เขาไม่ขยับจริงๆ นิ้วมือของหลินชิงเวยค่อยๆ คืบคลานขึ้นไปบนใบหน้าของเขาเพื่อลูบคลำโครงหน้า รูปหน้าของเขาเย็นชาเสมือนสีหน้าของเขาอย่างไรอย่างนั้น คิ้วนั้นเรียวยาวอย่างยิ่ง สันจมูกสูงโด่ง สันจมูกของเขายุบลงไปเล็กน้อยแล้วสูงขึ้นอีก ขึ้นรูปชัดเจน ปลายนิ้วของนางหยุดอยู่บนริมฝีปากของเขาในที่สุด ลมหายใจบางเบา อุณหภูมิบนริมฝีปากนั้นอบอุ่นและชุ่มชื้น
นางยินดีเหลือเกินที่เขามาทันเวลา ความรู้สึกของมนุษย์เราย่อมต้องสั่งสมผ่านเวลาอันยาวนานจึงจะตกผลึกในหัวใจ เมื่อถึงเวลาสำคัญก็จะระเบิดออกมาเอง ไม่ว่าพวกเขาจะปิดบังอำพรางไว้อย่างดีแล้วก็ตาม ทว่ายังคงเห็นร่องรอยของความอ่อนโยนเล็กๆ น้อยๆ และนางไม่คิดจะปิดบัง
หลินชิงเวยพยายามที่จะใกล้ชิดขึ้นอีกเล็กน้อย นางพูดยิ้มๆ ว่า “ท่านกอดแน่นอีกหน่อยได้หรือไม่ ในป่าค่อนข้างหนาว” หน้าผากของนางแตะอยู่กับคางของเขาและพูดเสียงต่ำ “หากว่าต่อไปท่านไม่เห็นข้าอีกแล้ว ท่านจะเป็นทุกข์หรือไม่”
เซียวเยี่ยนเงียบงันราวกับเป็นมนุษย์ท่อนไม้
ริมฝีปากของหลินชิงเวยหยักยิ้ม หากมองเห็นย่อมเป็นความอ่อนโยนอย่างที่สุด นางไม่เคยจินตนาการว่าตนเองจะมีด้านที่อ่อนโยนเช่นนี้เช่นกัน
“หืม จะเป็นทุกข์หรือไม่?”
ฝ่ามือใหญ่ที่แตะอยู่บริเวณบั้นเอวกระชับแน่นขึ้นโดยปราศจากวาจา ราวกับการกระทำเป็นคำตอบที่บอกกับนาง
หลินชิงเวยก้มหน้าคลี่ยิ้มบางๆ และถามว่า “เซียวเยี่ยน เมื่อสักครู่ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามข้า หากข้าถูกเสือตัวนั้นกินไปแล้ว ท่านจะทำอย่างไร?”
เนิ่นนาน เสียงทุ้มต่ำของเซียวเยี่ยนจึงดังออกจากลำคอ “ให้นางไม่เหลือแม้แต่ศพและกระดูก”
หลินชิงเวยไม่รู้ว่าคำว่านางที่เขาเอ่ยถึงคือมัน แต่นางพึงพอใจกับคำตอบนี้ยิ่งนัก แขนของนางโอบไปรอบคอของเซียวเยี่ยนแล้วค่อยๆ แนบร่างของตนลงไป รับรู้ได้ถึงลมหายใจและริมฝีปากอันอบอุ่นของเขา
หลินชิงเวยรับรู้ได้ว่าขอเพียงนางเข้าใกล้ไปอีกนิด มือที่อยู่บนช่วงเอวของนางก็จะผลักไสนางออกไป
ปลายนิ้วของหลินชิงเวยสัมผัสลงบนลูกกระเดือกที่ขยับขึ้นลงของเซียวเยี่ยนเบาๆ พร้อมกับพูดเสียงเบาข้างหูเขาว่า “ข้ารู้ว่าท่านเป็นคนมีเหตุผลคนหนึ่ง ข้ารู้ดี ดังนั้นท่านไม่ต้องตอบข้า ขอเพียงท่านกอดข้าเอาไว้โดยไม่ต้องขยับก็พอ หลังจากออกไปจากที่นี่แล้วพวกเราก็ทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น…ได้หรือไม่?”
เซียวเยี่ยนพูดเสียงต่ำ “ในเมื่อเจ้าก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องไม่สมควร ไยต้องหลอกตัวเอง…”
นางไม่เคยหลอกตัวเองมาก่อน
นางเพียงแต่ชอบคนคนหนึ่ง จากนั้นก็ไม่อาจถอนตัวได้อีกเลย
หลินชิงเวยไม่ยอมให้เซียวเยี่ยนพูดต่อ เพราะนางประกบปิดริมฝีปากของเซียวเยี่ยน กลิ่นหอมจรุงของสาวน้อยกำจายออกมาส่งผลให้เซียวเยี่ยนสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมตนเอง
ลมหายใจของพวกเขาพัวพันกัน เสียดสีกันแปรเปลี่ยนเป็นความอบอุ่นอันร้อนระอุ
หลินชิงเวยเพียงแต่จุมพิตเขา บดเบียดริมฝีปากของเขาเบาๆ ปลายลิ้นเล็กนั้นกวาดผ่านไรฟัน ปลายนิ้วประคองใบหน้าของเขา ใช้ความรู้สึกไปสัมผัสเขา
นางอ่อนโยนเหลือเกิน อ่อนโยนเสียจนเพียงแค่แตะต้องก็บุบสลายได้ ภายใต้ความอ่อนโยนเช่นนี้สติและความมีเหตุผลของเซียวเยี่ยนกำลังจะถูกทำลายประดุจกำแพงเมืองที่ยุบตัวลง สติของเขาค่อยๆ หลุดลอย ยากที่จะจินตนาการว่าเซ่อเจิ้งอ๋องผู้ ซึ่งมีพลังจิตเข้มแข็งแน่วแน่ ถึงกับพ่ายแพ้ให้กับความอ่อนโยนของนาง
ในที่สุดเขาก็ขยับริมฝีปาก ฝ่ามือของเขาประคองท้ายทอยของหลินชิงเวยแล้วตอบสนองจุมพิตของนางอย่างอ่อนโยน
นี่เป็นจุมพิตที่งดงามที่สุดในชีวิตของหลินชิงเวยก็ว่าได้ จุมพิตจนกระทั่งนางแทบจะหมดลมหายใจก็หักใจไม่ได้ที่จะปล่อยไป
กระทั่งผ่านไปเนิ่นนาน ภายในป่าหนาแน่นที่แสงสว่างของดวงดาวส่องผ่านมาไม่ถึง คนทั้งสองตระกองกอดกันหอบหายใจไม่หยุดพักใหญ่
เซียวเยี่ยนลุกขึ้นแล้วอุ้มหลินชิงเวยเดินออกจากป่าแห่งนี้ หลังจากออกมาบนถนนเส้นตรงนี้มืดเสียจนน่าหวาดหวั่น การเข่นฆ่าของผู้อ่อนแอและผู้ที่เข้มแข็งทิ้งร่องรอยเลือดบนพื้น ไม่เห็นฝูงงูและงูที่ถูกเสือเหยียบย่ำจนขาดท่อนก็ไม่เห็นเช่นกัน
เซียวเยี่ยนคิดจะพาหลินชิงเวยกลับไป หลินชิงเวยพูดขึ้นว่า “ล่วมยาของข้ายังอยู่ข้างใน”
ดังนั้นเซียวเยี่ยนจึงได้แต่อุ้มนางเข้าไปในสวนไป่โซ่วอีกครั้ง ทันทีก้าวเข้าประตูเซียวเยี่ยนก็เห็นรอยเลือดสีดำคล้ำบนพื้น ยามนี้หยดเลือดที่อยู่บนพื้นหินได้แห้งกรังแล้ว ด้านข้างยังมีเศษผ้าขาดหลุดลุ่ยติดอยู่เล็กน้อย น่าจะเป็นเสื้อผ้าของคนที่ถูกกินเป็นอาหารสวมใส่มา
เซียวเยี่ยนเดินผ่านรอยเลือดนั้นไปอย่างช้าๆ เขาเหยียบลงบนสิ่งของสิ่งหนึ่ง เมื่อก้มหน้ามองไปจึงเห็นว่าเป็นกุญแจพวงหนึ่ง
เขาไม่ประหลาดใจเพียงแต่เดินข้ามกุญแจนั้นไป หลินชิงเวยไม่ได้เอ่ยอะไร ทว่าในใจกลับแจ่มแจ้งราวกับกระจกบานหนึ่ง เสือที่พบในวันนี้มีคนปล่อยมันออกมา ยามนั้นในสวนไป่โซ่วมีนางเพียงคนเดียว เป้าหมายชัดเจนยิ่งนักว่าคนผู้นั้นต้องการให้นางตาย
ตรองดูแล้วมีคนใหม่มากมายในตำหนักในล้วนไม่รู้ว่ายังมีสถานที่เช่นสวนไป่โซ่ว ผู้ที่รู้ล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ในวัง อีกทั้งยังมีกุญแจพวงหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าเป็นคนที่มีอำนาจบารมีสูงศักดิ์คนหนึ่ง และมองไปทั้งตำหนักในแล้ว ยังจะมีคนที่สองที่หลินชิงเวยเคยได้ล่วงเกินแล้วหรือไม่
ขณะที่เห็นกุญแจนั้นหลินชิงเวยก็กระจ่างแจ้งโดยพลัน นางไม่คิดว่าเซียวเยี่ยนจะเบาปัญญาจนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
หลินชิงเวยยังคงเลือกที่จะไม่ถามอะไรทั้งสิ้น
เซียวเยี่ยนอุ้มหลินชิงเวยไปถึงสนามหญ้าบ้านนก ยามนี้เหล่านกพิราบล้วนบินกลับมาแล้ว พวกมันเกาะอยู่บนกิ่งไม้และบ้านนกอย่างสงบ ยังมีพิราบอีกสองตัวหยุดอยู่ข้างๆ ล่วมยาของหลินชิงเวย
เมื่อเห็นหลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนกลับมา นกพิราบจึงส่งเสียงร้องดัง กรู๊ๆๆ ราวกับกำลังต้อนรับพวกเขา และเหมือนถามพวกเขาว่ามีอาหารให้กินหรือไม่
หลินชิงเวยนั่งลงใต้ต้นไม้ ไม่รู้ว่าเซียวเยี่ยนไปที่ใดมาจึงหาโคมไฟเก่ามาได้ไม่น้อย ในโคมไฟนั้นยังมีเทียนไขที่เหลืออยู่ เขาหยิบเทียนไขที่เหลือนั้นกลับมา หลินชิงเวยเห็นเขาจุดเทียนไขทีละเล่มๆ จึงอดถามไม่ได้ว่า “ท่านหาไฟมาจากที่ใดกัน?”
เซียวเยี่ยนพูดเรียบๆ “เมื่อยามบ่ายที่ข้ามา ข้านำมาด้วย” เขาคิดว่าฟ้ามืดแล้วย่อมต้องได้ใช้เป็นแน่ และก็ได้ใช้จริงๆ
บนสนามหญ้ามีเทียนไขที่จุดสว่างแล้วมากมายในชั่วพริบตา ทำให้สนามหญ้าแห่งนี้ถูกส่องสว่างมลังเมลือง หลินชิงเวยมองเขาที่อยู่ท่ามกลางเสียงของเทียนไข ดูเหมือนต่างจากปกติเล็กน้อย ดูแล้วเป็นตัวของตัวเองและสนิทชิดเชื้อขึ้นเล็กน้อย
เขานั่งลงตรงข้ามหลินชิงเวย น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนลงไม่น้อย “ยกแขนขึ้นมาให้ข้าดูหน่อย” ทางหนึ่งเขาพูดขึ้น อีกทางหนึ่งเปิดล่วมยาของนางอย่างคุ้นเคย
บาดแผลถูกข่วนบนแขนของหลินชิงเวยไม่ได้สาหัสมากนัก แต่ย่อมไม่อาจมองข้ามได้โดยเด็ดขาด อาภรณ์ของนางถูกข่วน กระโปรงสีเขียวอ่อนของนางถูกเลือดสดๆ ย้อมไปทั่ว รอยเลือดบนกระโปรงทำให้คิ้วทั้งคู่ของเซียวเยี่ยนขมวดแน่น เขาคิดจะใช้กรรไกรตัดแขนเสื้อของหลินชิงเวย หลินชิงเวยจึงพูดขึ้นว่า “หัวไหล่และแผ่นหลังของข้ายังมีบาดแผลอีกหลายแห่ง ไม่ต้องใช้กรรไกรตัดแขนเสื้อ ปลดอาภรณ์ชั้นนอกออกเถิด”
พูดแล้วก็ไม่รอให้เซียวเยี่ยนตอบ หลินชิงเวยยกมือขึ้นปลดอาภรณ์ชั้นนอก อาภรณ์ชั้นนอกของฤดูคิมหันต์เนื้อบางอย่างยิ่งยวด ราวกับเกือบจะบางใส ด้านในนางสวมกระโปรงเกาะอก เมื่ออาภรณ์ชั้นนอกเปิดออก หลินชิงเวยจึงดึงมันลงไปทางด้านข้าง ปรากฏให้เห็นกระดูกไหปลาร้างดงามบนเสื้อชั้นในและหัวไหล่ทั้งคู่ บนไหล่นั้นมีบาดแผลจริงๆ ผิวขาวเนียนของหัวไหล่เดิมทีขาวราวกับจะคั้นน้ำได้นั้นทั้งบวมเป่งและแดงเถือก ผิวของนางถลอก แขนของหลินชิงเวยมีเลือดไหลออกมาอีก มือทั้งคู่จึงไม่ถนัดนัก อาภรณ์ชั้นนอกที่เปิดเพียงครึ่งๆ กลางๆ นั้นรั้งติดอยู่บนหัวไหล่ของนาง ทำให้นางไม่อาจปลดต่อไปได้ ได้แต่มองเซียวเยี่ยนและพูดว่า “ยังจะตะลึงอะไรกันอยู่เล่า ยังไม่ช่วยข้าอีก”
“…” เซียวเยี่ยนยื่นมือออกมาปลดอาภรณ์บนหัวไหล่ของนางออก ท้องนิ้วเป็นไตแข็งๆเล็กน้อยนั้นสัมผัสกับผิวของนาง ทำให้รู้สึกคันยุบยิบอยู่บ้าง