หากมิใช่ด้วยต่อมาเซียวเยี่ยนไล่นางออกไป ต่อมาไม่แน่ว่านางอาจจะยืมสถานที่ของเซียวเยี่ยนเพื่อเข้านอน หลินชิงเวยไม่ได้ดื้อดึงอยู่ต่อ ทางหนึ่งเก็บล่วมยาอีกทางหนึ่งเหลือบมองเซียวเยี่ยนด้วยสายตาเห็นขัน “กำลังคิดว่าข้าเป็นคนทำอะไรสบายเกินไปใช่หรือไม่? ท่านก็คิดเสียว่าข้าเป็นสตรีที่ทำอะไรสบายๆ คนหนึ่งก็แล้วกัน อย่างไรข้าก็ทำตัวตามสบายกับท่านคนเดียวเท่านั้น” พูดแล้วนางก็ยืนยึ้น ก้มหน้าดูบาดแผลบนแผ่นหลังของเซียวเยี่ยน “บนหลังของท่านมีบาดแผลมากมายเช่นนี้ แต่ละบาดแผลข้าล้วนจดจำขึ้นใจ” บนกระดูกสันหลัง เป็นบาดแผลที่ลึกที่สุด ตรองดูแล้วคิดว่าต้องได้รับความทุกข์ทรมานไม่น้อย ท้องนิ้วของหลินชิงเวยค่อยๆ ลูบผ่านบาดแผลบนแผ่นหลังของเขาทีละชุ่น กล้ามเนื้อแผ่นหลังของเขาค่อยๆ เครียดเขม็งขึ้น ได้ยินหลินชิงเวยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาหวิวและอ่อนโยนว่า “ข้ายังรู้ด้วยว่าบาดแผลนี้ส่งผลกระทบไปถึงขาของท่านด้วย ท่านไฉนจึงไม่ถ่ามว่าข้ารู้ได้อย่างไร?”
เซียวเยี่ยนกล่าวด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยน “เจ้าอย่าได้คิดว่าช่วยเปิ่นหวางทำแผลในคืนนี้แล้วจะกระทำการตามใจตนได้”
“ไร้อารมณ์ขัน” หลินชิงเวยไม่หยอกเย้าเขาอีก นางเห็นร่างของเขาเกร็งขึ้นเกรงว่าจะเคร่งเครียดเสียจนส่งผลเสียให้กับบาดแผล จึงหยิบผ้าห่มผืนบางมาห่มบนร่างของเขา “ท่านต้องการให้ข้าไปถึงเพียงนี้ กลางดึกหากรู้สึกไม่สบายตรงไหนให้สุนัขรับใช้ของท่านมาหาข้า”
หลินชิงเวยเดินออกไปด้านนอกประตู องครักษ์เงยหน้าขึ้นมองนางด้วยสายตาโง่งม
นาง นางขวัญกล้าเทียมฟ้า ถึงกับกล้าสวมใส่อาภรณ์ของเซ่อเจิ้งอ๋อง
หลินชิงเวยตวัดหางตามามองเขา “มองอะไรกัน เจ้าไม่คิดว่าเจ้าจ้องมองเจาอี๋เช่นนี้เป็นการเสียมารยาทหรือ?” นางโยนล่วมยาให้องครักษ์ “ช่วยข้าถือมา สายตาของเจ้าคืออะไรกัน อ้อ เจ้าคิดว่าข้าดูหมิ่นเซ่อเจิ้งอ๋องของเจ้าใช่หรือไม่? ข้ามีความปรารถนาอยู่หรอกนะ เพียงแต่เขามีบาดแผลบนร่างกายจึงทำอะไรไม่ได้”
องครักษ์ผู้ติดตาม “…” หยาบคาย
หลินชิงเวยมองสีหน้าบนใบหน้าของเขา “กล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูด ช่างน่าเบื่อเหมือนเจ้านายของเจ้า ยืนทึ่มทื่ออะไรอยู่อีก ยังไม่รีบส่งข้ากลับไป ข้าจำทางไม่ได้”
องครักษ์ผู้ติดตามได้แต่สะพายล่วมยาแล้วส่งหลินชิงเวยกลับตำหนักฉางเหยี่ยนไปอย่างไม่เต็มใจ หากเขาใช้วรยุทธ์เหินกายไปตำหนักฉางเหยี่ยนใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที แต่หลินชิงเวยเดินเท้าและเดินช้า จึงต้องเสียเวลาไปเกือบๆ หนึ่งชั่วยาม
เมื่อไปถึงตำหนักฉางเหยี่ยน องครักษ์รู้สึกว่าเขาทนเก็บความอึดอัดคับข้องใจไว้ไม่ได้อีกต่อไป เมื่อเขาส่งหลินชิงเวยไปถึงจุดหมายจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจาอี๋เหนียงเหนียงเป็นถึงเหนียงเหนียงในตำหนักในของฮ่องเต้ จะเป็นการดีที่สุดหากอยู่ห่างจากเซ่อเจิ้งอ๋อง เช่นนี้แล้วเป็นเรื่องดีต่อเหนียงเหนียงและเซ่อเจิ้งอ๋องพ่ะยะค่ะ” ท่านอ๋องเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ โดยทั่วไปแล้วมือสังหารทำอะไรเขาไม่ได้ องครักษ์ไหนเลยจะไม่กระจ่างแจ้งว่าหากมิใช่ด้วยพาหลินชิงเวยไปด้วย เซ่อเจิ้งอ๋องคงไม่บาดเจ็บถึงเพียงนี้
หลินชิงเวยสูดลมหายใจเข้าลึก “ดียิ่ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พรุ่งนี้เซ่อเจิ้งอ๋องจะมีอาการตัวร้อน เจ้าไม่ต้องมาหาข้า ไปหาหมอหลวง หมอหลวงที่รักษาไม่ได้แม้แต่พระอาการตัวร้อนของฝ่าบาท ดูว่าจะรักษาอาการตัวร้อนของเซ่อเจิ้งอ๋องให้ลดลงได้หรือไม่”
พูดแล้วหลินชิงเวยก็หยิบล่วมยาของตนกลับมาแล้วหันกายเดินเข้าไป
ทว่าวันรุ่งขึ้นนางยังไม่ตื่นนอน ซินหรูกลับยืนพูดจ้ออยู่ในห้องนอนของนาง “พี่สาว เมื่อคืนท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อใดกัน? ยังมีอีก ยังมีอีก เช้าวันนี้มีพี่ชายตัวโตที่เคยปรากฏตัวในตำหนักเย็นครั้งก่อน เขามาหาพี่สาวเจ้าค่ะ รออยู่ข้างนอกเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว บอกว่าเซ่อเจิ้งอ๋องตัวร้อนมากเจ้าค่ะ มาเชิญเจ้าไปทางนั้น”
หลินชิงเวยเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน “เจ้าให้เขาไปเชิญหมอหลวง พี่สาวต้องรักษาระยะห่างกับเซ่อเจิ้งอ๋อง”
“อ้อ” ซินหรูเดินออกไปจริงๆ นางพูดกับองครักษ์คนสนิทที่รออยู่ในลานเรือนว่า “พี่สาวบอกให้ท่านไปหมอหลวง พี่สาวต้องรักษาระยะห่างกับเซ่อเจิ้งอ๋องเจ้าค่ะ”
สีหน้าขององครักษ์ผู้ติดตามแปรเปลี่ยนเป็นสับสนยุ่งเหยิงทันที
ซินหรูเอามือแตะปลายคางแล้วมองเขา “ท่านทำให้พี่สาวโมโหแล้วใช่หรือไม่?” องครักษ์ผู้ติดตามตื่นตะลึง นางเอ่ยอีกว่า “ดูท่าไม่ผิดแน่แล้ว ท่านให้พี่สาวรักษาระยะห่างกับเซ่อเจิ้งอ๋องเป็นแน่”
องครักษ์ “ไฉนเจ้าจึงรู้เล่า?”
ซินหรู “เพราะพี่สาวให้ข้ามาบอกกับท่านว่านางจะรักษาระยะห่างระหว่างนางและเซ่อเจิ้งอ๋องนี่นา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ท่านยังจะมาที่นี่ทำไมกันเล่า ยังไม่รีบไปหาหมอหลวง?”
องครักษ์ “รบกวนเจ้าไปรายงานเหนียงเหนียงอีกครั้ง เช้าตรู่วันนี้ท่านอ๋องเริ่มตัวร้อน ต้องรบกวนเหนียงเหนียงเสด็จตำหนักอวี้หลิง” เซ่อเจิ้งอ๋องมีบัญชา เรื่องนี้ห้ามกระโตกกระตาก เรียกหมอหลวงจะเป็นการไม่ปลอดภัย ดังนั้นเขาจึงได้แต่ทำตัวหน้าหนามาหาหลินชิงเวย อีกทั้งวิชาแพทย์ของหลินชิงเวยเก่งกาจกว่าหมอหลวง เรื่องนี้เขาย่อมรู้ดี
“เช่นนั้นอย่างน้อยท่านก็ต้องก้มหน้ายอมรับผิดจึงจะใช้ได้”
แม้ในใจขององครักษ์ผู้ติดตามจะไม่ยินดีนัก แต่เซ่อเจิ้งอ๋องรอไม่ได้ เขาจึงกล่าวขอขมาเสียงดังด้านนอกประตูนั้นเอง หลินชิงเวยตื่นแล้วหลังจากสางผมเรียบร้อยนางก็นั่งอยู่ข้างหน้าต่าง สีหน้าผ่อนคลาย ซินหรูพูดอยู่ข้างกายว่า “พี่สาว พี่ชายคนนั้นขอขมาแล้วเจ้าค่ะ ไม่สู้ท่านออกไปดูหน่อยเถิด หากเกิดเรื่องขึ้นกับเซ่อเจิ้งอ๋องจริงๆ ละเจ้าคะ?”
หลินชิงเวย “วางใจ ต่อให้เขาไม่มา ข้าก็ต้องไปดู ข้าคำนวณดูแล้วใกล้จะได้เวลาแล้ว”
เมื่อหลินชิงเวยเปิดประตูออกมา องครักษ์ผู้ติดตามเห็นสีหน้าที่ผ่อนคลายลงบ้างแล้วของนางรอกระทั่งนางเดินผ่านหน้าตน องครักษ์กลับกล่าวเสียงเย็นว่า “เจาอี๋เหนียงเหนียงพูดได้แม่นยำนัก เช้าตรู่วันนี้เซ่อเจิ้งอ๋องมีอาการตัวร้อน หากมิใช่ด้วยเหนียงเหนียงได้ทำลูกไม้อะไรเอาไว้?” ลูกไม้หลินชิงเวยมิใช่ว่าเขาจะไม่เคยประสบมาก่อน ช่วยชีวิตคนได้นั้นเป็นเรื่องจริง แต่ขณะเดียวกันนางมีลูกไม้ของนางเช่นกัน
หลินชิงเวยมองหน้าเขา จากนั้นหันกายกลับไปโดยมิเอ่ยวาจา
“เหนียงเหนียง!” องครักษ์รีบพูด “หากผู้น้อยเอ่ยวาจาใดผิดไป ขอเหนียงเหนียงโปรดอภัย”
“อภัย?” หลินชิงเวยหันกายกลับมาเดินเข้ามาใกล้อีกก้าวหนึ่ง ยกมือขึ้นบีบปลายคางขององครักษ์ องครักษ์คิดไม่ถึงว่าดูมือของนางทั้งขาวนวลเนียนเรียวเล็กกลับมีเรี่ยวแรงอยู่หลายส่วน มือที่บีบคางของเขาแม่นยำประดุจถือเข็มเงิน บีบให้เขาก้มหน้าลงมาเล็กน้อย หลินชิงเวยหรี่ตาลงจ้องเขาเขม็งส่งผลให้เขารู้สึกหนาวเยือก นางเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่มีผู้ใดบอกเจ้าหรือว่าอย่าได้ล่วงเกินสตรี? หากข้าเล่นลูกไม้ เจ้ายังจะสามารถยืนอยู่ที่นี่อย่างปลอดภัยได้หรือ? หืม? อย่าให้มีครั้งหน้า เจ้าลองดูว่าข้าจะปิดปากของเจ้าหรือไม่”
พูดแล้วหลินชิงเวยจึงปล่อยคางของเขาแล้วพูดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “นำทาง”
แม้ว่าจะไม่ต้องการให้เรื่องที่เซียวเยี่ยนพบมือสังหารถูกผู้อื่นล่วงรู้ แต่เขามีบาดแผลบนร่างกาย อีกทั้งไม่มีกำแพงที่ลมพัดผ่านไม่ได้ ซ้ำยังไม่ได้ร่วมประชุมเช้าในท้องพระโรง เซียวจิ่นยังคงรู้เรื่องนี้อยู่นั่นเอง
หลินชิงเวยไปที่นั่นแต่เช้าตรู่ เวลานั้นเซียวจิ่นยังประชุมเช้าอยู่ในท้องพระโรง
เมื่อนางก้าวเข้าประตูไปนั้นเห็นเซียวเยี่ยนนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง แสงสว่างส่องผ่านบานหน้าต่างจากด้านนอกเข้ามา ทำให้ใบหน้าของเซียวเยี่ยนดูสว่างขึ้น
สีหน้าของเขาซีดขาวอย่างมากด้วยสภาพร่างกายยังไม่ฟื้นฟูจากการเสียโลหิตเกินขนาด แสงบางๆ ครอบคลุมใบหน้าของเขาไว้ชั้นหนึ่งขับให้ใบหน้าของเขาดูคมสันยิ่งขึ้น
หลินชิงเวยลูบหน้าผากของเขาแล้วจับชีพจร ตัวร้อนแล้วจริงๆ แต่เหล่านี้ล้วนเป็นอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นตามปกติ เพราะบาดแผลตามร่างกายของเขาต้องการสมานตัว ขั้นตอนการรักษาไม่สมบูรณ์ ย่อมต้องเกิดอาการอักเสบ
เซียวเยี่ยนมีอาการตัวร้อนต่อเนื่อง หลินชิงเวยฝังเข็มให้เขาแต่เป็นการยื้อเวลาได้เล็กน้อย ต่อมาจึงต้องใช้วิธีการลดอาการตัวร้อนด้วยมือ ใช้น้ำร้อนเช็ดตัวให้เซียวเยี่ยนให้เขาลดความร้อนในร่างกายผ่านการออกเหงื่อ