ในยามปกติด้านนอกห้องทรงพระอักษรล้วนมีขันทีและองครักษ์ยืนเฝ้าอยู่เสมอ อีกทั้งพวกเขาล้วนมิอาจอยู่ใกล้ห้องทรงพระอักษรมากจนเกินไปได้ หากมิได้รับอนุญาตจากเบื้องบนจะเข้าออกตามอำเภอใจมิได้เด็ดขาด โดยปกติแล้วเรือนในตำหนักหน้าจะเว้นว่างไว้เสมอเพื่อให้ขันทีและองครักษ์ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู
เพียงแต่บัดนี้เซียวเยี่ยนมักจะมาสะสางราชกิจในห้องทรงพระอักษร ขันทีจึงย้ายเข้าไปยืนเฝ้าภายในตำหนัก เพื่อรอปรนนิบัติรับใช้หากเซ่อเจิ้งอ๋องมีพระบัญชา
วันนี้หลินชิงเวยมาที่นี่พร้อมทั้งแสดงป้ายหยกที่นำติดตัวมา องครักษ์จึงมิกล้าขวางทางนาง ปล่อยให้นางเดินเข้าไปในด้านใน แต่ทันทีที่เข้าไปในด้านในกลับเห็นภายในตำหนักค่อนข้างคึกคัก
นางกำลังมากกว่าในยามปกติ อีกทั้งไม่ได้มีเพียงนางกำนัลของตำหนักชิงหลวนเท่านั้น ยังมีนางกำนัลและขันทีของตำหนักคุนเหออีกด้วย
เมื่อเห็นหลินชิงเวยเข้ามา นางกำนัลทั้งหมดล้วนถวายคำนับ “ถวายคำนับเจาอี๋เหนียงเหนียงเพคะ”
หลินชิงเวยกระจ่างแจ้งในใจดีถามเรียบๆ ว่า “เซ่อเจิ้งอ๋องอยู่ข้างในหรือไม่”
นางกำนัลของตำหนักชิงหลวนตอบคำถามเหงื่อตก “เรียนเหนียงเหนียง เซ่อเจิ้งอ๋องประทับอยู่ด้านในเพคะ”
หลินชิงเวยเดินผ่านร่างของพวกเขาไป เมื่อกำลังก้าวเข้าไปในห้องทรงพระอักษรกลับมีนางกำนัลเอ่ยขึ้นด้วยความลำบากใจ “แต่เหนียงเหนียง…”
ฝีเท้าของหลินชิงเวยไม่หยุดชะงัก นางเดินขึ้นบันไดที่ทอดสู่ประตูหน้าของห้องทรงพระอักษรพร้อมกับพูดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “แต่อันใด?”
ไม่รอให้นางกำนัลของตำหนักชิงหลวนตอบ ทันทีที่ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือนก็มีคนของตำหนักคุนเหอมาขวางทางเดินของนาง ขันทีท่าทางเคร่งขรึมมากประสบการณ์ผู้นั้นนางไม่คุ้นหน้าคุ้นตา คงเป็นขันทีข้างกายของไทเฮา อีกทั้งหมัวมัวสีหน้าท่าทางดุร้ายในเรือนอีกสองคนนั้นเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของไทเฮา
หากขันทีวัยกลางคนไม่ออกมาขวางเอาไว้ เกรงว่าหมัวมัวสองนางนั้นคงอดไม่ได้ที่จะออกหน้ามากำราบหลินชิงเวย
ขันทียังนับว่าเกรงใจอยู่บ้าง เขาพูดกับหลินชิงเวย “เจาอี๋เหนียงเหนียงช้าก่อน ยามนี้ไทเฮาเหนียงเหนียงกำลังอยู่ในห้องทรงพระอักษรพ่ะย่ะค่ะ”
หลินชิงเวยเลิกคิ้วเหลือบหางตาไปมองขันที พูดอย่างเห็นขันว่า “ไทเฮาบอกเจ้าว่านางอยู่ข้างใน แล้วข้าเข้าไปไม่ได้หรือ”
“บ่าวมิกล้า เพียงแต่ไทเฮาไม่ชมชอบให้คนรบกวน เหนียงเหนียงเชิญกลับไปเถิด”
“ไม่ชมชอบให้คนรบกวน?” หลินชิงเวยลากเสียงให้สูงขึ้น “รบกวนนางอันใด รบกวนนางซึ่งเป็นไทเฮา หญิงม่ายที่สองวันสามวันก็เอาแต่ตามติดอยู่ในห้องทรงพระอักษร หรือรบกวนไม่ให้นางและเซ่อเจิ้งอ๋องซึ่งเป็นบุรุษโสดและหญิงม่ายอยู่ร่วมห้องหับเดียวกัน”
ขันทีหน้าเปลี่ยนสีทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หมัวมัวตวาดลั่น “บังอาจ! เซ่อเจิ้งอ๋องสะสางราชกิจแทนฮ่องเต้ ไทเฮาเห็นแก่เซ่อเจิ้งอ๋องที่ทรงงานเหน็ดเหนื่อยจึงเสด็จมาเยี่ยมเยียน หลินเจาอี๋จะทำให้บารมีของไทเฮามีมลทิน!”
หลินเจาอี๋ยกยิ้มมุมปาก “เสด็จมาเยี่ยมเยียนก็ต้องปิดประตูมิดชิดพูดคุยกัน ไทเฮาไม่รู้หนักเบาเช่นนี้ ช่างเป็นการกระทำที่ดียิ่งนัก!”
“เจ้า!” หมัวมัวทั้งสองคนส่งสายตาให้กัน แล้วจึงก้าวขึ้นหน้ามาขวางหลินชิงเวยเอาไว้
หลินชิงเวยหันกลับมากวาดสายตามองร่างของหมัวมัวทั้งสองคน “พวกเจ้ามีฐานะเป็นคนข้างกายของไทเฮา บ่าวสองคนกล้าลงไม้ลงมือกับเปิ่นกงเช่นกันหรือ?! ใครกันแน่ที่บังอาจ? ยามปกติไทเฮาสั่งสอนให้เจ้าช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญใช่หรือไม่?! หรือสุนัขรับใช้สองตัวเช่นเจ้าคิดไปเองว่ามีฐานะสูงกว่าเปิ่นกงที่เป็นเจาอี๋ ถึงกับกล้ามาแสดงอำนาจบาตรใหญ่ต่อหน้าเปิ่นกง?!”
หมัวมัวทั้งสองหยุดชะงัก ที่นี่มิใช่ตำหนักคุนเหอ ที่นี่คือตำหนักชิงหลวน หากเรื่องราวลุกลามใหญ่โตแล้วแพร่ออกไป ไม่เพียงไม่ส่งผลดีพวกนางสองคน กระทั่งไทเฮาก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย
เดิมทีหมัวมัวทั้งสองเดือดดาลจนโทสะลุกเทียมฟ้าไปแล้ว ได้แต่ถลึงตาจ้องหลินชิงเวยเขม็ง พูดอย่างไม่ยินยอมว่า “มิกล้า” แต่กลับยังคงพูดเสียงแข็งว่า “ยามนี้ไทเฮาประทับอยู่ด้านใน บ่าวมิอาจให้เจาอี๋เข้าไปเด็ดขาด เชิญเจาอี๋กลับไปเถิด!”
หลินชิงเวยก้าวขึ้นข้างหน้าอีกสองก้าวแล้วพยักพเยิดปลายคาง บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ข้าจะเข้าไปให้ได้ พวกเจ้าจะทำอะไรข้าได้”
หมัวมัวสองคนก้าวขึ้นมาขวาง “หากเจาอี๋เหนียงเหนียงจะบุกเข้าไปให้ได้ ก็อย่ากล่าวโทษว่าพวกเราไม่เกรงใจ แม้ท่านจะเป็นเหนียงเหนียง แต่พวกบ่าวเป็นคนข้างกายของไทเฮา ย่อมต้องฟังพระเสาวนีย์ของไทเฮาเท่านั้น!”
พูดแล้วทั้งสองฝ่ายต่างมีท่าทีจะลงไม้ลงมือ หมัวมัวทั้งสองคนเหมือนเทพดูแลทวารบาลอย่างไรอย่างนั้น หนักแน่นไร้อันใดเปรียบ อีกทั้งสีหน้าปรากฏให้เห็นความดุดันที่จะทำลายล้าง
หลินชิงเวยก้าวขึ้นข้างหน้าอีกสองก้าวอย่างเห็นขัน นางหยิบหยกชิ้นหนึ่งออกมาขณะที่หมัวมัวทั้งสองยังไม่ทันได้ลงมือทำอะไรนาง แทบจะวางหยกชิ้นนั้นแนบติดไปกับหน้าผากของหมัวมัว นางกำนัลและขันทีในลานเรือนต่างเห็นหยกชิ้นนี้จึงพากันคุกเข่าลงกับพื้นอย่างไร้สุ้มเสียง
หมัวมัวเบิกตากลมโตจ้องมองหยกชิ้นนั้นแล้วอ้าปากพะงาบๆ ทว่ากลับพูดอะไรไม่ออก ราวกับความโอหังพลันลดลงขั้นหนึ่งเช่นกัน
หลินชิงเวยแค่นหัวเราะเสียงเย็น “พวกเจ้าเป็นคนของไทเฮาจึงฟังเพียงคำสั่งของไทเฮา แล้วอย่างไรเล่า เห็นป้ายหยกนี้แล้วเสมือนประหนึ่งเห็นฮ่องเต้ พวกเจ้าเห็นแล้วกลับทำเหมือนมองไม่เห็น ช่างมีความเก่งกาจโดยแท้! เด็กๆ คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ไม่ให้ความเคารพต่อฮ่องเต้…”
หลินชิงเวยยังพูดไม่จบ หมัวมัวสองคนก็คุกเข่าลงพื้นดังตุบ
หลินชิงเวยหรี่ตาลง พูดเสียงใสกังวานว่า “ตบปากพวกนางเดี๋ยวนี้”
คนของตำหนักชิงหลวนไม่มีทางฟังคำสั่งของไทเฮาโดยไม่ใส่ใจต่อฮ่องเต้ พวกเขาล้วนเป็นคนของฮ่องเต้ ขันทีได้ยินเช่นนั้นแล้วจึงก้าวขึ้นมาข้างหน้าเตรียมจะลงมือ หลินชิงเวยเลิกคิ้วมองดูขันทีที่เข้ามารับคำสั่งนั้นพร้อมกับยกยิ้มมุมปากเอ่ยขึ้นว่า “รูปร่างของเจ้าผอมบางเช่นนี้จะมีเรี่ยวแรงที่ไหนกัน ไปเรียกองครักษ์จากด้านนอกเข้ามาคนหนึ่ง”
สีหน้าของหมัวมัวพลันซีดขาว “หลินเจาอี๋ ไม่ว่าทำเรื่องใดล้วนต้องมีหนักมีเบา พวกเราเป็นถึงคนข้างกายของไทเฮา!”
หลินชิงเวยไม่เชื่อว่าผนังห้องของห้องทรงพระอักษรจะดีถึงขั้นไม่ได้ยินเสียงข้างนอกแม้แต่น้อย ไทเฮาคิดว่าแค่ขันทีและนางกำนัลไม่กี่คนของตำหนักคุนเหอก็จะขัดขวางนางได้หรือ ดังนั้นนางจึงไม่กังวลแม้แต่น้อยใช่หรือไม่ หลินชิงเวยพูดพร้อมกับหรี่ตาลง “คนข้างกายของไทเฮา ทำผิดฐานหมิ่นเบื้องสูงเช่นนี้ เปิ่นกงตีไม่ได้หรือไร? ตบปากให้หนัก!”
องครักษ์ลงมือตบปากอย่างไร้ปรานี เพียงไม่กี่ฝ่ามือ ใบหน้าของหมัวมัวแปรเปลี่ยนเป็นทั้งบวมทั้งแดง
ในยามปกติหมัวมัวอยู่ในตำหนักคุนเหอไหนเลยจะเคยได้รับการลงทัณฑ์เช่นนี้ องครักษ์เพิ่งจะลงมือก็ร้องโอดโอยเสียงดังขึ้นมา น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความโกรธขึ้งของไทเฮาดังขึ้นจากห้องด้านในตอนนี้เอง “เชิญหลินเจาอี๋เข้ามา!”
หลินชิงเวยพูดกับองครักษ์ “ตีต่อไป ไม่ต้องหยุด” ต่อมานางเหยียบย่ำลงบนหลังมือของหมัวมัว แล้วเดินขึ้นบันไดไปถึงหน้าประตูแล้วผลักประตูเดินเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน
เมื่อหลินชิงเวยเข้าไป ทันทีที่นางช้อนตาขึ้นก็เห็นสายตาของไทเฮาที่คมปลาบประดุจใบมีดที่ส่องประกายออกมา แต่หลินชิงเวยจงใจที่จะทำเหมือนมองไม่เห็น นางกล่าวขึ้นเรียบๆ ว่า “ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้หม่อมฉันนำของว่างมื้อดึกมาถวายให้เซ่อเจิ้งอ๋อง เซ่อเจิ้งอ๋องทรงงานเหน็ดเหนื่อย ช่างบังเอิญจริงๆ ที่ไทเฮาประทับอยู่ที่นี่ด้วย”
ใบหน้าอันงดงามจับตาของไทเฮาบิดเบี้ยวเล็กน้อยเพราะการมาถึงของนาง “หลินเจาอี๋ช่างร้ายกาจจริงๆ ถึงกับกล้าตีสาวใช้ของเปิ่นกง”
หลินเจาอี๋ “มิกล้าเพคะ หม่อมฉันมาตามพระบัญชาของฝ่าบาท สุนัขรับใช้เหล่านั้นล้วนมีตาหามีแววไม่” พูดแล้วก็แบมือออกปรากฏให้เห็นป้ายหยกของเซียวจิ่น “ได้ยินว่าเห็นของสิ่งนี้เสมือนเห็นฮ่องเต้ แต่พวกนางกลับไม่ใส่ใจ ไม่เห็นฮ่องเต้อยู่ในสายตาควรจะศีรษะหลุดออกจากบ่ากระมัง การลงทัณฑ์เช่นนี้ถือเป็นการเห็นแก่หน้าไทเฮาแล้วใช่หรือไม่เพคะ”
ยามนี้เซียวเยี่ยนนั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ บนโต๊ะหนังสือมีฎีกาวางรวมกันเป็นกองพะเนิน เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย บนใบหน้าเย็นชาของเขามองไม่เห็นอารมณ์อันใด แต่มองออกได้ไม่ยากว่าเสียงเอะอะโวยวายทั้งนอกและในที่เกิดขึ้นนี้รบกวนการทำงานของเขา