ไทเฮาพยายามอย่างยิ่งที่จะข่มไฟโทสะในใจของตน ด้วยเห็นเซียวเยี่ยนไม่พูดจาแสดงความเห็น นางจึงพูดกับหลินชิงเวยด้วยน้ำเสียงเป็นปกติว่า “ดูแล้วเป็นคนของเปิ่นกงที่เสียมารยาทแล้วจริงๆ” นางมองกล่องอาหารในมือของหลินชิงเวยแวบหนึ่ง “หลินเจาอี๋นำอาหารมื้อดึกมาส่งให้เซ่อเจิ้งอ๋องหรือ”
หลินชิงเวยพูดกลั้วหัวเราะ “ดูแล้วไทเฮาก็เช่นเดียวกัน” มีอาหารว่างและน้ำแกงที่ยังไม่ได้แตะต้องวางอยู่ด้านข้างของโต๊ะ “หากรู้แต่แรกว่าไทเฮาส่งมาแล้ว หม่อมฉันก็ไม่มาหรอกเพคะ ไทเฮาจะได้ไม่ต้องเดินทางมาไกลอย่างเสียเที่ยวใช่ไหมเพคะ”
ไทเฮาสูดลมหายใจเข้าลึก “ในเมื่อตอนนี้เจ้ารู้ว่าเปิ่นกงส่งมาให้แล้ว ไยต้องนำเข้ามาส่งอีกเล่า หลินเจาอี๋เป็นนางสนมของฝ่าบาท เข้าออกห้องทรงพระอักษรเพื่อส่งอาหารมื้อดึกให้เซ่อเจิ้งอ๋อง ไม่คิดว่าเจ้าเองก็ไม่หลีกเลี่ยงต่อคำครหานินทาหรือไร”
“นี่เป็นน้ำพระทัยของฝ่าบาทที่ทรงมีต่อเซ่อเจิ้งอ๋องเพคะ ไหนเลยจะพูดว่าเป็นการกระทำที่สิ้นเปลืองได้” หลินชิงเวยพูดเรียบๆ “กลับเป็นไทเฮาที่ดูจะใส่ใจเซ่อเจิ้งอ๋องเกินงามไปสักหน่อยหรือไม่เพคะ” สีหน้าของไทเฮาชะงักกึก หลินชิงเวยจึงพูดขึ้นอย่างไม่เร็วไม่ช้าอีกว่า “เอาใจใส่เซ่อเจิ้งอ๋อง ส่งอาหารมื้อดึกให้เซ่อเจิ้งอ๋อง เดิมทีล้วนเป็นเรื่องที่ฝ่าบาทสมควรกระทำ แต่ตอนนี้ฝ่าบาทนอนประชวรอยู่บนเตียงไม่อาจเสด็จมาด้วยตนเองได้ ได้แต่สั่งให้หม่อมฉันนำมาส่งให้เซ่อเจิ้งอ๋อง ไทเฮาคิดว่ามีสิ่งใดไม่เหมาะสมเพคะ? กลับเป็นไทเฮาเสียอีกสามวันห้าวันก็เข้าออกห้องทรงพระอักษร ใส่ใจเซ่อเจิ้งอ๋องยิ่งนัก ซ้ำยังปิดประตูแน่นหนา ไม่ให้คนเข้ามา ไม่คิดว่าไม่หลีกเลี่ยงต่อคำครหานินทาเกินไปหรือไม่เพคะ?”
ไทเฮาโกรธขึ้งอย่างที่สุด นางจิกปลายเล็บลงบนผ้าเช็ดหน้าในมือและหรี่ตาพูดว่า “เปิ่นกงเห็นว่าเซ่อเจิ้งอ๋องตรากตรำด้วยสะสางราชกิจแทนฮ่องเต้ จึงมาเยี่ยมเยียนก็มีความผิดหรือไร?”
หลินชิงเวย “ไทเฮาโปรดวางพระทัยเพคะ ต่อไปฝ่าบาทได้มอบหมายเรื่องเหล่านี้ให้เป็นหน้าที่ของหม่อมฉันแล้ว หม่อมฉันจะไม่ทำให้ไทเฮาทรงผิดหวังเป็นแน่ หม่อมฉันจะมาไต่ถามเซ่อเจิ้งอ๋องวันละสามเวลาเลยเพคะ”
ในที่สุดเซียวเยี่ยนก็วางพู่กันจูซาในมือลงแล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นพูดเสียงเรียบว่า “หลินเจาอี๋ ห้ามเสียมารยาทต่อไทเฮา”
เมื่อเห็นว่าเซียวเยี่ยนยืนอยู่ข้างตน สีหน้าของไทเฮาจึงดีขึ้นเล็กน้อย ต่อมาเซียวเยี่ยนพูดขึ้นอีกว่า “คืนนี้ยังมีราชกิจมากมายที่ยังไม่ได้ทำ เชิญไทเฮาตามสบายเถิด”
ไทเฮารู้ว่าตนเองอยู่ที่นี่มาสักพักหนึ่งแล้วย่อมเป็นการรบกวนเซียวเยี่ยนไม่มากก็น้อย ยามนี้มิใช่เวลาที่นางจะมาทะเลาะเบาะแว้งกับหลินชิงเวยที่นี่ หากทำให้เป็นเรื่องใหญ่แล้วแพร่ออกไปจะกลายเป็นเรื่องตลกขบขันของผู้อื่น นางจึงพูดว่า “ยามนี้ไม่เช้าแล้ว เปิ่นกงไม่รบกวนเซ่อเจิ้งอ๋อง” ไทเฮาเหลือบมองหลินชิงเวยด้วยสายตาเย็นชา “หลินเจาอี๋ ไม่ได้ยินที่เซ่อเจิ้งอ๋องพูดหรือไร เขายังมีราชกิจอีกมากที่ยังไม่ได้สะสาง เจ้าวางสิ่งของลงแล้วตามเปิ่นกงออกไปเถิด”
หลินชิงเวยเอียงหน้าพูดกลั้วหัวเราะ “ขออภัยเพคะไทเฮา ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้หม่อมฉันมาส่งอาหารมื้อดึก หม่อมฉันย่อมต้องอยู่ให้เห็นกับตาว่าเซ่อเจิ้งอ๋องเสวยสักคำสองคำจึงจะกลับไปทูลฝ่าบาทได้ ไทเฮาจะกลับก็เชิญเสด็จกลับก่อนเถิด หากออกไปช้านัก สุนัขรับใช้สูงอายุสองตัวนั้นอาจต้องถูกตีจนสิ้นลมไปแล้วก็เป็นได้เพคะ”
ไทเฮาได้กล่าววาจาออกไปแล้วหากยังรั้งอยู่ต่อไม่ยอมจากไปย่อมดูไม่เหมาะสม ไม่ว่าในใจจะรู้สึกเคียดแค้นชิงชังอย่างไร นางใช้สายตามองกราดหลินชิงเวยแล้วจึงหันหน้าเดินออกไป
หลังจากไทเฮาออกไปแล้วในห้องทรงพระอักษรจึงเหลือเพียงเซียวเยี่ยนและหลินชิงเวยสองคน หลินชิงเวยคิดว่ากระทั่งบรรยากาศภายในห้องทรงพระอักษรอันกว้างขวางใหญ่โตนี้ก็ทำให้นางหงุดหงิดและโมโหเป็นที่สุด
หลังจากไทเฮาออกไปเซียวเยี่ยนกลับมิได้ทำงานอีก เขาเงยหน้าขึ้นแล้วเอนกายพิงกับพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลายเพื่อเป็นการพินิจพิจารณาหลินชิงเวยไปด้วย
หลินชิงเวยเดินเข้าไปวางกล่องอาหารลงบนโต๊ะดังปึ่ง นางพูดว่า “ดูแล้วต่อให้ข้าไม่นำของกินมาให้ เซ่อเจิ้งอ๋องก็มีชีวิตที่ไม่เลวกระมัง มีรสชาติ ซ้ำยังมีคนรู้จักที่จะส่งของกินมาให้ ไม่ต้องเกรงว่าเซ่อเจิ้งอ๋องจะต้องหิ้วท้องหิว เซ่อเจิ้งอ๋องพูดคุยกับไทเฮาที่นี่ ไม่มีแม้แต่เวลาไปเยี่ยมฝ่าบาทเลยหรือไร เสียแรงที่ฝ่าบาทระลึกถึงเซ่อเจิ้งอ๋องตลอดเวลาจึงให้ข้านำสิ่งของเหล่านี้มาให้ แต่ข้าดูแล้วยามนี้ยังไม่สู้ให้ฝ่าบาทเสวยเองจะดีกว่า วางเอาไว้ให้เซ่อเจิ้งอ๋องก็มิได้หมายความว่าท่านจะเห็นมันอยู่ในสายตา เซ่อเจิ้งอ๋องกินของที่ไทเฮาส่งมาให้เถิด นั่นล้วนเป็นสิ่งของที่ไทเฮาทุ่มเทจิตใจเตรียมมา จะได้ไม่เป็นการเสียน้ำใจของไทเฮา!”
หลินชิงเวยเป็นคนช่างพูดอยู่แล้ว นางจึงพูดจายาวเฟื้อยไม่หยุด เซียวเยี่ยนพบว่าเขาอยากจะพูดแทรกสักประโยคก็ไม่มีโอกาส
เมื่อสักครู่ที่ไทเฮามาเซียวเยี่ยนสะสางงานราชกิจตลอดเวลา ส่งผลให้ไทเฮานั่งอยู่ในห้องทรงพระอักษรเป็นเวลาพักใหญ่ก็ไม่ได้พูดแม้สักประโยค ต่อให้ไทเฮาพูดก็ไม่ได้รับการตอบรับใดๆ จากเซียวเยี่ยน เซียวเยี่ยนไม่ปรารถนาที่จะเปิดโอกาสให้ไทเฮาทำหน้าต่างกระดาษทะลุ และไม่ปรารถนาที่จะสู้รบตบมือกับสตรีเช่นนี้คนหนึ่ง จึงเลือกที่จะเงียบขรึมและยุ่งอยู่กับการสะสางราชกิจเป็นวิธีการรับมือที่ดีที่สุด ทว่าการมาถึงของหลินชิงเวยทำให้วิธีการที่ว่านี้ของเขาถูกตีแตกยับเยิน
กระทั่งหลินชิงเวยพูดจบโดยไม่หอบหายใจ นางเงยหน้าขึ้นเห็นเซียวเยี่ยนเอนกายพิงไปกับพนักเก้าอี้ เขางอแขนข้างหนึ่ง ศอกค้ำลงกับเท้าแขนของเก้าอี้ มือแตะคางมองประเมินหลินชิงเวยขึ้นๆ ลง แววตาในดวงตาเรียวยาวรูปหงส์นั้นราวกับเป็นเปลวไฟที่สะท้อนกับกระจกหลากหลายสีสัน ความเยียบเย็นในนั้นช่างยั่วยวนให้คนหลงใหลราวกับมีเวทมนตร์ รอให้นางกระโดดลงไปโดยไม่คำนึงถึงทุกสิ่งทุกอย่าง สายตาเช่นนั้นราวกับทั้งจริงจังและถือมั่น หัวใจของหลินชิงเวยบีบรัดจึงเอ่ยออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ท่านมิใช่งานยุ่งมากหรือไร มองอะไรเล่า!”
เซียวเยี่ยน “เปิ่นหวางเสร็จงานแล้ว”
หลินชิงเวยตกตะลึงและไม่รู้ว่าจะพูดอันใดต่อไป นางยังคงไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งจึงพูดอีกว่า ดังนั้นท่านยินดีที่จะอยู่ที่นี่กับไทเฮามากกว่าจะไปตำหนักซวี่หยางใช่หรือไม่”
เซียวเยี่ยน “วันนี้เป็นเรื่องบังเอิญ ทำงานเสร็จเร็วกว่าทุกวันเล็กน้อย” เซียวเยี่ยนตบลงไปบนกองฎีกาเหล่านั้น “ไทเฮาเสด็จมา เปิ่นหวางไม่อาจไม่ตั้งใจทำงานสักหน่อย”
หลินชิงเวย “ความหมายของท่านก็คือ ต่อไปหากไทเฮาเสด็จมาทุกวันจึงจะดีใช่หรือไม่?”
เซียวเยี่ยนพูดกับนางเสียงต่ำ “อย่าก่อความวุ่นวายอย่างไร้เหตุผล” ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้หมายความเช่นนั้น เป็นเพราะไทเฮาเสด็จมาแล้วเขาไม่อยากสนใจไทเฮาจึงต้องจดจ่อสมาธิอยู่กับราชการแผ่นดิน แต่หลินชิงเวยในยามนี้กำลังอารมณ์ไม่ดี ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไรหลินชิงเวยมักจะมีเหตุผลข้างๆ คูๆ อยู่เสมอ
หลินชิงเวยโมโหจนต้องหัวเราะออกมา “ข้าย่อมต้องหาเรื่องหาราวโดยไม่มีเหตุผล อีกทั้งยังพูดจาเสียมารยาทเช่นนั้นกับไทเฮา ดูแล้วการที่ข้าส่งของกินมาให้เซ่อเจิ้งอ๋องที่นี่เป็นการทำให้เซ่อเจิ้งอ๋องอึดอัดใจกระมัง ข้าไม่ขออยู่ให้รกสายตาเซ่อเจิ้งอ๋องแล้ว ขอตัวก่อน!” พูดแล้วก็หันกายจะเดินกลับไป
เซียวเยี่ยนไม่ได้ขัดขวางและไม่ได้รั้งนางเอาไว้ เพียงแต่มองนางเดินออกไปเงียบๆ สักครู่จึงเอ่ยขึ้นว่า “เซียวฉี”
ไม่รู้ว่าเสี่ยวฉีออกมาจากสถานที่แห่งใด “ขอรับท่านอ๋อง”
เซียวเยี่ยนสั่งการเนิบๆ “ไปสะกดรอยตามหลินเจาอี๋ รับผิดชอบส่งนางกลับไปถึงตำหนักฉางเหยี่ยนอย่างปลอดภัย” หลังจากเกิดเรื่องที่หลินชิงเวยถูกลอบสังหารกลางดึกในวังครั้งนั้น เซียวเยี่ยนไม่ไว้วางใจให้หลินชิงเวยเดินอยู่ในวังเพียงลำพังอีกเลย อย่างน้อยต่อให้อยู่ในอาณาบริเวณที่เป็นพื้นที่ของเขา เขาก็ยังไม่อนุญาต อีกทั้งเขาเป็นกังวลว่าไทเฮาจะดักรออยู่กลางทางเพื่อสร้างความลำบากให้กับนาง
“พ่ะย่ะค่ะ”