ภายใต้คำสั่งของไทเฮา ข้ารับใช้ทั้งหมดไม่กล้าผ่อนปรนละเลย พวกเขาพาปี้หลิงมาพบหลินชิงเวย ครั้งนี้มีดวงตาหลายคู่จับจ้อง พวกนางย่อมไม่อาจเล่นลูกไม้อะไรได้
ทันทีที่ประตูเรือนหลังเล็กอันมืดมิดเปิดออก ปี้หลิงเดินเข้ามาก่อนข้างหลังนางมีขันทีสามคนและหมัวมัว จ้องมองสตรีสามคนภายในเรือนหลังเล็กด้วยดวงตาทอประกายวาบ
เมื่อหลินชิงเวยช้อนตาขึ้นมองปี้หลิง นางก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติทันที
สีหน้าของนางซีดขาวจนเกือบเขียว ท่าทางการเดินเหินของนางเมื่อเปรียบเทียบกับการกริยาเดินเหินนุ่มนวลของนาง ดูแข็งเกร็งเกินไป ยังมีสีหน้าที่ไร้ความรู้สึกและดวงตาเลื่อนลอย ชัดเจนยิ่งนักว่า…
ปี้หลิงเดินมุ่งหน้ามาหานางทีละก้าวๆ หลินชิงเวยผลักซินหรูออกไปและตะโกนว่า “เร็วเข้า รีบไปฝั่งตรงข้าม”
ซินหรูไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แสงสว่างภายในเรือนอันมืดมิดนี้ไม่สู้แสงสว่างจากภายนอก และความช่างสังเกตของนางไม่ดีเท่าหลินชิงเวย เพียงแต่หลินชิงเวยพลันเอ่ยขึ้นเช่นนี้ อีกทั้งผู้ที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามมิใช่ข้ารับใช้ของตำหนักคุนเหอหรือ ให้นางไปฝั่งตรงข้ามมิเท่ากับยื่นคอสะอาดๆ ของตนไปพาดไว้ใต้คมมีดของอีกฝ่ายหรือไร ไม่ว่าอย่างไรซินหรูก็ไม่ทำ
ซินหรูยังยืนอยู่ในมุมหนึ่งถามว่า “พี่สาว เป็นอะไรไปเจ้าคะ?”
“ปี้หลิง” หลินชิงเวยเรียกนาง
ปี้หลิงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ยังคงเดินมุ่งหน้าเข้าหาหลินชิงเวย
หลินชิงเวยเกร็งไปทั้งร่าง ถามอีกว่า “ปี้หลิง เจ้าได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่?”
ปี้หลิงยังคงไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ ยามนี้เหล่าขันทีและหมัวมัวจึงรับรู้ได้ถึงความผิดปกติเช่นกัน
หลินชิงเวยรับรู้ได้ว่าปี้หลิงพุ่งเป้ามาที่ตนโดยเฉพาะ เมื่อความคิดเช่นนี้แวบเข้ามาในสมอง กล้ามเนื้อบนใบหน้าที่แข็งเกร็งของปี้หลิงเริ่มบิดเบี้ยว ต่อมานางกระโจนเข้าหาหลินชิงเวยอย่างดุร้าย นางหยิบมีดสั้นปลายแหลมเล่มเล็กๆ ออกจากมาจากแขนเสื้อ ชัดเจนว่านางต้องการปลิดชีวิตหลินชิงเวย
ร่างกายของปี้หลิงแข็งแรงกว่าหลินชิงเวยไม่มากนัก เรี่ยวแรงมิได้มีมากกว่าหลินชิงเวยเช่นกัน ยามนี้เมื่ออยู่ในสถานการณ์คับขันหลินชิงเวยยิ่งสงบนิ่ง ไม่รอให้ปี้หลิงประชิดตัว นางยกขาขึ้นตวัดข้อเท้าของปี้หลิงแล้วหลบออกด้านข้างของปี้หลิง ร่างของปี้หลิงกระโจนลงบนพื้น ปี้หลิงเพิ่งคิดจะหันกายแล้วลุกขึ้นมา หลินชิงเวยเหยียบลงไปบนแผ่นหลังของนางแล้วบิดแขนข้างที่ถือมีดของนาง เสียงบิดข้อมือของปี้หลิงหักดัง กร๊อบ
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นราวกับเมฆาเคลื่อนวารีไหล ทำให้เหล่าขันทีที่อยู่ในเรือนหลังเล็กต่างทึ่มทื่อ
ทว่าสิ่งที่ทำให้คนขนลุกเกรียวก็คือ ปี้หลิงไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย แม้กระทั่งเสียงร้องสักแอะก็ไม่มี กระดูกข้อมือที่ถูกบิดหักกลับยังเคลื่อนไหวได้โดยถือมีดเล่มนั้นตวัดลงบนร่างของหลินชิงเวย
หลินชิงเวยเม้มริมฝีปาก เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้นางมิอาจแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการสังหารคน หาไม่แล้วต่อไปหากเผชิญหน้ากับไทเฮาแล้วจะเป็นนางที่ขยับตัวลำบาก อีกทั้งสังหารนางในเวลานี้ไม่เกิดประโยชน์อันใด เพราะนางเป็นคนตายคนหนึ่ง
ทำอย่างไรดีเล่า?
หลินชิงเวยเตะมีดในมือของนางกระเด็นออกไป สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางถอยหลังติดๆ กันหลายก้าว หันไปพูดกับเหล่าขันทีและหมัวมัวที่ยืนลังเลอยู่ว่า “ยังโง่งมอะไรกันอยู่อีก ยังไม่รีบไปควบคุมตัวนางไว้!”
คนทั้งหมดได้สติกลับมาเห็นปี้หลิงคลานลุกขึ้นมาจากบนพื้นอีกครั้ง ไม่เพียงแต่ไม่ระมัดระวังซ้ำยังค่อยๆ ถอยหลังออกมาทีละก้าวสองก้าว หลินชิงเวยเห็นซินหรูยังขดกายอยู่ในมุมๆ หนึ่ง จึงพูดขึ้นอย่างร้อนใจ “ซินหรู มานี่เร็วเข้า เร็ว!”
ซินหรูรวบรวมความกล้าหาญลุกขึ้นยืนเพื่อจะวิ่ง ยามนั้นปี้หลิงยืนขึ้นมาได้สำเร็จอีกครั้ง ซินหรูช้อนตาขึ้นเห็นเลือดสีดำคล้ำเริ่มไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดของปี้หลิง จึงตกใจจนขาอ่อนยวบร่างไถลลงไปนั่งแปะลงกับพื้นอีกครั้ง
ปี้หลิงเดินเข้ามาหาหลินชิงเวยทีละก้าว กระทั่งหมัวมัวที่พบเห็นเรื่องราวมามากมายในชีวิตเช่นหมัวมัวอาวุโสก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
การเดินเหินของปี้หลิงเชื่องช้ากว่าเมื่อสักครู่อย่างเห็นได้ชัด เห็นได้ว่านางไม่มีความสามารถในการโจมตีใดๆ อีก ชั่วขณะที่ขันทีวิ่งออกไปเรียกคนเข้ามาช่วยปี้หลิงเดินไปอีกสองสามก้าวเหมือนศพเคลื่อนที่ได้ จากนั้นล้มลงบนพื้นอย่างช้าๆ ในที่สุด
เลือดสีดำคล้ำนั้นไหลนองอยู่บนพื้น หลินชิงเวยเห็นหนอนสีขาวตัวหนึ่งชอนไชออกมาจากร่างกายเบื้องล่างของนาง นางไม่มีขวดกระเบื้องติดตัวอีกแล้ว รู้ว่าแม้จะคิดจะเก็บหนอนเอาไว้ก็ทำไม่ได้ จึงรีบหยิบมีดสั้นบนพื้นมาฆ่าหนอนตัวนั้น
จากนั้น ความสนใจของคนทั้งหมดล้วนอยู่บนร่างของหนอนที่ตายไปแล้ว แม้กระทั่งซินหรูก็ตื่นตระหนกตกใจจนตาเบิกโตจ้องมองอยู่ที่นั่น กลับไม่มีใครสังเกตเห็นว่ายังมีหนอนอีกตัวหนึ่งเลื้อยออกมาจากเส้นผมของปี้หลิง เลื้อยเข้าไปที่ใต้เท้าใต้กระโปรงของซินหรู และหายไปไม่เห็นแม้แต่เงา…
การตายของปี้หลิงไม่เพียงแต่ทำให้ตำหนักคุนเหอสะท้านสะเทือน ขันทีและหมัวมัวที่เห็นเหตุการณ์กับตาตนเองล้วนหวาดกลัวจนไม่อาจพูดออกมาได้ แน่นอนว่าย่อมสั่นสะเทือนไปถึงฮ่องเต้และเซ่อเจิ้งอ๋อง
หลินชิงเวยถูกพาไปตำหนักหน้า ศพของปี้หลิงนอนอยู่ด้านข้าง ความสับสนในจิตใจของนางปรากฏอยู่บนหว่างคิ้ว สีหน้านั้นเงียบขรึม
ไม่ได้พบเซียวจิ่นและเซียวจิ่นเนิ่นนาน นางไม่ทันได้เงยหน้าขึ้นมองหน้าพวกเขาสักครั้ง
ไทเฮาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น นางนั่งอยู่ในตำหนัก ชี้ว่าหลินชิงเวยวางแผนสังหารปี้หลิง
ด้วยระหว่างที่ถูกกักขังอยู่ในตำหนักคุนเหอ หลินชิงเวยได้พบกับปี้หลิงครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นปี้หลิงกลับมาตำหนักคุนเหออีกครั้งจึงถูกหลินชิงเวยสังหาร ระหว่างคนทั้งสองย่อมต้องเกิดความขัดแย้งขึ้น ดังนั้นจึงทำให้สองนายบ่าวกลายเป็นศัตรูคู่แค้น
คำพูดเหล่านั้นที่ไทเฮาพูดออกมา ภายในตำหนักไม่มีใครตอบรับ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ตกใจ หรือคำพูดของไทเฮานั้นไร้ซึ่งน้ำหนัก
ในที่สุดยังคงเป็นหมัวมัวที่ก้าวออกมา เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทว่าความหมายที่แฝงในคำพูดนั้นล้วนชี้ชัดว่าหลินชิงเวยเป็นฆาตกร
ในที่สุดไทเฮาจึงกล่าวว่า “หลินชื่อผู้มีความผิด เจ้าสังหารนางกำนัลเชียนเหอและจ้าวเฟยก่อน แล้วยังสังหารนางกำนัลปี้หลิง เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก!”
หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นมองไทเฮาอย่างสงบ “ขอถามว่าข้ามีแรงจูงใจอันใดต้องมาสังหารคนในตำหนักคุนเหอ?” พูดแล้วนางก็ยืดกายลุกขึ้นยืนมาด้วยความหยิ่งผยอง กระทั่งการปฏิบัติต่อไทเฮาอย่างไม่เคารพนอบน้อมสำหรับนางแล้วเป็นเรื่องที่สมควรถูกต้องอยู่แล้ว นางไม่ยี่หระต่อความโกรธเกรี้ยวของไทเฮา ยืนกายเดินเข้ามาเบื้องหน้าศพของปี้หลิง “ไทเฮายังไม่ได้ทอดพระเนตรเห็นสภาพการตายของปี้หลิงกระมัง เวลานี้ให้ท่านดู” พูดแล้วก็ยื่นมือไปเปิดผ้าคลุมศพออก ปรากฏให้เห็นร่างของปี้หลิงที่อยู่เบื้องล่าง
ยามนี้เป็นยามราตรี ด้านนอกมืดสนิท ภายในตำหนักกลับสว่างไสวด้วยแสงจากโคมไฟ
ในวังมีคนตายอย่างต่อเนื่อง ไทเฮาและฮ่องเต้ เซ่อเจิ้งอ๋องต้องมาพิจารณาศพคนตายครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องอัปมงคลประเภทนี้เดิมทีไม่ควรต้องให้พวกเขาต้องมาเห็นด้วยซ้ำ แต่ทุกครั้งล้วนเกี่ยวข้องกับหลินชิงเวย ไทเฮามีความคิดที่จะกำจัดนางอยู่แล้ว ย่อมต้องมีหลักฐานแน่นหนา ยามนี้ศพนั่นก็คือหลักฐาน
สภาพการตายของปี้หลิงจึงปรากฏขึ้นต่อหน้าคนทั้งหมด นางมีสภาพการตายเช่นเดียวกับจ้าวเฟยทว่ากลับน่าสยดสยองและน่าหวาดกลัวกว่าจ้าวเฟย