หลินชิงเวย “ข้าคิดว่านั่นไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้ข้ามีความสุข ดังนั้นจึงไม่ถามต่อไป ขอเพียงต่อไปนอกจากข้าแล้วท่านไม่มีใครอีกเป็นพอ”
“หลินชิงเวย เจ้าเอาความมั่นใจมาจากที่ใดกัน” น้ำเสียงของเซียวเยี่ยนทุ้มต่ำ ดูเหมือนสายลมที่พัดผ่านเทือกเขาลำเนาไพรอย่างไรอย่างนั้น
หลินชิงเวยตอบว่า “มีติดตัวมาแต่กำเนิด เรื่องนี้ช่วยไม่ได้จริงๆ”
เมื่อพวกเขากลับไปถึงตำหนักฉางเหยี่ยนท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว หลินชิงเวยอาบน้ำร้อนด้วยร่างกายที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าพร้อมกับสูดปากตลอดเวลา
นางปลดอาภรณ์ออกแล้วลงไปแช่ในน้ำจึงพบว่าขาทั้งคู่บวมและเจ็บ ร้ายแรงกว่าที่นางคาดการณ์เอาไว้มากมายนัก ด้านในของต้นขาและด้านในของน่องล้วนถูกเสียดสีกระทั่งผิวหนังบริเวณนั้นถลอก แดงก่ำไปทั่วบริเวณ เมื่อถูกลวกด้วยน้ำร้อน ความเจ็บปวดนั้นยากที่จะบรรยาย
หลังจากอาบน้ำหลินชิงเวยผลัดเปลี่ยนสวมเสื้อนอน ปรากฏให้เห็นต้นขาทั้งสองข้างที่ขาวประดุจหยกขาว นางค่อยๆ ใส่ยาขี้ผึ้งชนิดเย็นให้กับตนเอง นางรักและทะนุถนอมร่างกายของตนเป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อยเมื่อเกิดบาดแผลแล้วได้ทายาขี้ผึ้งที่นางปรุงขึ้นมาเองย่อมไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้แน่นอน ทว่าบาดแผลหลายรอยบริเวณแขนนั้นแม้จะหายดีแล้วแต่ยังคงทิ้งรอยแผลเป็นสีชมพูอ่อนเอาไว้ คาดว่าคงต้องอาศัยเวลาอีกยาวนานกว่าจะเลือนหายไป
เมื่อเข้าสู่ฤดูสารทสิ่งที่มาต้อนรับฤดูสารทคือวันฉลองวันพระราชสมภพของไทเฮา ยามนั้นอากาศยังไม่ได้หนาวเย็นมากนัก เป็นช่วงเวลาที่ท้องฟ้าลอยสูงเมฆ เคลื่อนคล้อยบางเบา นับเป็นวันเวลาที่อากาศสดชื่นแจ่มใส
นับแต่เซียวจิ่นขึ้นครองราชย์เป็นต้นมา ต้าเซี่ยล้วนรณรงค์ให้ประหยัดมัธยัสถ์ อย่าได้เอ่ยถึงว่าวันฉลองพระราชสมภพของไทเฮาที่ไม่เคยจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ กระทั่งวันพระราชสมภพของตัวฮ่องเต้ เซ่อเจิ้งอ๋องก็ยังไม่เคยจัดงานอย่างฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายมาก่อน
แต่การเฉลิมฉลองนั้นย่อมมีแน่นอน ไทเฮาไม่มีความคิดจะเชิญเหล่าขุนนางมาร่วมในงานเลี้ยง จึงเตรียมงานเลี้ยงเป็นการส่วนตัวในตำหนักในเท่านั้น อีกทั้งทุกอย่างทำอย่างเรียบง่ายก็เพียงพอแล้ว
เมื่อหลินชิงเวยไปถึงตำหนักซวี่หยางก็ได้ยินเซียวจิ่นพูดขึ้นว่า “วันเกิดของไทเฮาทุกปีที่ผ่านมา หากต้องจัดงานอย่างเรียบง่ายสักหน่อย ในใจไทเฮาย่อมต้องไม่พึงใจต่อเจิ้น ชิงชังที่ไม่อาจเชิญไพร่ฟ้าทั้งเมืองหลวงมาร่วมอวยพรให้กับนาง แต่ปีนี้กลับประหลาดนัก ไทเฮาถึงกับขอจัดงานแบบเรียบง่ายเสียเอง”
หลินชิงเวย “เช่นนั้นไม่ใช่เรื่องดียิ่งหรือเพคะ จะได้ช่วยฝ่าบาทประหยัดเงินไปอีกก้อนหนึ่ง”
ในมือของเซียวจิ่นมีไม้เท้าอยู่อันหนึ่ง แม้จะไม่มีใครคอยประคับประคอง เขาสามารถเดินไปเดินมาพักใหญ่ และสามารถยืนขึ้นด้วยขาทั้งคู่ของตน นอกจากขาทั้งสองเหนื่อยล้าจนไม่อาจเดินเหินได้แล้ว หาไม่แล้วหากยังยืนได้และเดินได้ เขาไม่มีทางนั่งหรือนอนเด็ดขาด
ตามที่เซียวจิ่นได้พูดเอาไว้ เขาจะชดเชยเวลาสิบกว่าปีที่เขาเดินไม่ได้กลับมา หลินชิงเวยเห็นท่าทางมุ่งมั่นตั้งใจของเขาแล้วแม้แต่เกลี้ยกล่อมก็ไม่ฟัง จึงได้แต่สุดแล้วแต่เขา เพียงแต่เมื่อมีหลินชิงเวยอยู่ด้วยจึงคอยย้ำเตือนและบวกกับความเหนื่อยล้า เขาจึงยอมนั่งลงมาสนทนากับหลินชิงเวย ด้วยระยะนี้หลินชิงเวยมักจะเข้าออกตำหนักซวี่หยางเป็นนิจ บางครั้งเซียวจิ่นอยู่ในห้องทรงพระอักษร นางก็เข้าออกห้องทรงพระอักษรอย่างเสรี
เซียวจิ่นได้ยินแล้วกล่าวกลั้วหัวเราะ “เจิ้นกลับไม่คิดว่าจู่ๆ ไทเฮาจะคิดมัธยัสถ์ขึ้นมา”
ความหมายก็คืออาจเป็นเพราะไทเฮามีแผนการอย่างอื่นที่ไม่อาจกระโตกกระตากได้
วันฉลองพระราชสมภพของไทเฮามาถึงอย่างรวดเร็ว งานเลี้ยงในวังจัดขึ้นในตำหนักคุนเหอ
แม้จะเป็นที่รู้กันทั้งตำหนักในว่าหลินชิงเวยและไทเฮาไม่ถูกกัน แต่ไทเฮาจัดงานฉลองวันพระราชสมภพ หากหลินชิงเวยไม่ไปถวายพระพร ย่อมเป็นนางที่ไม่รู้จักหนักเบาเกินไป
หลินชิงเวยรู้ดีว่าแม้ในใจของไทเฮาจะไม่มีความปรารถนาที่จะเชิญนางมาร่วมงานอย่างยิ่ง แต่นางยังคงต้องไปร่วมงานอยู่ดี หาไม่แล้วนางจะให้ไทเฮาฉลองวันเกิดที่ทำไปอย่างส่งๆ นี้ได้อย่างไรเล่า?
หากจะไปร่วมงานย่อมต้องเตรียมของขวัญอวยพรสักหน่อย หลินชิงเวยเลือกของขวัญล้ำค่าอันใดไม่เป็น นอกเสียจากเครื่องเงินเครื่องทองเหล่านั้นที่กองอยู่เต็มท้องพระคลัง ดังนั้นหลินชิงเวยจึงพาซินหรูเข้าไปในท้องพระคลังในยามบ่าย
นางแทบจะไม่ต้องใช้ความคิดก็ตัดสินใจได้ว่าควรจะมองอะไรเป็นของขวัญ
ครั้งก่อน ผู้ใดกันนะ…วันเกิดของมหาเสนาบดีหลิน มิใช่นางหยิบไม้คทาหรูอี้ทองคำเผื่อไปหนึ่งชิ้นหรอกหรือ เช่นนั้นก็มอบไม้คทาหรูอี้ทองคำก็แล้วกัน หลินชิงเวยหยิบไม้คทาหรูอี้รู้สึกว่ามีน้ำหนักพอใช้ได้ มอบให้ไทเฮาผู้นั้นย่อมให้นางได้เปรียบแล้ว
ซินหรูติดตามหลินชิงเวยอยู่ด้านหลังเป็นตังเม หลินชิงเวยกล่าว “มีอะไรเจ้าก็พูดมา เจ้าไม่พูดข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า”
ซินหรูกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง “อ้อ คืออย่างนี้เจ้าค่ะ ข้าไม่ไปร่วมงานวันเกิดไทเฮาคืนนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ?”
หลินชิงเวยเลิกคิ้ว “เจ้าจะไปที่อื่น?”
ซินหรูพูดจาอึกอักอย่างร้อนตัว “คืนนี้เสี่ยวฉีไม่ไปเช่นกันเจ้าค่ะ…เขาบอกว่าเขามีเวลาว่างพาข้าออกไปเดินเที่ยวในตลาดละแวกใกล้วังหลวงเจ้าค่ะ…” หลินชิงเวยไม่พูดจา ซินหรูจึงเงยหน้ามองนางด้วยดวงตาเปล่งประกายความคาดหวัง “พี่สาว ได้หรือไม่เจ้าคะ?”
หลินชิงเวยมองใบหน้าเล็กๆ ขาวนวลของซินหรู ดวงตาทั้งคู่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวังอย่างที่มิอาจหักใจปฏิเสธได้ หากปฏิเสธก็คือคนใจไม้ไส้ระกำ ในครึ่งปีมานี้ซินหรูฟื้นฟูร่างกายได้ดีทีเดียว ไม่ใช่เด็กหญิงตัวน้อยผอมแห้งเมื่อครั้งแรกพบในตำหนักเย็นอีกแล้ว ซ้ำยังเติบโตกลายเป็นแม่นางน้อยอ่อนเยาว์ราวกับจะคั้นน้ำออกมาได้คนหนึ่งอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
หลินชิงเวยยังไม่ได้ให้เด็กสาวผู้นี้อยู่ข้างกายนานเท่าใดนักก็มีคนคิดจะมาล่อลวงคนไปจากนางแล้วหรือ? เจ้าเด็กบ้าเซียวฉีผู้นั้นใช้เล่ห์กลอันใดกันนะ!
หลินชิงเวยพูดแบบหวงก้าง “หากข้าบอกว่าไม่ได้เล่า”
ซินหรูเบะปาก แสงสว่างในแววตาของนางหม่นลงทันที “ไม่ให้ไป ก็ไม่ไปเจ้าค่ะ…”
หลินชิงเวยครุ่นคิดแล้วถามอีกว่า “เสี่ยวฉีเพียงแต่พาเจ้าออกไปเที่ยวนอกวังหรือ”
“เขาบอกว่า เขาจะซื้อพุทราเชื่อมให้ข้ากินด้วยเจ้าค่ะ”
หลินชิงเวยตบหน้าผากตัวเอง นางเกือบจะลืมไปแล้วว่าพุทราเชื่อมนี้เป็นสิ่งจำเป็นในการจีบสาวในยุคสมัยโบราณนี่นา! “พุทราเชื่อมแค่อันเดียวก็คิดจะล่อลวงเจ้าไปได้แล้วหรือ”
“จะอย่างไรไปข้างนอกวังก็ดีกว่าไปตำหนักคุนเหอเจ้าค่ะ”
เอาเถอะ หากให้หลินชิงเวยเลือกแล้วละก็นางยังคงยินดีที่จะไปนอกวัง อีกทั้งซินหรูโตขนาดนี้แล้วยังไม่เคยไปมาก่อน หลินชิงเวยย่อมเข้าใจจิตใจของนาง
หลินชิงเวยพูดอย่างไม่เกรงใจ “เซียวฉี เขาเป็นนักต้มตุ๋นคนหนึ่ง”
“หา? เขาหลอกลวงอะไรพี่สาวเจ้าคะ?” ซินหรูถาม
หลินชิงเวยพูดในใจ มิใช่มาล่อลวงน้องสาวผู้โง่เขลาคนนี้ของนางไปหรอกหรือ นางหยุดไปชั่วอึดใจหนึ่งแล้วถามพร้อมกับมองหน้าซินหรู “เจ้าชอบเสี่ยวฉีใช่หรือไม่?”
ซินหรูพูดอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ข้าคิดว่าเขาไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไรเจ้าค่ะ และดีต่อข้าไม่เลวเลยทีเดียว”
“มีเพียงเท่านี้”
“บางครั้งพวกเราก็เข้ากันได้ดีเจ้าค่ะ”
ให้ตายเถอะ เขาเป็นคนหนุ่มในวัยสิบกว่าปีคนหนึ่งกับเจ้าซึ่งยังไม่เต็มสิบขวบดี เข้ากันได้ดีอะไรเล่า! เขาเพียงแต่ชอบเจ้าแล้วเท่านั้นเอง ฉวยโอกาสที่เจ้ายังบริสุทธิ์ไร้เดียงสาไม่รู้ความก็จะมาล่อลวงเจ้าไป!
แน่นอนว่าหลินชิงเวยไม่ได้พูดคำพูดเหล่านี้กับซินหรู เพื่อไม่ให้เป็นการชี้โพรงให้กระรอก เพียงแต่สีหน้าท่าทางและปฏิกิริยาของซินหรูทำให้นางพอใจไม่น้อย ดูแล้วซินหรูเพียงแต่คิดว่าเสี่ยวฉีดีต่อนางเท่านั้น หลินชิงเวยจึงวางใจ แม่ชีน้อยผู้นี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะเริ่มมีความรัก นางยังคิดว่าเด็กสาวคนนี้ไฉนจึงเป็นผู้ใหญ่เร็วเช่นนี้ อีกทั้งในสภาวะที่ความทรงจำย่ำแย่เช่นนี้
หลินชิงเวยพูดทั้งยิ้มตาหยีในที่สุด “เอาเถอะ เห็นแก่ที่พวกเจ้าเข้ากันได้ดีเช่นนี้ คืนนี้เจ้าออกไปกับเขาเถิด”
ช่วงบ่ายหลินชิงเวยได้พบเสี่ยวฉีระหว่างทางไปตำหนักซวี่หยาง เสี่ยวฉีถวายคำนับนางอย่างเคารพนอบน้อม นางหรี่ตาลงพูดขึ้นว่า “ซินหรูออกไปกับเจ้า หากเส้นผมน้อยไปสักเส้น ข้าจะถอดเส้นเอ็นแขนและขาของเจ้าอย่างละข้าง เข้าใจหรือไม่?”