ทว่าซินหรูกลับจดจำเรื่องของเซียวจิ่นได้แม่นยำนัก “พี่สาว ท่านไม่ได้ไปดูฝ่าบาทหลายวันเช่นนี้ ไม่สู้ไปเยี่ยมเขาสักหน่อย ดูเหมือนเขาจะถามถึงพี่สาวกับข้าทุกวัน ตรองดูแล้วน่าจะคิดถึงท่านมากเจ้าค่ะ”
หลินชิงเวยมองนางนิ่งๆ “อ่านตำราเจ้าจำไม่ได้ แต่เรื่องอื่นเจ้ากลับจำได้ขึ้นใจ”
ซินหรูแลบลิ้นหัวเราะฮิๆ “ใครใช้ฝ่าบาทพูดถึงแต่ท่านให้ข้าฟังตลอดล่ะเจ้าคะ”
ยามสายฝนตกหนักระลอกหนึ่งผ่านเข้ามา เมฆดำลอยตัวหนาแน่นอยู่กลางท้องฟ้า เสียงลมพัดหวีดหวิวราวกับสวรรค์ยังทนไม่ไหวกับสภาพอากาศที่ร้อนระอุเช่นนี้ ด้วยสภาพอากาศร้อนมาเป็นเวลายาวนาน ละอองน้ำที่รวมตัวกันอยู่ในชั้นบรรยากาศไม่อาจประคองตัวได้อีกต่อไป น้ำฝนทั้งหมดจึงพากันเทลงมา สายฝนไหลลงมาตามชายคาเรือน เสียงน้ำไหลดังซู่ซ่า สายลมพัดมาทำให้กระแสน้ำเฉียงไปด้วย บรรยากาศของความชุ่มชื้นครอบคลุมทั้งระเบียงทางเดิน ส่งผลให้กระโปรงของหลินชิงเวยเปียกชื้น
ยามนั้นซินหรูลิงโลดใจและชิงชังยิ่งนักด้วยมิอาจออกไปเล่นน้ำฝนได้
ความร้อนที่ครอบคลุมลงมาในหลายวันนี้ถูกสายฝนในครั้งนี้ชะล้างออกไปไม่น้อยเลยทีเดียว
สายฝนมาอย่างรวดเร็วและไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน เมื่อฝนหยุดลง ดวงตะวันก็ปรากฏตัวออกมาพร้อมเมฆที่เคลื่อนคล้อย แสงตะวันสาดส่องลงบนกลิ่นอายของน้ำ ทำให้เกิดเป็นสายรุ้งเจ็ดสีกลางท้องนภาที่ส่องสว่างไปทั่ว
เมื่อถึงยามเที่ยงวันหยดน้ำบนพื้นล้วนถูกแสงตะวันอาบไล้จนแห้งเหือด
หลินชิงเวยฟังคำพูดของซินหรูแล้วฉุกคิดได้ว่าตนไม่ได้ไปเยือนตำหนักซวี่หยางเป็นเวลาหลายวันแล้วเช่นกัน ดังนั้นนางจึงคิดจะไปตำหนักซวี่หยางในยามบ่าย ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือนางต้องเข้าไปตรวจดูอาการขาทั้งคู่ของเซียวจิ่นด้วย
เงาร่างของนางเดินผ่านเงาร่มของต้นไม้ ท่ามกลางแสงแดดที่ส่องลอดเข้ามาทอดลงมาบนร่างของนางเป็นพักๆ ราวกับเป็นภาพวาดภาพหนึ่ง
เซียวจิ่นเห็นนางมาจึงยินดียิ่งยวด ยามนั้นหลินชิงเวยกำลังตรวจดูขาทั้งคู่ของเขา ปลายนิ้วของนางเคาะลงบนไม้กระดานที่ประกบขาทั้งสองพร้อมถามว่า “ยามนี้ยังรู้สึกเจ็บเป็นพักๆ หรือไม่เพคะ?”
เซียวจิ่น “ไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกแล้ว แต่ยามราตรีเจิ้นแทบจะทนไม่ได้ที่จะยืดขาทั้งคู่ให้ตรง เวลานั้นจึงจะรู้สึกปวดเล็กน้อย” ขณะที่เขาพูดเช่นนี้ บนใบหน้าปรากฏให้เห็นแววตาตื่นเต้นบางๆ เขารู้ว่าเขาห่างจากการยืนขึ้นด้วยตนเองไม่ไกล เวลานี้ได้ก้าวหน้ามาไกลแล้ว เมื่อก่อนเขาไม่เคยมีความรู้สึกอยากจะยืดขาเช่นนี้มาก่อน ราวกับมันอยู่สงบนิ่งเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดก็สามารถยืดเส้นยืดสายบิดขี้เกียจได้แล้ว
หลินชิงเวย “อดทนพักฟื้นเถิดเพคะ รอให้ฟื้นฟูร่างกายดีแล้ว พระองค์คิดจะยืดขาอย่างไรก็ยืดตามพระทัยเพคะ”
ผ่านไปอีกครู่หนึ่งเซียวจิ่นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเบา ทว่าเปี่ยมไปด้วยความจริงใจว่า “ชิงเวย ขอบคุณเจ้า” ไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตเขาหลายครั้ง ยังรักษาขาทั้งคู่ของเขาอีก หากไม่มีหลินชิงเวย ชาตินี้เขาคงไม่อาจยืนขึ้นมาได้อีกแล้ว มีคำพูดนับพันนับหมื่น ทว่าเซียวจิ่นไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหนดี ในที่สุดจึงกลั่นออกมาเป็นคำขอบคุณอย่างจริงใจเพียงประโยคเดียว
หลินชิงเวยยิ้มบางๆ “ฝ่าบาทไม่ต้องคิดว่าหม่อมฉันเป็นคนดีขนาดนั้น หม่อมฉันไม่ได้เป็นท่านหมอมือฉมังผู้โอบอ้อมอารี ต่อให้ถวายการรักษาแก่ฝ่าบาทก็ต้องได้รับสิ่งตอบแทนเช่นกันเพคะ”
เซียวจิ่นเพียงแต่พูดด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “เจ้าต้องการสิ่งใดเป็นสิ่งตอบแทนก็พูดออกมาเถิด ขอเพียงเจิ้นทำได้ เจิ้นย่อมรับปากเจ้าทุกอย่าง”
หลินชิงเวยกะพริบตาปริบๆ “สิ่งตอบแทนที่หม่อมฉันต้องการ ฝ่าบาทมิใช่ได้รับปากไปแล้วหรือเพคะ อีกทั้งเวลานี้ฝ่าบาทได้รับผลสำเร็จแล้ว อย่างน้อยก็มีฝ่าบาทเป็นที่พึ่งพิงไม่ใช่หรือเพคะ”
ดวงตาของเซียวจิ่นเปล่งประกายวิบวับ “ต่อไปหากมีคนรังแกข่มเหงเจ้า หรือเจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรม เจิ้นไม่มีวันนิ่งดูดาย”
หลินชิงเวยพูดด้วยท่าทีมั่นอกมั่นใจ “ยังไม่มีผู้ใดทำให้หม่อมฉันไม่ได้รับความเป็นธรรมได้เพคะ”
เซียวจิ่นหยุดชะงักไปครู่หนึ่งจึงพูดว่า “ได้ยินว่าคืนนั้นเจ้าไปส่งอาหารว่างมื้อดึกให้เสด็จอาที่ห้องทรงพระอักษร พบกับไทเฮาเช่นนั้นหรือ?”
หลินชิงเวยเลิกคิ้ว “ใช่แล้วเพคะ หม่อมฉันไปทำลายเรื่องดีๆ ของนางและเซ่อเจิ้งอ๋อง คาดว่ายามนี้นางคงจะเกลียดหม่อมฉันจนปวดฟันแล้วกระมัง” หลินชิงเวยพูดแล้วมองหน้าเซียวจิ่น นางพูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “หม่อมฉันพูดถึงไทเฮาเช่นนี้ ฝ่าบาทจะเกลียดชังหม่อมฉันหรือไม่เพคะ”
เซียวจิ่นครุ่นคิดแล้วพูดตรงๆ “เจิ้นคิดว่าเจ้ารู้แล้วเช่นกันว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจิ้นและไทเฮาไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”
หลินชิงเวยพูดยิ้มๆ “เช่นนั้นหม่อมฉันก็วางใจแล้วเพคะ”
เซียวจิ่นถามเสียงเบาอีกว่า “เจ้ายังโกรธเสด็จอาอยู่อีกใช่หรือไม่”
“หืม? หม่อมฉันโกรธด้วยหรือเพคะ” หลินชิงเวยพูดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เซียวจิ่นยิ้มแล้วมองนางด้วยสายตาอบอุ่นอ่อนโยน “หากเจ้าไม่ได้โกรธเขา ไฉนเจ้าจึงเรียกเขาว่าเซ่อเจิ้งอ๋อง ยามปกติเจ้าล้วนเรียกเขาว่าเสด็จอาตามเจิ้น” หลินชิงเวยตกตะลึง ตัวนางเองไม่ได้สังเกตถึงรายละเอียดปลีกย่อยนี้ เซียวจิ่นพูดอีกว่า “เพียงแต่หากไทเฮาและเสด็จอามีอะไรกันจริงๆ อย่าว่าแต่เจ้า แม้ตัวเจิ้นเองก็รู้สึกโมโหเช่นกัน พวกเจ้าล้วนคิดว่าเจิ้นยังคงเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง ไม่รู้เรื่องเหล่านี้ ที่จริงแล้วเจิ้นดูออกตั้งนานแล้วเพียงแต่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้น”
หลินชิงเวยขมวดคิ้ว “พระองค์รู้ว่าไทเฮามี…ต่อเซ่อเจิ้งอ๋อง”
เซียวจิ่นพูด “นางชื่นชอบเสด็จอามาโดยตลอด เมื่อครั้งเสด็จพ่อของข้ายังมีชีวิตอยู่ นางไม่กล้าแสดงออกมากนัก เสด็จพ่อไม่อยู่แล้ว นางจึงแสดงออกถึงเจตนาอย่างเปิดเผย” หลินชิงเวยตื่นตะลึง เซียวจิ่นมองนางแล้วพูดอย่างอบอุ่นว่า “เจิ้นยังรู้ว่านางไม่ยินดีที่เห็นเจิ้นนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ ดังนั้นนางจึงเกลียดชังเจ้าถึงเพียงนี้ ทางหนึ่งคือสาเหตุมาจากเสด็จอา อีกทางหนึ่งเป็นเพราะเจ้าทำให้เจิ้นค่อยๆ ดีขึ้น เจิ้นคิดว่านางปรารถนาให้เสด็จอามานั่งในตำแหน่งนี้แทนเจิ้นเป็นอย่างมาก”
หัวข้อสนทนานี้อันตรายเกินไป ดังนั้นหลินชิงเวยจึงได้แต่พูดไปตามน้ำว่า “แต่ฝ่าบาททราบดีว่าเซ่อเจิ้งอ๋องตรากตรำทำงานหนักแทนพระองค์มาโดยตลอด ทั้งไม่ได้มีความทะเยอทะยานในจิตใจ เขาไม่มีทางทำเช่นนั้นเพคะ”
เซียวจิ่นมองหลินชิงเวยแน่วนิ่ง จากนั้นยังหยักยิ้มพูดว่า “เจิ้นทราบดี หากเขาคิดจะมาแทนที่เจิ้น เขาสามารถเข้ามาแทนที่ได้โดยไม่ต้องเปลืองแรงด้วยซ้ำ เสด็จอาและเสด็จพ่อของข้าเป็นพี่น้องร่วมอุทร เขาเคยรับปากและสัญญากับเสด็จพ่อของข้า ชิงเวย เจ้าไม่ต้องตื่นตระหนกเกินไป”
หลินชิงเวยพรูลมหายใจโล่งอก กลอกตาขาวปะหลับปะเหลือกใส่เขาครั้งหนึ่ง “หม่อมฉันเพียงแต่ไม่ปรารถนาที่จะเห็นพระองค์สองอาหลานต้องกลายเป็นศัตรูต่อกันเพคะ”
ปลายนิ้วของเซียวจิ่นลูบไล้ไปตามผ้าห่มแพรบางๆ พูดเสียงอ่อนโยนว่า “หวังว่าคงจะไม่มีวันนั้นกระมัง” เพื่อไม่ให้หลินชิงเวยคิดมาก ต่อมาเซียวจิ่นจึงเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาไปที่ตัวไทเฮา เขาพูดอีกว่า “ไทเฮาก็คือไทเฮา ไม่ว่านางจะพยายามเพียงใดก็ไม่อาจอยู่ร่วมกับเสด็จอาได้ นอกเสียจากเจิ้นไม่อยู่แล้ว แต่เสด็จอาไหนเลยจะเห็นนางอยู่ในสายตาได้ ตลอดมาจึงได้แต่ให้ความเคารพต่อนางสองส่วน ด้วยนางมีสถานะเป็นไทเฮาเท่านั้นเอง แม้แต่ตัวเจิ้นเองก็ไม่อาจไม่เคารพนางสองส่วน” หยุดไปชั่วครู่เขาพูดอีกว่า “ครั้งนั้นเจิ้นได้ยินว่าเมื่อครั้งไทเฮายังสาวมิได้ออกเรือน นางมีใจปฏิพัทธ์ต่อเสด็จอามาโดยตลอด น่าเสียดายที่เสด็จอาไม่แยแสนาง เพื่อให้เสด็จอาหันมามองนางบ้าง นางจึงแต่งให้เสด็จพ่อของข้า มาเป็นไทเฮาในวันนี้ ต่อให้เป็นความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวของนาง ครั้งนั้นนางไม่สมปรารถนา บัดนี้ยิ่งไม่อาจสมปรารถนาได้” เขามองหลินชิงเวย “ดังนั้นชิงเวย เจ้าเข้าใจเสด็จอาผิดหรือไม่”
หลินชิงเวยแจ่มแจ้ง นางรู้สึกว่าเจ้าเด็กน้อยคนนี้กำลังทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยโดยนำความลับภายในวังมาซื้อใจนาง
หากพูดว่าคืนนั้นเห็นไทเฮาและเซียวเยี่ยนอยู่ด้วยกัน หลินชิงเวยโกรธมาก แต่เมื่อผ่านมาหลายวัน นางไม่ใช่กระโถนท้องพระโรงสักหน่อย เรื่องอะไรยังต้องโมโหตัวเองด้วย นางหายโมโหตั้งนานแล้วนะ