เดินมาได้ครึ่งทาง เซียวจิ่นก็อดรนทนไม่ไหวเสียแล้ว เขาให้หลินชิงเวยหยุดรถเข็น “ชิงเวย เจิ้นอยากเดินสักหน่อย”
ต่อมาไม่รอให้หลินชิงเวยตั้งตัวติด เขายืนขึ้นจากเก้าอี้รถเข็นด้วยตนเองยกเท้าก้าวไปข้างหน้าสองก้าว หลินชิงเวยตื่นตะลึงมองเงาร่างของเขาในอาภรณ์เสื้อคลุมมังกรขนาดพอดีตัว ขับให้รูปร่างของเขาดูสูงประดุจหยก นางเพิ่งจะพบว่าเมื่อเซียวจิ่นเหยียดแผ่นหลังและกระดูกสันหลังยืนตรงขึ้นมานั้นถึงกับสูงกว่านางถึงครึ่งศีรษะ มีท่าทางเป็นเด็กหนุ่มผู้เจริญวัยแล้วไม่น้อยเลยทีเดียว
เซียวจิ่นหันหน้ากลับมายืนอยู่ใต้กิ่งไม้สีเขียวชอุ่ม หยักยิ้มมุมปากให้กับนาง คิ้วตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แววตาของเขาอบอุ่นประหนึ่งดอกท้อที่กำลังบานสะพรั่งในฤดูวสันต์ และตัวเขาเองก็รูปงามไม่สามัญประดุจต้นไม้สัมผัสกับสายลม
“อย่างไรเล่า ดูจนทึ่มทื่อเสียแล้ว?” เซียวจิ่นพูดเสียงเบา
หลินชิงเวยได้สติกลับมา “ดูจนทึ่มทื่อไปแล้วเพคะ ฝ่าบาทแทบจะเกิดใหม่แล้วเพคะ” คำพูดของนางไม่เกินจริงสักนิด ในยามปกติหลินชิงเวยไม่ได้สังเกตสังกานัก ยามนี้เมื่อพินิจพิจารณาแล้วจึงพบว่าเด็กหนุ่มเบื้องหน้ามิใช่เด็กน้อยผู้เต็มไปด้วยโรคภัยรุมเร้าที่นางได้พบเมื่อแรกตั้งนานแล้ว
ราวกับร่างกายได้รับการฟื้นฟูอย่างดี สีหน้าท่าทางล้วนดีอย่างยิ่ง รูปร่างเจริญเติบโตรวดเร็ว องคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ดูแล้วทั้งสง่าและรูปงาม มิใช่เกิดใหม่แล้วจะเรียกว่าอันใดได้เล่า
เซียวจิ่นพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ใช่ ยังต้องขอบคุณชิงเวยที่ทำให้เจิ้นมีความรู้สึกเหมือนคนอื่นๆ บนโลกใบนี้อีกครั้ง” เขายื่นมือมาให้หลินชิงเวย “ไปเถิด เจิ้นส่งเจ้ากลับไป”
มือของเขาไม่เหมือนมือของเซียวเยี่ยน มือของเซียวเยี่ยนเรียวยาวและทรงพลัง ไม่ว่าจะหยิบพู่กันหรือกุมกระบี่ราวกับล้วนมีความเหมาะสมที่มีติดตัวมาแต่กำเนิด ส่วนมือของเซียวจิ่นนั้นเรียวขาวประดุจหยก ในยามปกติเมื่อถือตำรา จับพู่กันน่าจะชวนมองเป็นพิเศษ แต่หลินชิงเวยนึกท่าทางที่เขากุมกระบี่ไม่ออก มือของเซียวจิ่นไม่มีไตแข็งๆ ด้วยนอกจากอ่านตำราเขียนอักษรแล้ว เขาน่าจะไม่ได้ทำเรื่องอื่นๆ มาก่อน
หลินชิงเวยเหงื่อตก นางถึงกับแอบเปรียบเทียบสองอาหลานในใจ เห็นเซียวจิ่นยังคงยื่นมือออกมารอนางอยู่ ราวกับเข้าใจว่านางลังเลและสับสน เขากลับรอคอยอย่างอดทน รอให้นางตัดสินใจ
หลินชิงเวยเอามือไพล่หลัง เอียงหน้ามองเขาพร้อมกับพูดยิ้มๆ ว่า “ฝ่าบาททำเช่นนี้ ทำให้หม่อมฉันได้รับความโปรดปรานจนตื่นตระหนกเสียแล้วเพคะ เมื่อสักครู่เมื่อในตำหนักคุนเหอ มีเหนียงเหนียงในตำหนักในไม่น้อยที่ปรารถนาที่จะปรนนิบัติฝ่าบาท”
“เจิ้นอยากจะจูงมือเจ้าสักประเดี๋ยวก็ไม่ได้หรือ” เซียวจิ่นเลิกคิ้ว
ใบหน้าของหลินชิงเวยเปื้อนยิ้ม ทว่ายังคงยืนกรานว่า “เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเข้าใจผิด ไม่ได้เพคะ ขอฝ่าบาทโปรดประทานอภัยด้วยเพคะ”
รอยยิ้มบนริมฝีปากของเซียวจิ่นเลือนหายไป เขาพูดเนิบๆ ว่า “ชิงเวย คิดดูแล้วคงมีเพียงเจ้าแล้วกระมังที่กล้าปฏิเสธเจิ้นอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ เจิ้นไม่อยากให้เจ้าเข้าใจผิด เจ้าไม่ยินดีก็ช่างเถิด เช่นนั้นเข้ามาประคองเจิ้นสักครู่คงได้กระมัง”
หลินชิงเวย “เรื่องนี้ได้เพคะ”
เมื่อหลินชิงเวยก้าวขึ้นข้างหน้าหลบหลีกมือขาวราวกับหยกของเซียวจิ่น เข้าประคองแขนของเขาแล้วค่อยๆ เดินไปข้างหน้าพร้อมกับเขา
การเดินครั้งนี้ระยะทางไกลพอสมควร เซียวจิ่นไม่ได้นั่งพักระหว่างทาง หลินชิงเวยถามเขาหลายครั้งหลายครา “ฝ่าบาททรงเหน็ดเหนื่อยหรือไม่เพคะ? จะพักสักครู่หรือไม่?”
เซียวจิ่นส่ายหน้ายิ้มบางๆ “เจิ้นรู้สึกว่ากำลังดี”
หลินชิงเวย “ฝ่าบาทฟื้นฟูร่างกายได้ดีพอสมควร เดิมทีคิดอีกว่ายังต้องรออีกสักสองเดือนจึงจะสามารถลุกขึ้นมาเดินเหินเองได้ คิดไม่ถึงว่ายามนี้จะเก่งกาจถึงเพียงนี้แล้ว นี่เป็นเพราะในยามปกติฝ่าบาททรงหมั่นเพียรในการทำกายภาพเพื่อฟื้นฟูร่างกายเพคะ” ขณะที่เดินไปด้วยกันนั้น หลินชิงเวยได้กลิ่นอำพันทะเลจากร่างกายของเซียวจิ่น เมื่ออยู่บนร่างกายของเขานั้นช่างเหมาะสมยิ่ง ส่งผลให้กลิ่นหอมชวนดม
ในยามปกตินางไม่ได้กลิ่นเครื่องหอมจากร่างกายของเซียวเยี่ยน บนร่างของเขาเย็นสบายประหนึ่งพระจันทร์และน้ำค้าง
ต่อมาเมื่อใกล้มาถึงตำหนักฉางเหยี่ยน หลินชิงเวยและเซียวจิ่นเรียกได้ว่าฝืนร่างกายพอสมควรแล้ว ใบหน้าขาวประดุจหยกของเขามีเหงื่อชั้นบางๆ ลมหายใจเร็วขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ หลินชิงเวยเกลี้ยกล่อมหลายครั้งแล้วทว่าเซียวจิ่นไม่ฟัง เขาเพียงแต่พูดยิ้มๆ ว่า “เหลือระยะทางอีกนิดเดียว เจิ้นก็ส่งเจ้ากลับไปได้แล้ว”
หลินชิงเวยเต็มไปด้วยความสับสนในจิตใจ นางไม่รู้ว่าเซียวจิ่นดื้อรั้นไปเพื่ออะไรกัน เป็นเพราะนางพูดชัดเจนไม่พอ? หรือมีอะไรที่มีค่าคู่ควรให้เขาต้องดื้อรั้นเช่นนี้?
นางทำหน้าเคร่ง และปล่อยมือเซียวจิ่น ไม่ใส่ใจว่าเซียวจิ่นจะชนสิ่งของหรือล้มลง นางเข็นเก้าอี้รถเข็นเข้ามารอด้านหลังร่างของเซียวจิ่น พูดด้วยน้ำในเสียงเข้มงวด “นั่งลง”
เซียวจิ่นไม่ยอม “เจิ้นบอกแล้วว่าเจิ้นไม่เป็นไร เจิ้นสามารถเดินไปสุดระยะทางนี้ได้”
“ข้าให้เจ้านั่งลง” สีหน้าของหลินชิงเวยเย็นเยียบ “ไม่ง่ายดายเลยกว่าที่ข้าจะรักษาขาทั้งคู่ของท่านคืนมา เพื่อให้เจ้ามาทำลายเช่นนี้หรือ? ต่อไปเจ้ายังคิดจะลุกขึ้นมาเดินเหินปกติหรือไม่?”
เซียวจิ่นตกตะลึง รอยยิ้มบนใบหน้ากลายเป็นซีดขาวอ่อนแรง ในที่สุดเขายังคงค้ำพนักเก้าอี้แล้วค่อยๆ นั่งลงไป วางขาทั้งคู่ลงบนที่เหยียบ
หลินชิงเวยเข็นเขาไปข้างหน้าช้าๆ น้ำเสียงของนางอ่อนโยนลง ทว่าปนเปไปด้วยความจนใจและความรู้สึกฝาดเฝื่อนในใจ “เช่นนี้ฝ่าบาทก็ทรงส่งหม่อมฉันกลับไปถึงตำหนักฉางเหยี่ยนได้เช่นกันไม่ใช่หรือเพคะ?”
“เจิ้นใช้ไม่ได้จริงๆ ใช่หรือไม่” เซียวจิ่นพูดอย่างสงบ
“ผู้ที่จะทำการใหญ่สำเร็จ ย่อมไม่ต่อสู้เพียงเพื่อวันนี้”
สีหน้าของเซียวจิ่นเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่พูดอะไรอีก
กลับมาพร้อมกับเซียวจิ่นใช้เวลามากกว่านางกลับมาด้วยตนเองครึ่งหนึ่ง หลินชิงเวยไม่รีบร้อนเช่นกัน นางเข็นเก้าอี้รถเข็นของเขาตลอดเส้นทางที่เหลือเสมือนกำลังเดินเล่น
ในที่สุดก็มาถึงด้านหน้าประตูตำหนักฉางเหยี่ยน และเป็นเวลาค่อนข้างมืดค่ำนัก
เซียวจิ่น “เวลาไม่เช้าแล้ว ที่จริงเจิ้นยังอยากจะเข้าไปนั่งในตำหนักเจ้าสักครู่ แต่คิดแล้วจะเป็นการรบกวนการพักผ่อนของเจ้าเช่นกัน เจิ้นส่งเจ้าถึงที่นี่ก็แล้วกัน”
หลินชิงเวยพยักหน้า “ได้เพคะ”
เซียวจิ่นพูดอย่างรู้สึกผิดในใจว่า “ที่จริงเจิ้นคิดจะส่งเจ้ากลับมา ดูแล้วทำให้เจ้าเสียเวลาไปไม่น้อย”
หลินชิงเวยพูดพร้อมคลี่ยิ้มบางๆ “ฝ่าบาทตรัสหนักไปแล้วเพคะ เมื่อสักครู่กินอาหารในตำหนักคุนเหอจนจุกอยู่บ้างเพคะ เดินเล่นมาตลอดทางก็เป็นการดีเพคะ”
“จริงหรือ?” เซียวจิ่นเงยหน้า รอยยิ้มกลับมาปรากฏบนใบหน้าของเขาเล็กน้อย “เช่นนั้นเจิ้นไม่รบกวนเจ้าแล้ว เจิ้นกลับก่อน”
“น้อมส่งเสด็จฝ่าบาทเพคะ” หลินชิงเวยยืนอยู่ที่เดิมมองเซียวจิ่นหมุนเก้าอี้รถเข็นกลับไปด้วยตนเอง ย้อนกลับไปตามเส้นทางเดินช้าๆ ด้านหลังที่เข็นเก้าอี้รถเข็นของเขาล้วนเป็นนางกำนัลและขันทีเก่าแก่ของตำหนักซวี่หยางที่เข็นเก้าอี้อย่างระมัดระวัง
หลินชิงเวยยืนอยู่หน้าประตูตำหนักเนิ่นนาน กระทั่งเห็นเงาร่างของเซียวจิ่นลับหายไปในยามรัตติกาลจึงหันกลับมาเดินเข้าตำหนัก
จิตใจของนางสงบยิ่ง เพียงแต่ลอบทอดถอนใจเล็กน้อย
คิดไม่ถึงว่าหลินชิงเวยไปร่วมงานในตำหนักคุนเหอซ้ำยังเดินเป็นเพื่อนเซียวจิ่นเป็นระยะทางไกลเช่นนี้ นางเองกลับไม่รู้สึกว่ากลับมาดึกดื่นอยู่สักหน่อย ทันทีที่เข้ามาในเรือนก็เห็นซินหรูที่กลับมาแล้ว
ก่อนหน้านี้บนท้องฟ้ายังมีแสงสว่างจากพระจันทร์ ยามนี้แสงจันทร์ล้วนหลบเข้าไปในอยู่ในหมู่ก้อนเมฆ สายลมในค่ำคืนนี้พัดสูงอยู่บ้างทำให้คนรู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บของฤดูสารท
ซินหรูมีท่าทีลังเลเล็กน้อย นางวิ่งมาหยุดเบื้องหน้าหลินชิงเวย “พี่สาว ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ งานเลี้ยงทางด้านไทเฮายาวนานถึงเพียงนี้หรือเจ้าคะ?”
หลินชิงเวยลูบท้องของตนพูดอย่างซุกซน “ไม่ทันระวังเลยกินมากไป ดังนั้นจึงค่อยๆ เดินกลับมา” พูดแล้วก็เหลือบตามองซินหรู “เป็นอย่างไรบ้าง วันนี้ออกไปนอกวังสนุกหรือไม่?”