หลินชิงเวยตะลึงงัน “ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ล้วนเพื่อเป็นการปูทางให้กับฝ่าบาททั้งสิ้นเพคะ เสด็จอามิใช่คำนึงถึงพระองค์เสมอมิใช่หรือเพคะ หากมีคนเจตนาเยินยอชื่อเสียงของเสด็จอาข้างนอกวัง เพื่อทำลายความสัมพันธ์ระหว่างฝ่าบาทและเสด็จอา ย่อมเป็นโอกาสให้คนที่มีใจคิดคดเข้ามาแทรกได้เพคะ”
เซียวจิ่น “มีคนส่วนหนึ่งในราชสำนักหวั่นเกรงว่าต่อไปเสด็จอาจะไม่ยินยอมคืนอำนาจให้กับเจิ้น ยังมีคนอีกส่วนหนึ่งเกรงกลัวว่าเสด็จอาจะมีศักดิ์ฐานะและอำนาจมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนอีกส่วนหนึ่งปรารถนาให้ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรไม่ใช่เจิ้น พวกเขาปรารถนาให้ความสัมพันธ์ระหว่างเจิ้นและเสด็จอาแตกหัก มีเพียงเจ้าแล้วชิงเวยที่ปรารถนาให้พวกเราดีต่อกัน” เซียวจิ่นพยักหน้า “เจิ้นเข้าใจ เรื่องเหล่านี้เจิ้นล้วนเข้าใจทั้งสิ้น” ความรู้สึกโดดเดี่ยวบนใบหน้าของเขากดลึกขึ้น เขายิ้มบางๆ ให้หลินชิงเวยและพูดอีกว่า “ชิงเวย เจ้าวางใจเถิด เจิ้นได้สั่งให้คนเตรียมอาหารมื้อค่ำให้เสด็จอาแล้ว รอให้เจ้ากินเสร็จแล้วก็ส่งไปให้เขา เสด็จอาช่วยเหลือเจิ้นมากมายถึงเพียงนั้น เจิ้นย่อมทนไม่ได้ที่จะเห็นเขาต้องหิ้วท้องหิวหรอก”
หลินชิงเวยเริ่มขยับตะเกียบคีบกับข้าวให้เซียวจิ่น ตนเองกินไปพร้อมกับพูดกับเซียวจิ่นด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “หรือฝ่าบาทแจ่มแจ้งดีว่าหม่อมฉันเป็นเจาอี๋คนหนึ่งของฝ่าบาท ไปอยู่ข้างกายเซ่อเจิ้งอ๋องมากนักเป็นเรื่องไม่ค่อยเหมาะสม”
“ใช่แล้ว เจิ้นแจ่มแจ้งดี”
หลินชิงเวยพักตะเกียบ ถามเสียงเบา “เช่นนั้นเหตุใดพระองค์ยังคงทำเช่นนี้”
กระทั่งอาหารค่ำสิ้นสุด เซียวจิ่นเช็ดมุมปาก จึงพูดขึ้นอย่างขื่นขม “แต่เจิ้นรู้ดีว่าชิงเวยชมชอบเขามิใช่หรือ”
หลินชิงเวยประคองเซียวจิ่นกลับไปที่เตียงโดยไม่พูดจา ดวงตาทั้งคู่ก้มต่ำ สีหน้าบนใบหน้าค่อนข้างตึงเครียด นางดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมบนขาทั้งสองข้างของเซียวจิ่นเบาๆ เมื่อดึงขึ้นมาถึงใต้รักแร้ของเขาจึงพูดขึ้นว่า “ต้องระมัดระวังอย่างยิ่งในช่วงกลางคืน ยามนี้ไม่ใช่ฤดูคิมหันต์แล้ว แต่ยังคงหนาวอยู่บ้าง อย่าให้ขาทั้งคู่ต้องความเย็นนะเพคะ” พูดแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองดวงตาเซียวจิ่น นางหยักยิ้มมุมปากด้วยใบหน้างดงามเปี่ยมเสน่ห์ ราวกับตำหนักบรรทมทั้งตำหนักสว่างไสวขึ้นพร้อมๆ กับรอยยิ้มบนริมฝีปากของนาง นางไม่ได้หลบหลีกและไม่ได้ถอยร่น นางพูดกับเขาอย่างเปิดอก “หรือหม่อมฉันไม่ควรปิดบังพระองค์ แต่สิ่งที่พระองค์ตรัสเป็นความจริง ถูกต้องแล้วเพคะ หม่อมฉันชมชอบเขา ชมชอบเขาตั้งแต่แรกเพคะ”
แววตาของเซียวจิ่นหม่นมัว ไม่มองหลินชิงเวยอีก
หลินชิงเวยหยุดชะงักแล้วพูดอีกว่า “หรือด้วยฐานะของหม่อมฉันในเวลานี้ ไม่เหมาะสมที่จะชมชอบเขา แต่ฝ่าบาททราบดีว่าหม่อมฉันไม่ใช่สตรีของฝ่าบาท และไม่ได้ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในสถานที่แห่งนี้ หากความชมชอบของหม่อมฉันที่มีต่อเขา ทำให้กฎเกณฑ์ที่นี่เสื่อมเสีย ฝ่าบาทต้องการลงทัณฑ์หม่อมฉัน หม่อมฉันก็ยินดียอมรับเพคะ”
เซียวจิ่นยิ้มขื่น “ชิงเวย เจ้าพูดว่าเจ้าชมชอบผู้อื่นต่อหน้าเจิ้น เจ้าไม่กลัวว่าเจิ้นจะปวดใจหรือไร”
หลินชิงเวย “หม่อมฉันยินดีจะเชื่อว่าฝ่าบาทไม่ใช่เด็กน้อยคนหนึ่งแล้ว ฝ่าบาทมีความคิดละเอียดอ่อน พบว่าไทเฮาชมชอบเสด็จอา ช้าเร็วย่อมต้องพบว่าหม่อมฉันชมชอบเสด็จอาเช่นกันไม่ใช่หรือเพคะ อีกทั้งฝ่าบาททรงค้นพบเรื่องนี้นานแล้ว”
“เจิ้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจิ้นรู้ตั้งแต่เมื่อใด อาจจะตั้งแต่เสด็จอาต้องพิษหนอนกู่ครั้งนั้น เจ้าช่วยเหลือเขาโดยไม่คำนึงถึงตนเอง เมื่อเจ้าเรียกชื่อของเขา น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความปวดใจ หรือเป็นเพราะเสด็จต้องการสังหารเจิ้นโดยไม่คำนึงสิ่งใด ทว่ากลับฝืนกำลังของตนอย่างที่สุดก็ไม่ยินยอมที่จะทำร้ายเจ้า เจิ้นรับรู้ได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนไปอย่างเงียบเชียบ หรืออาจเป็นเพราะขณะที่เจิ้นไม่ได้สติ เสด็จอายินดีพาเจ้าออกจากวัง เจิ้นมองออกว่าเจ้ามีความสุขเมื่อได้อยู่กับเขา”
หลินชิงเวยเต็มไปด้วยความสับสนในใจ ไม่รู้ว่าควรจะแสดงสีหน้าอย่างไรต่อหน้าเซียวจิ่น “ดังนั้น…หม่อมฉันควรจะรู้สึกโชคดี โชคดีที่คืนนี้หม่อมฉันยอมรับอย่างตรงไปตรงมา หาไม่แล้วย่อมเป็นการพูดปดต่อเบื้องสูงมิใช่หรือเพคะ หม่อมฉันไม่ปรารถนาที่จะโกหกต่อพระองค์ ใช่คือใช่ ไม่ใช่คือไม่ใช่ หม่อมฉันไม่เคยทำผิดอะไร แต่ทำให้ฝ่าบาทรู้สึกเป็นทุกข์ เป็นหม่อมฉันที่ทำไม่ถูกต้องเพคะ”
ต่อมาคนทั้งสองเงียบงันเนิ่นนาน
สุดท้ายยังคงเป็นเซียวจิ่นที่ยักไหล่พูดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ชิงเวย เจ้าควรจะไปส่งของกินให้เสด็จอาได้แล้ว”
หลินชิงเวยช้อนตาขึ้นมองเขา เขายังคงยิ้มอย่างอบอุ่นราวกับฤดูวสันต์ดังเดิม แต่ภายในแววตานั้นไร้ซึ่งประกายระยิบระยับ เซียวจิ่นพูดอีกว่า “ในเมื่อเจิ้นรู้ตั้งแต่แรก เจ้าเองก็ยอมรับเช่นกัน ระหว่างพวกเราย่อมไม่มีความลับใช่หรือไม่ ชิงเวย เจิ้นไม่ใช่คนชอบฝืนใจคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเจ้า หากเจ้าชอบ เจิ้นก็จะส่งเสริมเจ้า”
หลินชิงเวยรู้สึกว่าตนเองประเมินเซียวจิ่นต่ำไป เริ่มแรกเลยนั้นนางคิดว่าเซียวจิ่นยังเป็นเด็กคนหนึ่งที่ไม่ประสีประสาอะไร ต่อมาพบว่าเขามีจิตใจวิญญาณของฮ่องเต้เต็มตัว และมีหัวใจของฮ่องเต้ ทว่ายามนี้ความไม่พึงพอใจและจิตใจคับแคบของฮ่องเต้ เซียวจิ่นยังคงเลือกที่จะให้อภัยและส่งเสริม
หลินชิงเวยลูบจมูกของตนพร้อมกับคลี่ยิ้ม “หม่อมฉันไม่เกรงใจฝ่าบาทหรอกนะเพคะ เช่นนี้หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ” นางคิดว่าพูดกับเซียวจิ่นอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว อย่างไรในใจก็รู้สึกผ่อนคลายลงไม่น้อย
หลินชิงเวยหิ้วกล่องอาหารขึ้นมากล่าวลาเซียวจิ่น หันกายเตรียมจะออกจากที่นี่ เมื่อกำลังจะเดินไปถึงประตูห้อง เซียวจิ่นพูดขึ้นกับเงาร่างด้านหลังของนางว่า “ชิงเวย หากที่นี่มีสิ่งของหรือคนที่มีค่าพอที่จะให้เจ้าอยู่ต่อ เจ้ายังคิดจะจากไปหรือไม่?”
เงาร่างของหลินชิงเวยยืดตรง แต่ยังคงไม่อาจหักใจพูดจาทำร้ายใจจิตใจออกไป “รอให้ถึงเวลานั้นแล้วค่อยพูดกันเถิดเพคะ”
ถึงเวลานั้นนางจะไม่จากไปได้อย่างไรเล่า นางกระจ่างแจ้งอย่างยิ่งว่าตนเองต้องการอะไร ไม่เพียงแต่นางที่จะจากไป กระทั่งเซียวเยี่ยนจะอยู่ข้างกายเขาตลอดชีวิตได้หรือ หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ตัวเซียวจิ่นเองก็ไม่มีวันสงบใจได้กระมัง
ดังนั้นการอยู่ร่วมกันเพียงระยะเวลาหนึ่งเช่นนี้ ย่อมต้องแยกย้ายกันไปในวันใดวันหนึ่ง
หลังจากหลินชิงเวยเดินออกไป ภายในตำหนักบรรทมมีเพียงความว่างเปล่า เซียวจิ่นมองเงาร่างด้านหลังนางหายลับไปนอกประตูกับตาของตนเอง รอยยิ้มของเขาเลือนหายไปจากใบหน้า ขนตาของเขาหลุบต่ำลง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แสงสว่างที่ส่องมาจากโคมไฟผ้าโปร่งในตำหนักบรรทมดูเหมือนจะมืดมนลง
หลินชิงเวยไม่ใช่คนที่ยึดติดหมกมุ่น นางออกจากตำหนักซวี่หยาง สายลมยามราตรีพัดโชยมา อารมณ์หงุดหงิดยุ่งยากในใจพลันอันตรธานไปสิ้น นางเดินมุ่งหน้าไปยังตำหนักชิงหลวนท่ามกลางความมืดของรัตติกาล
เมื่อไปถึงตำหนักชิงหลวน ทันทีที่ถามขันทีที่นั่นจึงรู้ว่าเซียวเยี่ยนไปห้องทรงพระอักษรตั้งแต่ช่วงบ่าย ถึงเวลานี้ยังไม่กลับออกมา และไม่ได้ให้ตั้งพระกระยาหารมื้อค่ำ เหล่านางกำนัลไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้แต่รออยู่ด้านนอก
หลินชิงเวยเข้าไปในเรือนพูดกับเหล่านางกำนัลว่า “ไม่ต้องกังวลเรื่องพระกระยาหารมื้อค่ำของเซ่อเจิ้งอ๋อง ฝ่าบาทให้เปิ่นกงส่งมาให้เขาแล้ว พอแล้วออกไปพักผ่อนเถิด”
เหล่านางกำนัลรับคำแล้วถอยออกไป หลินชิงเวยเห็นแสงไฟในห้องทรงพระอักษรยังคงสว่างยิ่ง จึงยืนอยู่หน้าประตูแล้วผลักบานประตูเข้าไป
กลิ่นเครื่องหอมที่ช่วยให้สติสัมปชัญญะแจ่มใสพวยพุ่งออกมาในทันที หลินชิงเวยขมวดคิ้วเห็นเซียวเยี่ยนนั่งอนุมัติฎีกาอยู่บนโต๊ะ
สีหน้าของเขาเหนื่อยล้า ทว่ากลับไม่เชื่องช้า
กระทั่งหลินชิงเวยก้าวเข้ามา เขาก็ยังไม่เงยหน้าขึ้นมองสักครั้ง
หลินชิงเวยจึงวางกล่องอาหารไว้ด้านหนึ่ง “ท่านเป็นเพียงเซ่อเจิ้งอ๋องคนหนึ่ง ทำงานหนักถึงเพียงนี้ หากฝ่าบาทนั่งอยู่ที่นี่ต้องนอนดึกทุกวันจะไม่อายุสั้นได้อย่างไร”
หลินชิงเวยได้ยินแล้วเช่นกันว่าระยะนี้เซียวเยี่ยนกำลังสะสางคดีฉ้อราษฎร์บังหลวงของขุนนางในราชสำนัก ไม่ได้พักผ่อนมาเป็นเวลาหลายวันติดกันแล้ว
เซียวเยี่ยนฟังน้ำเสียงของนางแล้ว มีเพียงมือที่จับพู่กันจูซาเท่านั้นที่หยุดชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นยังคงเขียนต่อไป