ขาทั้งคู่ของเซียวจิ่นแดงก่ำ ลักษณะดูเหมือนถูกลวกอย่างรุนแรง หลินชิงเวยเช็ดน้ำยาสมุนไพรบนขาของเขาจนสะอาดสะอ้าน ใช้มือยกน่องของเขาขึ้นมาตรวจดู ไม่มีความร้อนแม้แต่น้อย แต่หลังจากแช่ในน้ำยาสมุนไพรแล้วกลับให้สัมผัสเย็นๆ ฤทธิ์ของยาได้แทรกซึมเข้าไปถึงกระดูกและกล้ามเนื้อของเซียวจิ่นแล้ว ภายนอกอาจดูไม่ออกแต่หลินชิงเวยยกขาของเขาขึ้นมาข้างหนึ่ง ปลายนิ้วสัมผัสดูแล้วพูดว่า “ได้ผลไม่เลวเลยทีเดียว กล้ามเนื้อผ่อนคลาย แยกตัวกับกระดูกขาแล้ว” นางเงยหน้าขึ้นมองเซียวเยี่ยนแวบหนึ่ง “เสด็จอา ท่านมานี่”
เซียวเยี่ยนยืนอยู่ข้างกายนาง
นางพูดอีกว่า “ยืนสูงเช่นนั้นทำอันใดกัน ย่อกายลงมา”
เซียวเยี่ยน “…” เขานั่งยองๆ ลงข้างกายหลินชิงเวย
หลินชิงเวยลูบคลำกระดูกในส่วนที่ถูกบิดจนผิดรูป แล้วคว้าฝ่ามือใหญ่ของเซียวเยี่ยนวางลงบนตำแหน่งนั้น หลินชิงเวยมองเซียวจิ่นที่หมดสติจนแน่ใจว่าเขายังไม่ตื่นขึ้นมา พูดกับเซียวเยี่ยนว่า “กระดูกที่ถูกบิดจนผิดรูปอยู่ในตำแหน่งนี้ ท่านคลำพบหรือไม่?”
เซียวเยี่ยนพยักหน้าไม่พูดจา
ทุกคนล้วนพูดว่าเซียวจิ่นนั้นพิการมาแต่กำเนิด กระทั่งเซียวจิ่นเองก็เข้าใจเช่นนี้ แต่กระโกขาทั้งคู่ของเขากลับถูกคนบิดจนผิดรูป บางทีอาจจะตั้งแต่นาทีที่เขาถือกำเนิดขึ้นมาก็ถูกคนลงมือกระทำอย่างเหี้ยมโหด
ดูท่าแล้วเซียวเยี่ยนรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ผู้ที่รู้ความจริงมีอยู่น้อยมาก ทว่าหากให้เซียวจิ่นล่วงรู้ว่าเซียวเยี่ยนรู้เรื่องนี้อยู่ก่อน ต่อไปเขาและเซียวเยี่ยนจะปฏิบัติต่อกันอย่างไร?
ด้วยอุปนิสัยของเซียวจิ่น เขาอาจจะพูดว่าไม่เป็นไร แต่ที่จริงในใจย่อมไม่อาจเชื่อใจเซียวเยี่ยนอีกกระมัง สำหรับเซียวเยี่ยนแล้วนั้นหากเขายังดำรงตำแหน่งเซ่อเจิ้งอ๋อง ย่อมไม่เป็นเรื่องดีสำหรับเขาเด็ดขาด
หลินชิงเวยสลัดความคิดยุ่งเหยิงทิ้งไป นางพูดกับเซียวเยี่ยน “มือของท่านมีพละกำลังมหาศาลทั้งยังมีกำลังภายใน น่าจะบีบกระดูกขาของเขาให้แตกละเอียดได้”
“อืม”
“จดจำไว้ อย่าบีบให้แตกละเอียดเกินไป หาไม่แล้วต่อให้ข้าจัดกระดูกของเขากลับไปได้ก็เข้าสู่รูปเดิมได้ยาก”
เซียวเยี่ยนเพียงแค่บีบกระดูกในส่วนที่ผิดรูปให้แหลกละเอียด จากนั้นให้หลินชิงเวยประกอบกระดูกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เซียวเยี่ยนรวบรวมพละกำลังไปที่ฝ่ามือสีหน้าของเขานิ่งสนิท ได้ยินเสียงดัง กร๊อบ ดังขึ้น เซียวเยี่ยนก็คลายมือออก “เรียบร้อยแล้ว”
เซียวจิ่นเจ็บปวดจนร่างกายชักกระตุก เขาค่อยๆ ได้สติ แต่ต่อมาหลินชิงเวยบีบกระดูกขาของเขา เขาชิงชังตัวเองยิ่งนักที่มิอาจหมดสติไปอีกครั้ง
ความเจ็บปวดนั้นราวกับกระดูกถูกกรีดให้แยกออกจากกัน หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นมองเซียวจิ่นที่เหงื่อแตกพลั่ก นางเกรงว่าเขาจะเจ็บปวดเสียจนกัดลิ้นของตน จึงยื่นไม้ท่อนหนึ่งให้เขากัด “ท่านอดทนหน่อย กัดไม้นี้ไว้จะทำให้พระองค์ผ่อนแรงลงได้ ระวังอย่าให้กัดถูกลิ้นเพคะ”
หลินชิงเวยเองก็ไม่ได้มีสภาพดีไปกว่าเซียวจิ่นเท่าใดนัก เซียวเยี่ยนดูแลเซียวจิ่น นางเองก็เหงื่อแตกท่วมตัวเช่นกัน นางจดจ่อสมาธิไม่กล้าวอกแวก กระดูกที่แตกละเอียดในกล้ามเนื้อถูกนางค่อยๆ ใช้ปลายนิ้วประกอบกลับไป นางต้องมีความเชี่ยวชาญในโครงสร้างของกระดูกอย่างแท้จริง กระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อยทุกชิ้นล้วนต้องใช้ความแม่นยำในการประกอบกลับไปอย่างยิ่งจึงจะทำให้กระดูกที่แตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กๆ เหล่านี้ประกอบกลับไปสู่สภาพเดิมของมันแต่แรก
หลินชิงเวยใช้มือทั้งสองข้าง เหงื่อของนางไหลผ่านหว่างคิ้วมาถึงหางคิ้วหยดลงมาบนเปลือกตา ทำให้ดวงตาทั้งคู่นางกระจ่างใสประดุจน้ำหมึก
นางนำกระดูกที่เซียวเยี่ยนบีบให้แตกละเอียดนั้นประกอบกลับมา ไม่อาจไม่พูดว่ากล้ามเนื้อที่คลายตัวนั้นช่วยให้นางทำงานได้ง่ายมากขึ้น นางจับกระดูกชิ้นเล็กชิ้นสุดท้ายประกอบกลับไป ขาของเซียวจิ่นจึงนับได้ว่ากลับคืนสู่รูปเดิมของมัน นางให้หมอหลวงที่รออยุ่ด้านนอกตลอดเวลานำไม้กระดานมาตรึงขาของเซียวจิ่นและใช้ผ้าพันแผลมัดไว้อย่างแน่นหนา
เช่นนี้แล้วจะสะดวกต่อการรักษาขาอีกข้างหนึ่งของเซียวจิ่น
เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ดวงตะวันที่อยู่ลอยตัวอยู่กลางท้องนภาค่อยๆ เคลื่อนคล้อยไปทางทิศตะวันตกอย่างเงียบเชียบ ด้านนอกเริ่มมีเสียงร้องของแมลงดังขึ้น ราวกับกำลังต้อนรับคิมหันตฤดูที่มาถึง
เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ เสียงของแมลงตามต้นไม้ค่อยๆ ดังขึ้น แสงตะวันยามอัสดงสงบสุข แต่ภายในและภายนอกตำหนักบรรทมไม่ได้สงบสุขสักเท่าใดนัก มีเพียงคนเดียวที่สงบก็คือเซียวจิ่นที่นอนอยู่บนเตียง
ยามนี้ขาทั้งคู่ของเขาล้วนถูกจัดกระดูกเสร็จสิ้นแล้ว และถูกตรึงเอาไว้ด้วยไม้กระดานอย่างแน่นหนา นางกำนัลยกอ่างน้ำร้อนเข้ามาเช็ดตัวและซับเหงื่อให้เขา หมอหลวงหลายคนเข้ามาด้านในตรวจดูชีพจรทั่วไปของเซียวจิ่น เซียวเยี่ยนยืนอยู่ข้างๆ มองหลินชิงเวยเดินออกประตูไปอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง นางนั่งลงบนขั้นบันไดนอกประตูให้ลมพัดผัดร่างของตน
ในสมองของนางยังคงตกอยู่ในสภาวะว่างเปล่า ยังไม่ได้กลับออกมาจากการรักษาขั้นสูง
“ไทเฮาเสด็จ–”
พระพายยามค่ำคืนสายหนึ่งพัดผ่านกลิ่นหอมคุ้นเคยที่ทำให้คนไม่ชอบใจนักผ่านมา ตั้งแต่ตำหนักหน้าพัดผ่านมาถึงภายในตำหนักบรรทม ผ่านเข้ามาในโพรงจมูกของหลินชิงเวย
ต้นไม้ภายในลานเรือนเคลื่อนไหวเบาๆ ใบไม้สั่นไหว นอกจากอากาศในยามกลางวันที่ร้อนระอุแล้ว ปนเปมาด้วยสายลมเย็นหลายส่วน เหงื่อบนร่างกายของหลินชิงเวยถูกพัดจนแห้ง อาภรณ์บนร่างกลับมีร่องรอยของความชื้นหลงเหลืออยู่บ้างทำให้นางรู้สึกหนาวเยือกหลายส่วนจึงอดที่จะยกมือขึ้นลูบหน้าผากทั้งเย็นทั้งหนักของตน
นางหรี่ตาลงเห็นไทเฮาและคนของนาง ไทเฮาแต่งกายและประทินโฉมงดงามปรากฏกายขึ้นในตำหนักซวี่หยาง เมื่ออยู่ต่อหน้านางยังคงมีท่าทีหยิ่งผยองดังเดิม หลินชิงเวยนั่งอยู่บนบันไดหินไม่เคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น
ไทเฮาเห็นนางเป็นเช่นศัตรูข้ามภพ นางไม่มีความจำเป็นต้องเกรงใจหญิงชราผู้นี้เช่นกัน
เมื่ออยู่ในตำหนักซวี่หยางนางไม่เชื่อว่าไทเฮาจะสร้างความลำบากใจให้กับเจาอี๋คนหนึ่งที่เพิ่งจะถวายการรักษาให้กับฮ่องเต้ นอกเสียจากนางจะปรารถนาให้คนทั้งหกตำหนักรู้กันถ้วนหน้าว่าไทเฮาเป็นคนใจคอคับแคบ ไม่อาจยอมรับใครได้ทั้งสิ้น
ยามนี้แม้ไทเฮาจะมาเยือนด้วยข้ออ้างเพื่อเยี่ยมเยียนฮ่องเต้ ทว่าเมื่อนางเห็นหลินชิงเวยผู้ถวายการรักษาขาของฮ่องเต้ บนใบหน้าของนางมิได้ปรากฏความยินดีแม้แต่น้อย แต่กลับมีสีหน้าขุ่นมัวอย่างที่สุด ราวกับหลินชิงเวยได้ทำลายเรื่องดีๆ ของนางจนหมดสิ้น
หลินชิงเวยเอามือเท้าแก้มค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง ไทเฮาประทินโฉมงดงาม สง่างามสูงศักดิ์ หลินชิงเวยยังคงหาร่องรอยพิรุธบนใบหน้าของนางได้เช่นกัน
หมัวมัวตวาดลั่น “หลินเจาอี๋บังอาจนัก ถึงกับกล้าขวางขบวนเสด็จของไทเฮา!”
หลินชิงเวยพูดยิ้มๆ อย่างอ่อนล้า “ขอแสดงความยินดีกับไทเฮาเหนียงเหนียง ขาทั้งคู่ของฝ่าบาทถูกข้าจัดกระดูกใหม่แล้ว ขอเพียงต่อไปดูแลพักฟื้นให้ดีย่อมต้องหายดีภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน ถึงเวลานั้นก็จะเดินเหินตามปกติได้แล้ว” พูดแล้วก็มองไปที่บันไดหินกว้างขวาง “ทางเส้นนี้กว้างขวางถึงเพียงนี้ ข้าเพียงแต่นั่งพักอยู่ที่นี่ ไทเฮาคงจะไม่ถือสากระมัง?”
หมัวมัวกำลังจะแสดงอำนาจก็เห็นเซ่อเจิ้งอ๋องเดินออกมาอย่างไม่ช้าไม่เร็ว เขายืนอยู่หน้าประตูพูดกับไทเฮาว่า “ถวายคำนับไทเฮา”
หมัวมัวผู้นั้นรีบอดทนอดกลั้นอย่างทันท่วงที
ไทเฮาสะบัดแขนเสื้อเดินผ่านร่างของหลินชิงเวยพร้อมกับแค่นเสียงเย็น นางเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าเซียวเยี่ยน “เซ่อเจิ้งอ๋องไม่ต้องมากพิธี ฝ่าบาทเขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
เซียวเยี่ยน “หลินเจาอี๋ถวายการรักษาแล้ว หลังจากหมอหลวงได้ตรวจพระอาการ ทุกอย่างล้วนดียิ่งเพียงแต่ยามนี้บรรทมหลับไปแล้ว คงจะไม่ทราบว่าไทเฮามาเยี่ยม”
ไทเฮามีสีหน้าแข็งเกร็ง ฝืนแสร้งแสดงสีหน้าเอาใจใส่ออกมาเล็กน้อย “เขาไม่เป็นอะไรเปิ่นกงก็วางใจแล้ว” ต่อมานางเพียงแต่ยืนเมียงมองอยู่หน้าประตูโดยมิได้ก้าวเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว สนทนากับเซียวเยี่ยนไม่กี่ประโยคแล้วนำคนของตนกลับออกไป
อย่างไรต่อหน้าผู้อื่นไทเฮาก็ถือได้ว่ามาเยี่ยมฮ่องเต้อย่างร้อนใจมิใช่หรือ? เพียงแต่ฮ่องเต้อยู่ในภาวะหมดสติ ไทเฮาเกรงว่าจะเป็นการรบกวนการพักผ่อนของฮ่องเต้ ดังนั้นจึงยืนอยู่หน้าประตูโดยไม่ได้ก้าวเข้าไป