ภายใต้แสงเทียนเซียวเยี่ยนเห็นกระโปรงของหลินชิงเวยถูกตัดแขนเสื้อไปข้างหนึ่ง ตั้งแต่หัวไหล่ลงมาปรากฏให้เห็นแขนขาวสลักเสลาข้างหนึ่ง ผิวนั้นเรียบลื่นขาวผ่องประหนึ่งถูกคลุมด้วยแสงจันทร์สีเงินชั้นหนึ่ง ซ้ำยังขาวเหมือนแช่ในน้ำนมบริสุทธิ์ หากมิใช่ที่นั่นมีบาดแผลทิ่มแทงนัยน์ตาถึงสองแผล และมีโลหิตสดๆ กำลังไหลออกมาราวกับน้ำ ทั้งหมดนี้ล้วนงดงามสมบูรณ์แบบ
เซียวจิ่นสั่งหมอหลวง “ไปหยิบยาจินชวงมา”
หมอหลวงเกรงกลัวเซ่อเจิ้งอ๋องลงทัณฑ์ เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ราวกับได้รับการปลดปล่อยจึงรีบไปหยิบยาสมานแผลชั้นดีที่สุดของสำนักหมอหลวงและผ้าคล้องแขนสีขาวราวกับหิมะมา เขาก้าวเข้ามาเตรียมจะพันแผลให้หลินชิงเวยกลับได้ยินเซียวเยี่ยนกล่าวว่า “เจ้าออกไปเถิด”
หมอหลวงได้ยินเช่นนั้นก็มิกล้าอิดออด ตอบรับคำหนึ่งแล้ววางสิ่งของรีบถอยออกไป
เซียวเยี่ยนจึงยกเท้าก้าวเข้ามา
หลินชิงเวยนั่งอยู่บนเก้าอี้ขาสูงตัวหนึ่ง แขนวางราบไปกับโต๊ะที่วางอยู่ด้านข้าง กระโปรงของนางที่คลุมลงบนเก้าอี้ถูกลมที่พัดโชยเข้ามาจากภายนอกทำให้สะบัดพลิ้วเบาๆ กลายเป็นวงกลม
เซียวเยี่ยนยืนอยู่เบื้องหน้านาง เงาร่างสูงใหญ่ของเขาทาบทาบนร่างของนาง แผ่กลิ่นอายซึ่งเป็นกลิ่นกายประจำตัวของบุรุษอันเข้มข้นออกมา
เซียวเยี่ยนยกมือขึ้นยกแขนของหลินชิงเวย หลินชิงเวยขมวดคิ้วแล้วเอ่ยวาจาร้ายกาจว่า “ท่านจะแตะต้องข้า ท่านล้างมือแล้วหรือไม่?”
นิ้วมือของเซียวหยุดชะงัก ปลายนิ้วที่อยู่เบื้องหน้านางงอโค้งและเรียวยาวชวนมอง
เซียวเยี่ยนไม่ขุ่นเคือง หันกลับไปล้างมือแต่กลับกล่าวขึ้นว่า “มิน่าเล่าหมอหลวงจึงมีน้ำโห”
“รังเกียจว่าข้ามีข้อเรียกร้องมากเกินไป?” หลินชิงเวยกล่าว “นี่เป็นความรู้พื้นฐานของอาชีพกระจ่างแจ้งหรือไม่ การเป็นหมอโดยเฉพาะหมอผ่าตัด มือไม่สะอาดได้อย่างไรกัน ซ้ำที่นี่ไม่มีถุงมือปลอดเชื้อ หากมีอะไรไม่สะอาดจะเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อโดยง่าย แข็งแรงเช่นเซ่อเจิ้งอ๋องมิใช่ตัวร้อนตลอดทั้งเช้าหรือไร”
เซียวเยี่ยนคร้านจะทุ่มเถียงกับนาง เขาล้างมือสะอาดแล้วจึงกลับมาเบื้องหน้าหลินชิงเวยหยิบยาจินชวงและเปิดจุกขวดยาออก ทางหนึ่งใช้ผ้าขนหนูซับรอยเลือด ทางหนึ่งทายาลงบนบาดแผลของนาง
เมื่อยาจินชวงสัมผัสกับผิวเนื้อจะเกิดอาการเจ็บแสบระยะสั้นๆ หลินชิงเวยขมวดคิ้วและกัดฟันแน่น ทางหนึ่งไม่ลืมที่จะประชดประชันเซียวเยี่ยน “ให้เซ่อเจิ้งอ๋องมาทาแผลพันแผลให้ข้า ข้าได้รับความโปรดปรานเสียจนเสียขวัญแล้วจริงๆ”
ใช่ว่าเขาไม่เคยทำมาก่อน
ดังนั้นเซียวเยี่ยนจึงเลือกที่จะเงียบ และทายาจนเสมอกัน
หลินชิงเวย “เซ่อเจิ้งอ๋องไม่เกรงกลัวว่าหมอหลวงจะเข้าใจผิดหรือ ดูเหมือนความสัมพันธ์ของพวกเราทั้งสองคนยังไม่ดีถึงขั้นท่านต้องมาพันแผลให้ข้าด้วยตนเองกระมัง”
“ประเดี๋ยวไทเฮาย่อมต้องเห็นข้าเป็นสิ่งของทิ่มแทงนัยน์ตา คงเคียดแค้นที่ไม่อาจถอดรากถอนโคนข้าอย่างที่ต้องการได้”
“เซ่อเจิ้งอ๋องได้รับบาดเจ็บก็ยังต้องไปตรวจตราความปลอดภัยด้วยตนเอง ตรวจตราดูแล้วกลับหาเงาร่างไม่พบ ข้ายังคิดว่าเซ่อเจิ้งทำได้ดีกระทั่งน้ำก็ยังผ่านไม่ได้ ไร้ที่ติ แม้กระทั่งแมลงวันตัวหนึ่งก็ยังบินเข้ามาไม่ได้ แต่ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าคนเป็นๆ คนหนึ่งก็ยังลอบเข้ามาได้ ที่จริงก็ไม่เท่าไหร่”
หลินชิงเวยนั่งอยู่บนเก้าอี้ขาสูง เซียวเยี่ยนนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเตี้ยลงมาหน่อย เช่นนี้แล้วระดับความสูงของคนทั้งสองจึงเสมอกัน ไหล่ของเซียวเยี่ยนเสมอกับไหล่ของหลินชิงเวย เช่นนี้แล้วเป็นการสะดวกเมื่อทำความสะอาดแผล เขาทายาให้เสร็จสิ้นจึงหยิบผ้าคล้องแขนสอดลอดแขนของหลินชิงเวย หลินชิงเวยพูดจาไม่หยุดตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นคำพูดเสียดสีเหน็บแนมอย่างไร เซียวเยี่ยนล้วนรับฟังอย่างมีน้ำอดน้ำทน แม้กระทั่งคำพูดโต้ตอบสักประโยคก็ไม่มี
ฝ่ามือของเขาทั้งใหญ่และหนา เมื่อคล้องผ้าคล้องแขนให้หลินชิงเวยแล้วจึงละปลายนิ้วทั้งห้ากลับมา จึงจับแขนสลักเสลาของนางไว้ในกลางอุ้งมือ เหมือนได้สัมผัสแตะต้องสัมผัสซานเย่า[1]ขาวๆ และกรุบกรอบที่ปอกเปลือกออกแล้ว ทั้งยังให้ความรู้สึกเรียบลื่นกว่าซานเย่า
เพียงแต่การกระทำนี้ของเขามิอาจหลีกเลี่ยงการสัมผัสถูกบริเวณบาดแผลของหลินชิงเวย นางร้องซี๊ดด้วยความเจ็บปวดครั้งหนึ่ง จากนั้นคือความโมโหที่แล่นขึ้นมาเป็นริ้วมือเล็กๆ นั้นผลักหัวไหล่ของเซียวเยี่ยนออกห่างและพูดขึ้นอย่างฉุนเฉียวว่า “ท่านไม่รู้จักเบามือหน่อยหรือ ข้าดูท่านเจตนามากกว่ากระมัง? หากทำไม่ได้ก็ไม่มีใครบังคับให้ท่านทำ ท่านจำเป็นต้องแก้แค้นข้าด้วยวิธีการเช่นนี้ด้วยหรือ ยังคิดว่าบาดแผลของข้าไม่หนักหนาสาหัสพอกระมัง?”
เซียวเยี่ยนเอียงศีรษะดึงรั้งผ้าคล้องแขนที่พันรอบแรก รอบต่อไปจากนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายดาย เขาพูดเรียบๆ ว่า “เปิ่นหวางยังคิดว่าเจ้าเอาแต่โมโหโทโสคงจะลืมความเจ็บปวดไปแล้ว”
มือของหลินชิงเวยยังคงวางไว้บนหัวไหล่ของเซียวเยี่ยน ปลายนิ้วนั้นค่อยๆ กดลึกลงบนเสื้อผ้าอาภรณ์ของเขา ความเจ็บปวดแสบร้อนที่ส่งขึ้นมาจากแขนนั้นต่อให้นางพยายามอย่างยิ่งที่จะปิดบังอำพราง แต่ท่าทีของนางยังคงปรากฏให้เห็นร่องรอย เซียวเยี่ยนกวาดตามองนางแวบหนึ่ง สีหน้าขาวเผือดคิ้วเรียวงามขมวดแน่น ดวงตาทั้งคู่ฉาบไปด้วยละอองน้ำบางๆ ชั้นหนึ่งชัดเจน เขาจึงอดที่จะเบามือเบาไม้ลงไม่ได้
หลินชิงเวยพูดอย่างไม่ยอมรับว่า “โมโห? ข้าโมโหอะไรเล่า? โมโหท่านหรือไร? ท่านคิดว่าท่านเป็นใคร ถึงกับต้องให้ข้าโมโหเพราะท่าน?”
“เช่นนั้นเจ้ายังโมโหกระฟัดกระเฟียดไปเพื่ออันใด”
“ผู้ใดโมโหกระฟัดกระเฟียด?”
“แก้มป่องขึ้นมาแล้ว”
หลินชิงเวยได้ยินแล้วจึงยกมือขึ้นลูบแก้มของตน นางคิดว่าอย่างไรนางก็อายุสามสิบปีแล้วนะ หากโมโหขึ้นมาจริงๆ ไฉนจะเหมือนเด็กน้อยที่โมโหจนแก้มป่องขึ้นมาได้ เมื่อลูบแก้มดูแล้วจึงวางใจว่าแก้มไม่ได้ป่องขึ้นมา หาไม่แล้วนางก็ปัญญาอ่อนเกินไปแล้วที่มาเอาชนะคะคานกับบุรุษตัวเหม็นผู้นี้ มิใช่นางกินอิ่มเกินหรอกหรือ
ต่อมาหลินชิงเวยจึงรู้สึกตัวว่าตนเองถูกปั่นหัวเสียแล้ว จึงถลึงตามองเซียวเยี่ยนอย่างไม่สบอารมณ์ เห็นริมฝีปากของเขามีรอยยิ้มซุกซ่อนอยู่ เหมือนดอกบัวที่กำลังเบ่งบานในเหมันตฤดูดอกหนึ่ง ถูกม่านหมอกน้ำค้างบดบังเอาไว้ หากไม่สังเกตสังกาให้ละเอียดถี่ถ้วนคงยากแก่การพบเห็น
หลินชิงเวยขุ่นขึ้งเสียจนหยิกลงบนไหล่ของเซียวเยี่ยนอย่างไม่แรงไม่เบาเท่าใดนัก ไม่รู้ว่าจะทำให้เขาเจ็บหรือไม่ อย่างไรเขาก็เป็นบุรุษตัวโตคนหนึ่งจึงไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบอันใด เขาผูกปมบนผ้าคล้องแขนที่คล้องแขนหลินชิงเวย พูดขึ้นเรียบๆ ว่า “เรียบร้อยแล้ว”
หลินชิงเวยก้มหน้าลงมองเห็นเซียวเยี่ยนพันแผลได้ไม่เลวเลยทีเดียว จึงลองยืดแขนดู ผ้าคล้องแขนไม่ตึงและไม่หย่อนเกินไป ทั้งไม่สะกิดหรือเกี่ยวถูกบาดแผลไม่ส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟูบาดแผล
คิดดูแล้วเจ้าหนุ่มคนนี้เมื่อก่อนคงจะได้รับบาดเจ็บบ่อยๆ ดังนั้นจึงทำงานเหล่านี้อย่างคล่องแคล่วและเป็นงาน
แต่อย่าคิดว่าทำแบบนี้แล้วตนเองจะซาบซึ้งใจต่อเขา
หลินชิงเวยใช้แขนข้างเดียวค้ำโต๊ะคิดจะกระโดดลงมาจากเก้าอี้ขาสูงตัวนั้น ไหนเลยจะรู้ว่าแขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บยังใช้งานไม่ได้ ขาทั้งคู่จึงพันกันบนเก้าอี้ขาสูงนั้นเอง ยังไม่ได้ทันยืนให้มั่นคงคนทั้งคนรวมไปถึงเก้าอี้ขาสูงก็ล้มเอียงกะเท่เร่ลงด้านข้าง
ครานี้ดียิ่งนักใบหน้าของนางหันเข้าหาพื้น ไม่รู้ว่าหากล้มลงไปหน้าของนางจะถูกทับจนแบนราบหรือไม่
เห็นอยู่กับตาว่ากำลังจะสัมผัสกับพื้นอยู่แล้วพลันรู้สึกว่าเอวของตนถูกโอบไว้อย่างกระชับ หลินชิงเวยเบิกตาโตเห็นตนเองถูกดึงห่างจากพื้นอย่างมหัศจรรย์ จากนั้นกดทับลงบนกำแพงที่เปี่ยมไปด้วยเนื้อหนัง แนบชิดลงกับอ้อมกอดให้ความรู้สึกเย็นสบายอ้อมกอดหนึ่ง
เซียวเยี่ยนดึงนางขึ้นมาได้อย่างทันท่วงที ใบหูของนางแนบลงกับอ้อมอกของเซียวเยี่ยนเสียงดังกึกก้องเข้าไปในโสตประสาท
ต่อมาเป็นเสียงล้มลงของเก้าอี้ขาสูงตัวนั้น เสียง โครม ดังขึ้น จากนั้นเป็นเสียงเก้าอี้กลิ้งไปสองรอบท่ามกลางห้องตรวจที่เงียบสงบผิดธรรมดา
ชั่วระยะเวลาสั้นๆ หลินชิงเวยผลักเขาออก ที่นี่คือสำนักหมอหลวงเขาลงมือทายาให้นางเองถือได้ว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสมอยู่แล้ว หากถูกผู้คนพบเห็นว่าคนทั้งสองโอบกอดกันเช่นนี้ ต่อให้กระโดดลงไปในแม่น้ำเหลืองก็หมดหนทางล้างมนทินให้สะอาดได้
[1] เป็นยาสมุนไพรจีนที่มีประโยชน์มาก มักใช้ในตำรับยาจีนที่สำคัญซึ่งอยู่ในหมวดบำรุงพลัง และบำรุงกระเพาะอาหาร ม้าม ปอด ไต และนอกจากนั้นยังสามารถบำรุงหยินในร่างกายของเราได้ ทำให้หยินหยางในร่างกายของเราสมดุล