“หากเป็นเช่นนี้หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ” หลินชิงเวยถวายคำนับให้เซียวจิ่นอย่างเต็มพิธีการจากนั้นหันหลังเดินออกไป
หลังจากกลับมาถึงตำหนักฉางเหยี่ยน แม้หลินชิงเวยจะคิดถึงเตียงนอนของตนเองยิ่งกว่าสิ่งใด แต่ยังคงไม่อาจวางใจไปพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ หลินชิงเวยไปห้องของซินหรูเป็นอันดับแรก นางยังไม่ฟื้นซินหรูนอนอยู่บนเตียงอย่างสงบเหมือนมนุษย์หิมะโปร่งแสงซีดขาว
หลินชิงเวยเลือกเฟ้นนางกำนัลมาสองคนเพื่อดูแลซินหรูโดยเฉพาะ เมื่อนางกลับมาซินหรูได้รับการดูแลอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง หลังจากเรื่องนี้ผ่านพ้นไปเหล่านางกำนัลและขันทีในตำหนักฉางเหยี่ยนล้วนมีความกล้าหาญ ยืดเอวแผ่นหลังเหยียดตรงได้แล้ว ไม่มีเรื่องอื่นลำพังแค่เรื่องที่หลินชิงเวยสร้างความดีความชอบจากถวายการอารักขาฮ่องเต้ครั้งแล้วครั้งเล่า ตำหนักฉางเหยี่ยนมีบารมีและอำนาจมากกว่าตำหนักอื่นๆ ที่สำคัญเบื้องบนไม่มีจ้าวเฟยที่คอยแต่จะมาอวดอ้างบารมีกดขี่พวกเขาอีกต่อไป
ยามนี้หลินชิงเวยเป็นคนโปรดที่ไม่อาจโปรดปรานได้มากไปกว่านี้ของฮ่องเต้และเซ่อเจิ้งอ๋อง ภายในตำหนักฉางเหยี่ยนมีพระราชโองการเพียงหนึ่งเดียวก็คือปรนนิบัติรับใช้เจาอี๋เหนียงเหนียงในทุกๆ เรื่อง ซึ่งทุกอย่างได้ดำเนินมาถึงจุดสูงสุดเนิ่นนานแล้ว คำพูดของเจาอี๋เหนียงเหนียงสำหรับพวกเขาแล้วก็คือราชการโองการ
นางกำนัลต่างถอยออกไป หลินชิงเวยนั่งอยู่ริมเตียงเป็นเพื่อนซินหรูครู่หนึ่ง นางกุมมืออันเย็นเยียบของซินหรูเอาไว้ พิษงูและหนอนกลืนกินวิญญาณที่ตกค้างอยู่ในร่างกายของซินหรูถูกขับออกมาหมดแล้ว สาเหตุที่นางยังไม่ได้สติเป็นไปได้ว่าเป็นเพราะเมื่อหนอนกลืนกลินวิญญาณชอนไชเข้าไปในสมองของนางได้ทำลายสมองของนาง บัดนี้สิ่งที่หลินชิงเวยทำได้ก็คืออยู่เป็นเพื่อนนาง ซินหรูไม่อาจกินอาหารได้เองในทุกๆ วัน ล้วนต้องกินอาหารเหลวเป็นหลัก หลินชิงเวยได้ให้ยาฤทธิ์อุ่นและบำรุงร่างกายที่ให้ผลดีต่อร่างกาย หัวใจและสมองของนาง
ไม่รู้ว่าซินหรูจะฟื้นขึ้นมาเมื่อใด นางยังเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง สุขภาพและพลังจิตย่อมเปราะบางอย่างยิ่ง หากนางได้ครึ่งหนึ่งของเซียวเยี่ยน…ก็คงดี แต่บนโลกใบนี้จะมีใครสักกี่คนที่ทำได้อย่างเซียวเยี่ยน พลังจิตอันแข็งแกร่งของเขาผ่านการฝึกฝนเป็นเวลายาวนานหลายปี ลำพังแค่ร่องรอยบาดแผลบนร่างกายของเขาก็รู้แล้วว่าเขาเคยผ่านความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานมามากน้อยเพียงใด
ตลอดทั้งช่วงบ่ายหลินชิงเวยจัดล่วมยาของตนเองให้พร้อมพรักและครบถ้วน ยังมีเวลาเหลืออยู่นางจึงเข้าไปงีบยามบ่าย นอนหลับรวดเดียวจนฟ้ามืด
ยังดีที่นางหลับไปงีบหนึ่ง เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นรู้สึกว่าคนทั้งคนสมองปลอดโปร่งขึ้นมาไม่น้อย แน่นอนว่านางไม่ได้ตื่นเอง แต่เป็นเพราะเซียวเยี่ยนที่ลอบเข้ามาในห้องของนางเพื่อหลบเลี่ยงสายตาของนางกำนัลเพื่อปลุกนาง หาไม่แล้วนางย่อมต้องนอนจนฟ้าสว่างเป็นแน่
ในห้องไม่ได้จุดโคมไฟ หลินชิงเวยลุกขึ้นมานั่งบนเตียงแล้วขยี้ตา เซียวเยี่ยนไม่ได้ระมัดระวังตัวเช่นเมื่อแรกอีกแล้ว เขาเดินไปนั่งลงข้างโต๊ะผ้าไหมยกมือขึ้นรินน้ำชาให้ตนเองถ้วยหนึ่งและถามนางด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ไฉนเจ้าจึงรู้ว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นกับเซี่ยนอ๋อง?”
“หากข้าบอกว่าข้าดูจากสีหน้าบนใบหน้าเมื่อจู๋กุ้ยเหรินตาย ท่านจะเชื่อหรือไม่?”
“เชื่อ”
หลินชิงเวยทอดถอนใจ “เมื่อมนุษย์ต้องเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวและความทุกข์ทรมานก่อนที่จะตาย ทำให้ใบหน้าของนางบิดเบี้ยว พูดเท็จหรือพูดจริงล้วนเชื่อไม่ได้ หากข้าบอกว่าเซี่ยนอ๋องลักลอบมีความสัมพันธ์กับจู๋กุ้ยเหริน ท่านจะเชื่อหรือไม่?”
เซียวเยี่ยน “…”
หลินชิงเวยพูดอีกว่า “เซียวอี้ตามติดข้าเพียงนั้น ไม่ใช่ด้วยข้าไปพบเรื่องดีงามของเขาเข้ากับตาหรือ แต่ก็นับว่าเขาสมควรได้รับผลกรรมเช่นนี้ ไปยุ่งเกี่ยวกับใครไม่ยุ่งแต่ไปยุ่งกับจู๋กุ้ยเหริน จู๋กุ้ยเหรินนั้นเพื่อทางรอดของตนแล้วย่อมต้องให้เขาร่วมเป็นร่วมตายกับนาง ดังนั้นเพื่อเป็นการรับประกันว่าหากเกิดเรื่องอันใดขึ้นจริงๆ เพื่อต้องการรักษาชีวิตเซียวอี้ย่อมต้องยืนอยู่ข้างนางเพื่อช่วยเหลือนาง เพียงแต่นางคาดไม่ถึงเช่นกันว่ากระทั่งโอกาสที่จะได้พบกับเซียวอี้ก็ไม่มีนางก็ตายไปแล้ว”
เซียวอี้วางฝาถ้วยน้ำชาในมือลงอย่างไม่ให้เสียเวลา “ไปเถิด เปิ่นหวางส่งเจ้าออกจากวังไปจวนเซี่ยนอ๋องสักหน”
ระหว่างทางได้ยินเซียวเยี่ยนพูดอีกว่า เซียวอี้ล้มป่วยตั้งแต่ยามบ่าย เขากระอักเลือดออกมาก่อนจากนั้นก็ลุกไม่ขึ้นอีกเลย คนในจวนอ๋องต่างตื่นตระหนกตกใจรีบไปเชิญท่านหมอมา ทันทีที่ตรวจดูอาการแล้วก็รู้ว่าเกินกำลังความสามารถที่จะรักษาได้ คนในจวนอ๋องจึงส่งคนเข้าวังมากราบทูลฮ่องเต้ ทว่าประตูวังหลวงนั้นถูกเซียวเยี่ยนป้องกันเอาไว้แต่แรกแล้ว
หากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของเซียวจิ่น ย่อมต้องเป็นโอกาสอันดีงามที่จะถอนรากถอนโคนเซียวอี้อย่างมิต้องสงสัย
เซียวเยี่ยนพาหลินชิงเวยออกจากวังกลางดึกรีบเดินทางไปยังจวนเซี่ยนอ๋อง
จวนเซี่ยนอ๋องตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองหลวง ยามนี้เวลายังไม่ดึกมาก ตลาดนัดกลางคืนเพิ่งจะเริ่มต้น แม้จะไม่ได้คึกคักเช่นค่ำคืนในวันเทศกาลซ่างซื่อ แต่บนถนนก็มีผู้คนสัญจรไปมาอย่างครึกครื้น
ยามนี้ภายในจวนเซี่ยนอ๋องสว่างไสวไปด้วยโคมไฟ คนในจวนต่างร้อนใจด้วยพวกเขาคิดไม่ถึงว่าคนของจวนอ๋องที่ไปเชิญหมอหลวงกลับถูกขัดขวาง
เมื่อหลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ของจวนอ๋อง องครักษ์ยังไม่ทันได้เข้าไปรายงานก็มีสตรีนางหนึ่งเดินมาราวกับมีลมหมุนใต้เท้ามายังประตูใหญ่ นางเดินไปพร้อมกับด่าทอด้วยโทสะ “ข้าเข้าวังไปเชิญหมอหลวงด้วยตัวเอง ท่านอ๋องเป็นชินอ๋อง หรือพวกเขายังคิดจะวางแผนสังหารชินอ๋อง! ถึงกับกล้าขัดขวางไม่ให้คนของจวนอ๋องเข้าวัง ช่างบังอาจนัก!”
แต่นางคาดไม่ถึงว่าเมื่อมาถึงประตูจะถูกคนขัดขวางทางเดิน นางจึงอดที่จะเงยหน้าขึ้นมองอย่างตกตะลึงไม่ได้
ยามนี้หลินชิงเวยก็มองเห็นหน้าตาท่าทางนางได้ชัดเจนแล้วเช่นกัน มิใช่ หลินเสวี่ยหรง น้องสาวลูกผู้น้องของนางหรอกหรือ
หลินเสวี่ยหรงคิดไม่ถึงเช่นกันว่าหลินชิงเวยจะเป็นฝ่ายมาเยือนถึงจวน สีหน้าและอารมณ์ของนางเปลี่ยนไปหลากหลาย มีทั้งริษยาอย่างคลุ้มคลั่ง เคียดแค้นชิงชังและไม่ยินยอม สุดท้ายแปรเปลี่ยนเป็นดูหมิ่นดูแคลนอย่างที่สุด
หลินชิงเวยเห็นเสื้อผ้าอาภรณ์และการแต่งกายของนาง ปิ่นปักผมบนศีรษะมิใช่ปิ่นของแม่นางน้อยแต่เป็นปิ่นปักผมของสตรีผู้ออกเรือนแล้ว นางกระจ่างแจ้งขึ้นทันใด
หลินเสวี่ยหรงและเซี่ยนอ๋องได้หมั้นหมายกันไว้แล้ว ก่อนหน้านี้เรื่องนี้ถูกกล่าวถึงทั่วทั้งเมืองหลวง ทว่าต่อมาคิดไม่ถึงว่าคนทั้งสองกลับร่วมหอกันทั้งที่ไม่ได้ผ่านพิธีแต่งงาน พวกเขาลักลอบมีความสัมพันธ์กันในงานวันเกิดของมหาเสนาบดีหลิน อีกทั้งถูกจับได้คาหนังคาเขาต่อหน้าผู้คนมากมาย
ผู้อื่นย่อมไม่พูดว่าเซี่ยนอ๋องเป็นคนเช่นไร อย่างไรชื่อเสียงเจ้าชู้ประตูดินของเซี่ยนอ๋องนั้นโด่งดังอยู่ข้างนอก ผู้คนพูดเพียงว่าหลินเสวี่ยหรงประพฤติตนขัดต่อประเพณีและศีลธรรม ส่วนเซียวอี้ก็ไม่ได้มีความรักต่อหลินเสวี่ยหรงจากใจจริง หลังจากที่เขาได้เห็นความโง่เขลาของหลินเสวี่ยหรงกับตาตนเอง หากมิใช่ด้วยระหว่างเขาและนางได้เกิดเรื่องพรรค์นั้นขึ้น ตรองดูแล้วมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเขาจะยกเลิกการหมั้นหมายครั้งนี้ ต่อมาการแต่งงานนี้มิอาจยกเลิก ซียวอี้กลับแต่งหลินเสวี่ยหรงเข้ามาในสถานะอนุ
แม้จะมีการหมั้นหมาย ทว่าก่อนหน้านี้มิได้กำหนดแน่นอนว่าเมื่อหลินเสวี่ยหรงแต่งเข้าไปแล้วเป็นพระชายาเอกซึ่งเป็นประมุขฝ่ายหญิงหรือเป็นอนุ ดังนั้นคนทั้งหมดล้วนคาดไม่ถึงว่าการแต่งงานที่ถูกกล่าวถึงอย่างหนาหู สุดท้ายเซี่ยนอ๋องแต่งคุณหนูรองหลินเสวี่ยหรงเข้ามาเป็นเพียงอนุคนหนึ่ง
ยามนั้นจิตใจของหลินเสวี่ยหรงแทบจะตายตกไป หลังจากแต่งเข้าไปแล้วยังต้องเป็นเรื่องตลกขบขันของผู้อื่น ถูกกดขี่รรังแกจากพระชายา แต่นางไม่อาจไม่แต่ง หาไม่แล้วชาตินี้นางก็ไม่ต้องคาดหวังว่าจะได้แต่งงานออกเรือนไป
เรื่องนี้กระทำกันอย่างเงียบเชียบ หลินเสวี่ยหรงแต่งเข้ามาอย่างสงบเสงี่ยมและคับแค้นใจ นางเป็นอนุของเซี่ยนอ๋อง หลินชิงเวยอยู่ในวังหลวงมีงานล้นมือหัวไม่วางหางไม่เว้น ไหนเลยจะมีเวลามาถามไถ่เรื่องของหลินเสวี่ยหรง นางแต่งเข้ามาตั้งแต่เมื่อใดหลินชิงเวยก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ อีกทั้งมีความเป็นไปได้ว่าสกุลหลินและเซี่ยนอ๋องต่างไม่ต้องการให้เรื่องนี้เอิกเกริก ดังนั้นจึงจัดงานอย่างเรียบง่าย
หลินชิงเวยเลิกคิ้วมองท่าทางของหลินเสวี่ยหรงที่ไม่ได้มีชีวิตอยู่ที่นี่อย่างสบายอกสบายใจนัก นางก็วางใจแล้ว
หลินเสวี่ยหรงจิกปลายเล็บเข้าไปในฝ่ามือที่อยู่ในแขนเสื้อ มีเซ่อเจิ้งอ๋องอยู่ด้วยนางจึงไม่อาจแสดงกิริยาเสียมารยาทต่อหน้าได้ เพียงแต่น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นทั้งเย็นชาและแข็งกระด้าง “เจ้ามาที่นี่ทำอันใด?”