ต่อมาจู๋กุ้ยเหรินยิ้มให้จ้าวเฟย ไม่อาจบอกได้ว่ารอยยิ้มนั้นเป็นรอยยิ้มแฝงด้วยเจตนาดีหรือร้าย ทั้งๆ ที่เป็นรอยยิ้มอันอ่อนหวานทว่ากลับทำให้จ้าวเฟยรู้สึกหนาวเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง นางมักจะรู้สึกเสมอว่าจู๋กุ้ยเหรินดูเหมือนจะล่วงรู้ว่านางคิดอะไรอยู่
จ้าวเฟยเลื่อนสายตาไปทางอื่น เงยหน้าขึ้นมองไปทางเซี่ยนอ๋องเซียวอี้ เขาถือจอกสุราไว้ในมือด้วยท่าทางของบุรุษเจ้าสำราญและเจ้าชู้ ทางหนึ่งดื่มสุราอีกทางหนึ่งสอดส่ายสายตาวนเวียนไปมามาบนร่างของผู้ใดก็ไม่รู้ได้
ดูเหมือนจะเป็นจู๋กุ้ยเหริน? และดูเหมือนจะเป็นหลินชิงเวย? หรือว่าเป็นตนเอง?
ทันทีที่คิดว่าเซียวอี้กำลังมองตนจ้าวเฟยก็ใบหน้าร้อนซู่ขึ้นมาทันที ท่วงท่าอิริยาบถของนางจึงเป็นไปอย่างจงใจให้ดูแช่มช้อย
ในเมื่อคนที่อยู่ในที่นี้ ฝ่าบาทยังทรงพระเยาว์ ขุนนางทั้งราชสำนักล้วนอยู่ในวัยอาวุโส ที่ดูแล้วเจริญหูเจริญตาก็มีเซี่ยนอ๋องท่านนี้ที่ทั้งคมสันหล่อเหลาเหนือผู้ใด
เซ่อเจิ้งอ๋องมาถึงเป็นคนสุดท้าย เขาต้องดูแลเรื่องการรักษาความปลอดภัยของทั้งวังหลวง จากนั้นจึงเข้ามาในตำหนักอย่างไม่รีบร้อน
เขามีรูปร่างสูงเพรียว เมื่อเงาร่างสูงใหญ่ของเขาปรากฏขึ้นที่ประตูทางเข้าตำหนัก แสงสว่างจากโคมไฟทั้งตำหนักสาดส่องไปบนร่างของเขายิ่งส่งผลให้ความคมเข้ม องอาจกล้าหาญของเขาโดดเด่นอย่างที่สุด กงกงที่เฝ้าประตูจึงร้องขานขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “เซ่อเจิ้งอ๋องเสด็จ–” สายตาทุกคู่ล้วนจับจ้องอยู่ที่นั่น
ร่างที่อยู่อาภรณ์สีม่วงเข้มเมื่อยืนอยู่เบื้องหน้าราตรียามรัตติกาลทำให้เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ประกอบกับเส้นผมที่อยู่ด้านหลังศีรษะ มือทั้งสองข้างของเขาห้อยลงแนบลำตัว เดินเข้ามาทีละก้าว ขาเรียวยาวนั้นสาวเท้าก้าวใหญ่ชายอาภรณ์สะบัดพลิ้วตามจังหวะการก้าวเดิน มีเสน่ห์บางอย่างที่บรรยายออกมาไม่ได้ นั่นก็คือความสูงศักดิ์ที่มีมาแต่กำเนิด เขาก้มคางลงเล็กน้อย คิ้วเรียวยาวนั้นชี้ขึ้นแนบไปกับไรผม เส้นผมของเขาถูกรวบขึ้นไปตั้งแต่จอนผม มีเส้นผมบางส่วนตกลงบนหัวไหล่ ดูไปแล้วยุ่งเหยิงเล็กน้อยแต่กลับให้ความรู้สึกว่าควรเป็นเช่นนั้นดีอยู่แล้ว สีหน้าของเขาเรียบเฉย องอาจเหนือผู้ใด
จ้าวเฟยได้พิศมองเขาในระยะใกล้เช่นนี้ เมื่อเซ่อเจิ้งอ๋องเดินอยู่บนพรมผืนยาวผ่านหน้าจ้าวเฟย นางจำเป็นต้องเงยศรีษะขึ้นมองเขาจึงจะได้พิจารณาเขาอย่างถี่ถ้วน
เมื่อสักครู่นางยังคิดว่าเซี่ยนอ๋องเป็นบุรุษที่เข้าตานางมากที่สุดในตำหนักแห่งนี้ นาทีนี้นางไม่เห็นด้วยกับความคิดของตนเสียแล้ว
หลินชิงเวยรับรู้ได้ทันทีว่านับแต่เซียวเยี่ยนเดินเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นขุนนางทั้งหมด นางสนม ยังมีฮ่องเต้และไทเฮาที่ประทับนั่งอยู่ข้างบน สายตาทุกคู่ล้วนมองไปยังเซียวเยี่ยน สายตาของไทเฮาจับจ้องเซียวเยี่ยนตั้งแต่เดินเข้าประตูตำหนักจนถึงบัดนี้
เซียวเยี่ยนยกมือขึ้นเตรียมแสดงการคารวะแต่ถูกเซียวจิ่นห้ามเอาไว้ “เสด็จอาลำบากแล้ว ไม่ต้องมากพิธี เชิญนั่ง”
ที่นั่งด้านขวาของเซียวจิ่นเป็นที่นั่งที่เว้นไว้สำหรับเซียวเยี่ยนตลอดมา
เซียวเยี่ยนรับคำเสียงหนึ่ง จากนั้นจึงขึ้นไปนั่งประจำที่ หลินชิงเวยหรี่ตามองขึ้นไป ไม่รู้ว่ามีเพียงนางคนเดียวหรือไม่ที่คิดว่าสามคนที่นั่งอยู่ข้างบนนั้นเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันสามคนพ่อแม่ลูก
สายตาของไทเฮาอ่อนโยนเหลือหลายขณะที่มองเซียวเยี่ยนผ่านเซียวจิ่น ดวงตาคู่นั้นราวกับฉาบด้วยน้ำบางๆ ชั้นหนึ่งที่ส่องประกาย นางพูดคุยถามไถ่เซียวจิ่นไม่กี่ประโยค และพูดคุยกับเซียวเยี่ยนเล็กน้อย จากนั้นงานเลี้ยงจึงเริ่มขึ้น
เมื่อเสียงดนตรีบรรเลงขึ้น เหล่านางกำนัลเดินเข้ามาราวกับฝูงปลา ในมือประคองอาหารรสชาติโอชะขึ้นมาวางบนโต๊ะตัวยาว อาหารแต่ละอย่างทำให้คนถึงกับตาพร่า
หลินชิงเวยคิดว่าในเมื่อมาแล้วหากไม่กินให้อิ่มหนำสำราญสักมื้อคงจะเป็นเรื่องผิดต่อตนเองโดยแท้
เมื่อยกจอกสุราหลายจอกเพื่อคารวะหลังจากนั้นจึงเริ่มกินอาหาร ขณะที่กินอาหารรสเลิศยังมีรายการแสดงให้ชื่นชม เพียงแต่ไม่รู้ว่าเซียวเยี่ยนจะจดจำเรื่องที่หลินชิงเวยกำชับเอาไว้เมื่อยามบ่ายหรือไม่ เปลี่ยนสุราในจอกเป็นน้ำชา กินอาหารล้วนต้องเลือกกินอาหารรสชาติจืดเป็นหลัก
เมื่อมีเสียงดนตรีบรรเลงเคล้าคลอ เหล่านางรำทั้งหลายจึงเคลื่อนย้ายดอกบัวเข้ามาสู่ตำหนัก เรือนร่างของพวกนางอรชรอ้อนแอ้น เอวอ่อนประดุจงูน้ำที่ส่ายไปมา แขนเสื้อยาวนั้นสะบัดพลิ้วไปมาขณะร่ายรำ ผ้าโปร่งเบาพลิ้วงดงามเฉิดฉาย
หลังจากดนตรีบรรเลงจบไปหนึ่งเพลง จ้าวเฟยพลันลุกขึ้นยืนแล้วเดินมายอบกายคาวระบริเวณกึ่งกลางพรมแดง “ฝ่าบาท ไทเฮา เซ่อเจิ้งอ๋อง หม่อมฉันไร้สามารถ จึงคิดจะร้องเพลงในค่ำคืนนี้สักเพลงหนึ่งเพคะ ขอไทเฮาเหนียงเหนียงโปรดประทานอนุญาตเพคะ”
หลินชิงเวยกำลังกินเนื้อพลางคิดในใจว่า สตรีนางนี้คิดจะแสดงความสามารถจนคลุ้มคลั่งไปแล้วกระมัง ซ้ำยังขอให้ไทเฮาอนุญาตจะให้ฝ่าบาทเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเล่า ในสายตาของจ้าวเฟยมีเพียงไทเฮา ในใจคิดเพียงว่าขอแค่นางเป็นฝ่ายของไทเฮาก็จะโดดเด่นเช่นดวงตะวันยามเที่ยงตรงได้ สมองน่าจะถูกมันหมูอุดตันเสียแล้วกระมัง
เซียวจิ่นไม่ได้แสดงออกอันใดทางสีหน้าแต่มิได้หมายความว่าในใจเขาไม่คิด ไทเฮาตรัสว่า “ยากยิ่งนักที่ซือหลันมีจริยางดงามดั่งบุปผาฮุ่ยหลัน เปิ่นกงได้ยินมาเช่นกันว่าฝีมือดีดพิณของเจ้ายอดเยี่ยม เช่นนั้นบรรเลงให้ทุกคนได้ฟังสักหน่อย”
“เพคะ”
จ้าวกลับมานั่งอีกครั้ง นักดนตรีบรรเลงพิณประคองพิณตัวหนึ่งเข้ามา นางปรับสายทดลองฟังเสียงครู่หนึ่ง จากนั้นเริ่มยกมือเรียวขาวนั้นขึ้นบรรเลงพิณ
ฟังดูแล้วไพเราะเสนาะหูจริงๆ ตรองดูแล้วที่บอกว่ามีความสามารถคงมิใช่เพียงแค่เสียงเล่าลือ แม้หลินชิงเวยจะไม่เข้าใจในเรื่องรสนิยมของศิลปะเท่าใดนัก เวลากินข้าวมีดนตรีให้ฟังไปด้วยก็เป็นเรื่องมีความสุขมิใช่หรือ?
หลังจากจ้าวเฟยบรรเลงพิณจนจบเพลง ทั้งตำหนักมีเพียงความเงียบงัน จากนั้นมีเสียงปรบมือดังขึ้น
เซียวอี้ยกมือขึ้นทางหนึ่งปรบมืออีกทางหนึ่งกล่าววาจาชื่นชม “ฝีมือดีดพิณของจ้าวเฟยเหนียงเหนียงเยี่ยมยอด ฟังแล้วสามวันก็ยังไม่ลืม ทุกคนล้วนยังไม่ได้สติกลับมา”
คนทั้งหมดได้สติกลับมาจึงปรบมือและต่างชื่นชมว่าดี
เซียวอี้กล่าวอีกว่า “นี่มีเพียงเสียงพิณ ไม่มีการร่ายรำได้อย่างไรกัน” พูดแล้วสายตาตวัดผ่านหลินชิงเวยแล้วยิ้มกับนาง หลินชิงเวยถลึงตากลับไป เซียวอี้จึงเลื่อนสายตาไปตกอยู่บนร่างที่นั่งอยู่อย่างสงบของจู๋กุ้ยเหริน “ข้าได้ยินว่า บุตรสาวของอวิ๋นหนานอ๋องก็มีความรู้ความสามารถคนหนึ่ง ครานั้นไม่รู้ว่าเป็นที่หมายปองของบุรุษชาวอวิ๋นหนานมากน้อยเท่าใด หากจู๋กุ้ยเหรินไม่ถือสา จะร่ายรำให้ทุกคนได้ชื่นชมได้หรือไม่?”
วันนี้เป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาล ดังนั้นสำหรับข้อเรียกร้องของเซี่ยนอ๋องแม้จะดูเหมือนล่วงเกินอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็เป็นปากเสียงแทนทุกคน สายตาของผู้ใดเมื่อตกอยู่บนร่างของจู๋กุ้ยเหรินล้วนถูกดึงดูดเอาไว้
ด้วยสีหน้าของเซียวจิ่นไม่บ่งบอกอารมณ์และความรู้สึก ในเมื่อไทเฮาเป็นผู้นำพาสตรีเหล่านี้มาที่นี่ ย่อมต้องมาเพื่อเป็นเกียรติและทำให้งานเลี้ยงครึกครื้นขึ้น ย่อมต้องปล่อยให้ดำเนินไป หากจู๋กุ้ยเหรินผู้นี้เหนือกว่าจ้าวเฟย เช่นนั้นเซียวจิ่นย่อมต้องเบิกบานใจขึ้นมาสักส่วนสองส่วน
องค์หญิงของอวิ๋นหนานอ๋อง เซียวจิ่นได้ยินมาก่อนว่าปีก่อนนางแต่งเข้าวังมา แต่วันนี้เป็นการพบกันครั้งแรก สีแดงสดนั้นราวกับดอกกุหลาบดอกหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะมีหนามหรือไม่
เซียวจิ่นอนุญาต
จู๋กุ้ยเหรินลุกขึ้นยืนเดินมากึ่งกลางพรมแดงแสดงการร่ายรำไปพร้อมกับเสียงพิณที่บรรเลงขึ้น
คิดไม่ถึงว่าการร่ายรำของนางครั้งนี้จะสร้างความประหลาดใจให้กับคนทั้งหมด สีสันแดงสดผนวกกับการแต่งกายประทินโฉมด้วยสีแดงส่งผลให้โฉมสะคราญงดงามยิ่งยวด อิริยาบถการยกมือยกเท้า ล้วนมีความรู้สึกงดงามน่าทนุถนอม ไม่ต้องเอ่ยถึงผ้าโปร่งสีแดงที่สะบัดพลิ้วไปตามท่วงท่าการร่ายรำอันงดงามเยี่ยมยอด
ผู้ใดจะยังจำได้อีกเล่าว่าจ้าวเฟยบรรเพลงพิณด้วยบทเพลงอันใด จ้าวเฟยนั่งอยู่ในที่ของตน โกรธขึ้งเสียจนใบหน้าเล็กๆ นั้นขาวเผือด ปลายเล็บในแขนเสื้อนั้นจิกลงไปในฝ่ามือ
หลินชิงเวยช้อนตาขึ้นมองเห็นเซี่ยนอ๋องทางหนึ่งชื่นชมทางหนึ่งร่ำสุราด้วยท่าทีเมามาย นางไม่รู้ว่าคนผู้นี้มีจุดประสงค์อะไรกันแน่ กลับให้จู๋กุ้ยเหรินแสดงการร่ายรำเบื้องพระพักตร์ ส่วนเขาเองก็ไม่รู้จักหลีกเลี่ยงคำครหา?
เพียงแต่หลินชิงเวยไม่มีเวลาไปยุ่งกับเรื่องของผู้อื่น อาหารรสเลิศอยู่ตรงหน้า กินกินกิน! นางรับรู้ได้ว่ามีสายตาจากเบื้องบนมองลงมาเป็นพักๆ ไม่รู้ว่าเป็นไทเฮา ฝ่าบาท หรือเซ่อเจิ้งอ๋อง แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียอรรถรสในการกินอาหาร นางจึงแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น!
มีจ้าวเฟยและจู๋กุ้ยเหรินเป็นผู้เริ่มต้น เหล่านางสนมคนอื่นๆ ก็คิดจะออกมาแสดงความสามารถเช่นกัน
ต่อมา สถานที่จัดเลี้ยงได้เคลื่อนย้ายไปยังอุทยานหลวง
ภายใต้แสงสว่างจากโคมไฟภายในวังหลวง อุทยานหลวงงดงามและอบอุ่นอย่างยิ่ง ดอกกล้วยไม้เต็มพื้นให้คนไปเลือกสรร ห่างออกไปไม่ไกลมีสระบัวอยู่แห่งหนึ่ง เวลานี้ดอกบัวครึ่งบานครึ่งตูมช่างเป็นทัศนียภาพที่สวยงาม