หลินชิงเวยเพียงแต่นั่งชมละครอยู่เงียบๆ ก็พอแล้ว ก่อนหน้านี้ไทเฮาหันปลายหอกมาที่นาง ยามนี้เรื่องราวได้ดำเนินมาถึงขั้นไม่อาจควบคุมได้อีกแล้ว ความสนใจของคนทั้งหมดล้วนจดจ่ออยู่ที่ห้องลับ จะมีผู้ใดสนใจว่านางมีใจคิดลอบสังหารไทเฮาอีกหรือไม่เล่า ไทเฮาเองยังเอาตัวไม่รอดกระมัง
จริงดังคาด เซียวจิ่นพูดว่า “ห้องลับอยู่ในตำหนักบรรทมของไทเฮา โครงกระดูกเหล่านี้ถูกพบในห้องลับ หรือไทเฮาไม่รู้จริงๆ?” ต่อมาเขาสั่งการอีกว่า “เด็กๆ จับกุมคนของตำหนักคุนเหอทั้งหมดเพื่อไต่สวนอย่างละเอียด เจิ้นต้องการรู้ว่าผู้ตายเป็นใคร สืบให้กระจ่างแจ้ง!”
ภายในตำหนักคุนเหอเต็มไปด้วยความสลดหดหู่
คนทั้งหมดล้วนคิดไม่ถึงว่าเรื่องแรกที่เซียวจิ่นทำหลังจากลุกขึ้นมายืนได้ ก็คือการตัดไม้ข่มนามไทเฮาอย่างไม่ไว้หน้า
ไทเฮาพูดอย่างพรั่นพรึง “ฮ่องเต้!” นางยังคิดจะใช้ศักดิ์ฐานะของไทเฮา คิดจะใช้ฐานะระหว่างฮ่องเต้และเสด็จแม่มากดข่ม ทว่าแต่ไรมานางไม่เคยเห็นเซียวจิ่นเป็นเช่นโอรสของตนเองอยู่แล้ว เซียวจิ่นย่อมไม่เห็นนางเป็นมารดาเช่นกัน
ความสัมพันธ์แม่ลูกที่เป็นเพียงฉากหน้า ทว่าจิตใจไม่เคยปรองดองกันมาตลอดระยะเวลาหลายปี เซียวจิ่นไหนเลยจะไม่รู้ว่าในใจนางคิดการสิ่งใดอยู่ หลายปีมานี้ไทเฮาเอนเอียงไปทางเซ่อเจิ้งอ๋อง คิดจะให้เซ่อเจิ้งอ๋องมาแทนที่ตน เซียวจิ่นมิใช่ไม่คิดเอาคืน เพียงแต่รอเวลาอันเหมาะสมเท่านั้น
วันนี้เขารีบรุดมาเพื่อช่วยกอบกู้สถานการณ์ คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เขาได้มาพบกับความลับเช่นนี้ หากเขายังคงรีรอต่อไปจะทำให้ดวงวิญญาณผู้ได้รับความทุกข์ทรมานตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้สงบสุขได้อย่างไร?
ที่โชคดีก็คือไทเฮากุมอำนาจในการควบคุมดูแลตำหนักในมาเป็นเวลาหลายปี ฝ่ายหน้ามีเซ่อเจิ้งอ๋องบริหารราชกิจ อำนาจของไทเฮามิได้รุกคืบจากฝ่ายในไปถึงฝ่ายหน้า ด้วยเหตุนี้ การจะจัดการกับเรื่องภายในตำหนักในอย่างไรย่อมไม่ส่งผลกระทบต่อฝ่ายหน้าแต่อย่างใด นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เซียวจิ่นยืนกรานเช่นนี้
เซียวจิ่นพูดด้วยสีหน้าปกติ “ไทเฮาโปรดวางใจ ไทเฮาบอกว่าไม่รู้เรื่องนี้ เช่นนั้นรอให้เจิ้นไต่สวนเรื่องให้กระจ่างแจ้งแล้ว หากไทเฮาถูกให้ร้ายป้ายสีจริงๆ เจิ้นย่อมต้องคืนความเป็นธรรมให้แก่ไทเฮาเป็นแน่”
ข้ารับใช้ที่ปรนนิบัติรับใช้ในตำหนักคุนเหอล้วนถูกควบคุมตัวไปไต่สวนที่กรมราชทัณฑ์ในวันนั้น ที่นั่นเป็นสถานที่สำหรับจัดการดัดนิสัยบ่าวไพร่ในวังหลวงโดยเฉพาะ เข้าไปในสภาพสมประกอบ ทว่าไม่แน่ว่าจะออกมาในสภาพสมประกอบหรือไม่ ด้วยเหตุนี้ทันทีที่บ่าวไพร่ได้ยินชื่อสถานที่แห่งนั้น ล้วนตื่นตระหนกตกใจจนปัสสาวะราด ด้วยที่นั่นคือนรกสำหรับพวกบ่าวไพร่
เซียวจิ่นออกคำสั่งให้ใช้ทัณฑ์ทรมานอย่างหนัก หมัวมัวผู้อวดเบ่งอำนาจบารมีข้างกายไทเฮาหลายคนรวมไปถึงหัวหน้าขันทีเช่นลูกขุนพลอยพยัก เมื่อไปถึงที่นั่นถูกทรมานจนไม่อาจทนดูได้ พวกเขาสารภาพสาเหตุก่อนหน้าและเรื่องราวในภายหลังของห้องลับทั้งหมด รวมไปถึงฐานะของผู้ตายหลายคนนั้น
ผู้ตายเป็นนางสนมที่ค่อนข้างได้รับความโปรดปรานจากอดีตฮ่องเต้ในเวลานั้นอย่างมิต้องสงสัย จิตใจของไทเฮาเต็มไปด้วยความริษยา ยามนั้นนางยังมิใช่ฮองเฮา นางสนมเหล่านั้นจึงไม่เห็นนางอยู่ในสายตา อีกทั้งยังเคยมีเรื่องบาดหมางกับนางมาก่อน ไทเฮาจึงเชิญพวกนางมายังตำหนักคุนเหอใช้วิธีการต่างๆ นานาให้พวกนางได้รับความทุกข์ทรมานจนตาย
เรื่องราวถูกเล่าลือทั่วทั้งตำหนักในราวกับไฟลามทุ่ง กระทั่งได้ยินไปถึงขุนนางฝ่ายหน้า เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นตั้งแต่ในสมัยอดีตฮ่องเต้ยังทรงพระชนม์ชีพ ทว่าเกี่ยวพันกับชีวิตของใครๆ หลายคน หากเซียวจิ่นไม่อาจให้คำอธิบายได้ จะทำให้วิญญาณของผู้ตายในสรวงสวรรค์เป็นสุขได้อย่างไร เซียวจิ่นตระหนักดีว่าไทเฮามีฐานะเป็นมารดาในนามของตน หากเขาจัดการเรื่องราวหนักมือเกินไปย่อมต้องเสื่อมเสียมาถึงพระเกียรติของตนด้วยหลักคุณธรรมเรื่องความกตัญญู ดังนั้นหลังจากไตร่ตรองแล้ว เซียวจิ่นจึงออกพระราชโองการในการปรับเปลี่ยนตำหนักใน–ก่อสร้างห้องพระขึ้นภายในตำหนักคุนเหอ ให้ไทเฮาสวดมนต์คัดพระคัมภีร์ทุกวัน เพื่อเป็นการบำเพ็ญภาวนาให้กับผู้ตาย ไม่อนุญาตให้ก้าวออกจากตำหนักคุนเหอแม้เพียงครึ่งก้าว
ไทเฮาถูกกักบริเวณ อำนาจในการดูแลตำหนักในจึงไม่อยู่ในมือนางอีกต่อไป นางกำนัลและขันทีที่ถูกส่งตัวไปยังกรมราชทัณฑ์เหลือเพียงหมัวมัววัยชราสองคนที่รอดชีวิตกลับมา ที่เหลือล้วนถูกโบยจนตาย
เมื่อพระราชโองการมาถึงตำหนักคุนเหอ เป็นเวลาเดียวกันกับที่หมัวมัววัยชราเดินตุปัดตุเป๋กลับมาถึงตำหนักคุนเหอเช่นกัน ไทเฮาไม่ยอมรับราชโองการ นางอาละวาดเสียงดังอยู่ในตำหนักคุนเหอด้วยท่าทีของสตรีสติฟั่นเฟือนอย่างแท้จริง ราวกับนางไม่อาจยอมรับความจริงเบื้องหน้าตน ไม่ยินยอมเชื่อว่าตนเองถูกยึดอำนาจและถูกกักบริเวณ
เสร็จสิ้นเรื่องของไทเฮา ตำหนักในมิอาจขาดประมุขได้เพียงหนึ่งวัน ต่อมาเซียวจิ่นจึงถ่ายทอดพระกระแสรับสั่งให้หลินเจาอี๋ หลินชิงเวยทำหน้าที่ดูแลธุระจัดการในตำหนักในเป็นการชั่วคราวไปก่อน
เมื่อหลินชิงเวยได้รับถ่ายทอดพระกระแสรับสั่ง นางเกือบจะสะดุ้งโหยง แต่นี่ล้วนเป็นเรื่องในภายหลัง
ยามนี้เซียวจิ่นให้คนนำโครงกระดูกออกจากตำหนักคุนเหอ คนตายไปนานเช่นนี้ยากที่จะหาเบาะแสอื่นๆ ได้จากโครงกระดูก จึงนำโครงกระดูกออกไปประกอบพิธีตามสมควร
เซียวจิ่นก้าวเข้ามาในคลองจักษุของหลินชิงเวย เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยมองดูท่าทางอเนจอนาถของนาง ชายเสื้อคลุมมังกรสีเหลืองสว่างปลิวสะบัด เขากุมมือหลินชิงเวยที่มิอาจขัดขืน หันกายเดินออกจากตำหนักคุนเหอ
เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายหลินชิงเวยไม่อาจไม่ให้เกียรติเซียวจิ่น จึงยินยอมให้เขาจูงมือนางเดินไป ฝ่ามือของเขาอบอุ่นและเย็นลื่นประดุจหยกเนื้อดี สายลมพัดแขนเสื้อของเขาปลิวสะบัดนำพากลิ่นหอมจางๆ ของอำพันทะเลมาด้วย
การกระทำของเซียวจิ่นในวันนี้ทำให้หลินชิงเวยถึงกับตกตะลึงอยู่บ้าง เขาเป็นฮ่องเต้อย่างเต็มตัวและจัดแจงเรื่องราวได้ด้วยตนเองแล้ว
ไทเฮาเห็นเขาจะจากไป จึงได้แต่ร้องตะโกนอยู่ด้านหลัง “ฮ่องเต้! ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์แม่ลูกระหว่างท่านกับข้า ต้องคำนึงถึงบุญคุณที่เปิ่นกงเลี้ยงดูท่านมาจนเติบใหญ่!”
ย่างก้าวของเซียวจิ่นหยุดชะงัก กระทั่งหลินชิงเวยยังมองออกว่าไทเฮามีใจเพียงคิดที่จะยั่วยวนเซ่อเจิ้งอ๋อง ไหนเลยจะมีกะจิตกะใจที่จะเลี้ยงดูเซียวจิ่นที่มิใช่โอรสที่ตนให้กำเนิดมาด้วยตนเอง นางพูดจาโดยไร้ซึ่งความละอายใจ เซียวจิ่นพูดเรียบๆ ว่า “เจิ้นไหนเลยจะลืมเลือนได้ เสด็จแม่ยังคงเป็นเสด็จแม่ของเจิ้นตลอดไป และเป็นไทเฮาของวังหลวงแห่งนี้ตลอดไป”
ไทเฮาพรูลมหายใจออกมา ทว่าต่อมาเซียวจิ่นไม่ได้ถอดนางออกจากศักดิ์ฐานะอันสูงศักดิ์ แต่กลับกักบริเวณให้นางอยู่แต่ในตำหนักคุนเหอ มีฐานะสูงศักดิ์ของไทเฮาหรือไม่แล้วจะแตกต่างกันอย่างไรเล่า
หลังจากออกมาจากตำหนักคุนเหอ อากาศด้านนอกสดชื่นขึ้นหลายส่วน แตกต่างจากบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดข้างใน นางกำนัลและขันทีล้วนติดตามอยู่ด้านหลัง เซียวจิ่นพลันหยุดก้าวเดิน เหล่านางกำนัลล้วนหยุดลงเงียบๆ ห่างออกไปในรัศมีหนึ่งจั้ง
เซียวจิ่นหันกลับมามองหลินชิงเวยทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ปล่อยมือของนาง เขาพูดเสียงเบาว่า “ชิงเวย เจิ้นมาช้าไป เมื่อสักครู่เกือบจะทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตราย”
หลินชิงเวยหรี่ตาลง เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมสันของเขา “ควรจะกล่าวว่าฝ่าบาทมาทันเวลาจึงจะถูกต้องเพคะ”
เซียวจิ่นยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นใช้ท้องนิ้วลูบไล้บนใบหน้าของหลินชิงเวย ขณะที่หลินชิงเวยตกตะลึงพลันได้ยินเขาพูดขึ้นด้วยความปวดใจว่า “ดูสิ ใบหน้าเจ้าลายไปหมดแล้ว ได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
ใบหน้าของนางมีรอยคราบเลือดเป็นจุดๆ แม้จะถูกลมพัดจนแห้งกรังแล้ว แต่ไม่ทันได้รอให้นางตอบ เซียวจิ่นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมออกจากอกเสื้อของตนมาเช็ดรอยเลือดบนใบหน้าของนางด้วยตนเอง
หลินชิงเวยรู้สึกตัวจึงหลบหลีกเป็นพัลวัน มือของเซียวจิ่นจึงหยุดชะงัก หลินชิงเวยหลุดหัวเราะแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้ามาจากมือของเขามาเช็ดใบหน้าของตนอย่างขอไปที “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ใส่พระทัยเพคะ เลือดเหล่านี้มิใช่เลือดของหม่อมฉัน ล้วนเป็นของคนอื่นเพคะ”
เซียวจิ่นพยักหน้า “เช่นนั้นเจิ้นวางใจแล้ว ไปเถอะ เจิ้นส่งเจ้ากลับไป”
ขาของเซียวจิ่นหายดีแล้ว เขาจึงไม่ต้องนั่งเก้าอี้รถเข็นอีกต่อไป และไม่ต้องเดินๆ หยุดๆ อีกต่อไป เขาส่งหลินชิงเวยกลับไปถึงตำหนักฉางเหยี่ยนด้วยตนเอง จากนั้นจึงเข้าไปนั่งคุยกับนางครู่หนึ่ง