลนก็ไม่ปาน บนใบหน้าของนางได้ประทินแป้งไว้หนาเตอะชั้นหนึ่ง อย่างไรก็ต้องเก็บอัดความอาฆาตเอาไว้ในใจ นางกล่าวว่า “ที่แท้เป็นชิงเวยรึ เจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่?”
ยิ่งจ้าวซื่อเสแสร้งเป็นสตรีผู้มีคุณธรรมมากเท่าใด รอยยิ้มของหลินชิงเวยยิ่งเบิกบานใจ ราวกับท่าทีเสแสร้งของจ้าวซื่อในสายตาของหลินชิงเวยแล้วเปรียบเสมือนกระดาษบางๆ แผ่นหนึ่ง แค่แตะก็ทะลุ ทำให้จ้าวซื่อเองก็รู้สึกว่าไร้ประโยชน์เช่นกัน
หลินชิงเวยกล่าว “ที่นี่เงียบสงบ ทัศนียภาพงดงาม ข้าย่อมต้องนั่งชื่มชมธรรมชาติที่นี่ อย่างไรเล่า คนแซ่จ้าวเช่นพวกเจ้าไม่ทำเช่นนี้คงนอนไม่หลับใช่หรือไม่?”
หลินเสวี่ยหรงกลับเป็นฝ่ายทนไม่ได้ก่อน นางกล่าวอย่างแค้นเคืองว่า “พี่ชิงเวย ท่านแม่ของข้าอาจจะไม่ใช่ท่านแม่ของท่าน แต่เป็นป้าสะใภ้ของท่านเช่นกัน เป็นผู้อาวุโส เจ้าพูดจาให้ความเคารพสักหน่อยได้หรือไม่?”
“เคารพสักหน่อย?” สายตาของหลินชิงเวยเรียบเฉย ริมฝีปากยกยิ้ม “ความเคารพนั้น ไฉนผู้อื่นไม่ให้แต่กลับร้องขอจากผู้อื่นด้วยตนเองเล่า เรื่องเหล่านี้เป็นความรู้สึกทั้งสองฝ่าย อย่างไรเล่า พวกเจ้าเรียกข้าว่าคนต่ำช้าได้ ข้ากลับเรียกพวกเจ้าว่า คนแซ่จ้าว คนแซ่หลิน ไม่ได้?”
หลินเสวี่ยหรงยังคิดจะโต้ตอบแต่ถูกจ้าวซื่อยับยั้งเอาไว้
หลินชิงเวยหัวเราะออกมา “ตกมาอยู่ในมือของพี่สาว พี่สาวจะให้พวกเจ้ารู้ว่า อะไรเรียกว่าไม่ทำผิดศีลธรรมย่อมไม่พ่ายแพ้”
แม้ในใจของจ้าวซื่อจะโกรธแค้นดังมีเปลวเพลิงลุกท่วมฟ้า สีหน้าท่าทางบนใบหน้าของนางแทบจะบิดเบี้ยวแต่นางยังคงข่มกลั้นอย่างที่สุด “ชิงเวย ป้าสะใภ้ยังต้องขอบคุณเจ้า โชคดีเพียงใดที่เจ้าช่วยเหลือ จึงช่วยเซ่อเจิ้งอ๋องให้พ้นจากอันตรายได้ทันเวลา หาไม่แล้วพวกเราไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี”
หลินชิงเวยเดาะปาก “จ้าวฮูหยินไม่ต้องขอบคุณข้า อาหารบนโต๊ะนั้นล้วนเป็นอาหารเลิศรส ทุกคนยังไม่ทันได้ลิ้มลอง แต่ข้ากลับลองชิมดูทุกอย่างแล้ว ไก่อบอ้อยนั้นรสชาติหวานและสดมาก ปลิงทะเลนั้นกรุบกรอบและมีรสชาติโอชาเช่นกัน”
ทันทีที่คำพูดนี้กล่าวออกไป จ้าวซื่อไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไป “เจ้ามิใช่กล่าวว่าไก่อบอ้อยกินร่วมกับปลิงทะเลแล้วจะทำให้เกิดอาหารเป็นพิษอย่างง่ายดายหรือไร?”
หลิงชิงเวยกะพริบตาปริบๆ “ข้ามิใช่บอกด้วยหรือว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคนใช่หรือไม่? ไม่แน่ว่าเซ่อเจิ้งอ๋องต้องพิษด้วยสาเหตุนี้ แต่ข้ากินแล้วไม่เกิดอะไรขึ้นนี่นา”
“ไม่แน่ว่า?” จ้าวซื่อโกรธแค้นจนหัวเราะออกมา “ช่างเป็นความไม่แน่ที่ดียิ่งนัก! หลินชิงเวย ข้าว่าเจ้าต้องการกลับมาก่อเรื่องยุ่งยากกระมัง?!”
หลินชิงเวยค่อยๆ ใช้ฝ่ามือยันกายลุกขึ้นยืน นางปัดมือแล้วกล่าวว่า “อย่างไร พวกเจ้าเพิ่งได้สติคืนมาหรือ? มีเพียงพวกเจ้าที่ใช้วิธีชั้นต่ำได้ ไม่ให้ข้ากลับมาฟื้นฝอยหาตะเข็บ?” นางยิ้มจนดวงตาโค้งลง “เจ้าดูเจ้าสิ ทำงานอย่างยากลำบากมาเป็นเวลาหลายปีเช่นนี้เพื่อสกุลหลิน เริ่มจากเด็กกำพร้าหญิงม่ายที่เข้ามาขออาศัยอยู่ใต้ชายคาเรือนของผู้อื่น มาถึงเวลานี้เปลี่ยนจากฐานะของแขกผู้มาเยือนกลายมาเป็นเจ้าของเรือน คิดดูแล้วคงทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไม่น้อยเลยทีเดียว บัดนี้ดูท่าทางตาเฒ่าใกล้จะรับเจ้ามาเป็นภรรยาเอกอยู่แล้ว พวกเจ้าสองคนแม่ลูกอดทนจนใกล้จะได้ดีแล้ว เขากลับให้คำสัตย์ปฏิญาณว่าจะไม่แต่งภรรยาเอกอีกตลอดกาล ด้วยรำลึกถึงภรรยาที่จากไปแล้ว”
จ้าวซื่อสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง หลินชิงเวยกล่าวอีก “พวกเจ้าควรจะขอบคุณข้า ตาเฒ่าผู้นี้เป็นคนเจ้าเล่ห์คนหนึ่ง หากมิใช่เพราะเกิดเรื่องกับเซ่อเจิ้งอ๋อง จะเห็นธาตุแท้ในจิตใจของเขาได้อย่างไรกัน เพื่อความปลอดภัยของตนเองแล้วเขาโยนพวกเจ้าสองแม่ลูกไปไว้อีกทางหนึ่งทันที พวกเจ้ายังคิดว่าตนเองเก็บสิ่งของล้ำค่าได้หรือ เพียงแต่ข้าไม่สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย ข้ารู้แต่ว่าผลลัพธ์นั้นประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง” นางมองจ้าวซื่อสองแม่ลูกยิ้มๆ “นั่นก็คือจ้าวฮูหยินไม่อาจก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งภรรยาเอกของสกุลหลินตลอดกาล ส่วนน้องเสวี่ยหรงจะเป็นน้องสาวลูกผู้น้องของสกุลหลินตลอดไป ไม่อาจกลายเป็นบุตรสาวสายตรงได้ น้องเสวี่ยหรงเจ้ามิใช่ชอบโอ้อวดกับข้าหรอกหรือ เจ้าเรียกตาเฒ่าว่า “ท่านพ่อ” เรียกโดยเปล่าประโยชน์แล้ว”
“เจ้า!” หลินเสวี่ยหรงไม่คำนึงถึงหน้าตาของตนแล้วนางโผเข้าไปทันที
หลินชิงเวยกล่าวขึ้นว่า “น้องเสวี่ยหรง ทำเรื่องอันใดต้องใช้สมองพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน หากเจ้าลงมือกับข้า ดีชั่วอย่างไรข้าก็เป็นบุตรสาวสายตรง ด้วยการกระทำไม่รู้จักผ่อนหนักเบา ข้ามหน้าข้ามตาของเจ้ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะขับไล่บุตรสาวกำพร้าและหญิงม่ายออกไปจากสกุลหลิน หากไม่เชื่อเจ้าก็ลองดูว่าข้ามีวิธีหรือไม่” สายตาของนางที่จับจ้องหลินเสวี่ยหรงเยียบเย็นเสียจนทำให้หลินเสวี่ยหรงก้าวขาไม่ออก
หลังจากเหตุการณ์วันนี้แล้วจ้าวซื่อสองแม่ลูกกลายเป็นเรื่องตลกขบขันในแวดวงสตรีชั้นสูงทั้งหลาย หากยังต้องถูกขับไล่ออกจากจวนสกุลหลิน ต่อไปจะมีที่ยืนได้อย่างไร