เซียวจิ่น “นี่เป็นค่าตอบแทนที่เจิ้นมอบให้เจ้า คฤหาสน์และร้านยาอยู่ห่างกันไม่ไกล ต่อไปเมื่อเจ้าออกจากวังไป คิดจะอาศัยอยู่ในเมืองหลวงย่อมต้องเปิดร้านทำการค้าอยู่ในเมืองหลวง” เขายิ้มให้ซินหรูครั้งหนึ่ง “เจิ้นรู้มาจากซินหรูว่าต่อไปเจ้าจะเปิดร้านยาสักแห่ง ดังนั้นจึงตัดสินใจโดยพลการซื้อร้านยาไว้ก่อน”
หลินชิงเวยหันมามองซินหรู ซินหรูเกาศีรษะพูดอย่างงงงวย “เอ๊ะ ข้าเคยพูดเรื่องพวกนี้หรือ? ไยข้าจึงจำไม่ได้เล่า?”
พูดจริงๆ แล้วหากหลินชิงเวยไม่รู้สึกซาบซึ้งยังยาก เซียวจิ่นคิดอ่านรอบคอบเยี่ยงนี้ กระทั่งคิดแทนนางทุกเรื่องอย่างเหมาะสม
แม้จะรอวันออกจากวัง หลินชิงเวยยังไม่ตัดสินใจว่าจะปักหลักพำนักอยู่ในเมืองหลวงหรือไม่ แต่ดีชั่วอย่างไรก็มีอสังหาริมทรัพย์ถึงสองชิ้นมิใช่หรือ
ไม่เอาก็ช่าง นางไม่ใช่คนเบาปัญญา ทำการค้ากับฮ่องเต้ย่อมต้องได้รับผลตอบแทนและไม่อาจไม่ปฏิบัติตามราชโองการได้ สิ่งไหนคุ้มกว่ากัน คนเบาปัญญายังกระจ่างแจ้งกระมัง
ช่างเถิดๆ เรื่องมาถึงขึ้นนี้แล้ว อยู่ในวังหลวงอีกสักพักก็อยู่อีกสักพัก กินดีอยู่ดีมีคนปรนนิบัติพัดวีอาจจะน่าเบื่อหน่ายไปหน่อย แต่ในเมื่อเซียวจิ่นมีความจริงใจเช่นนี้ หากนางอดกลั้นได้ก็จะอดกลั้น
หลินชิงเวยหรี่ตาลงเก็บสิ่งของขึ้นมา “ฝ่าบาททำการค้าเก่งเหลือเกิน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หม่อมฉันไม่เกรงใจแล้วเพคะ”
เซียวจิ่นยิ้มบางๆ “นี่เป็นสิ่งที่เจ้าควรได้รับ เช่นนั้นระยะนี้เรื่องของตำหนักในต้องรบกวนให้เจ้าดูแลจัดการแล้ว”
หลินชิงเวยพูดด้วยสีหน้าอึมครึม “ฝ่าบาทตรัสอันใดกันเพคะ ในเมื่ออยู่ในหน้าที่แล้วย่อมต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด อีกทั้งยังรับค่าเหนื่อยจากฝ่าบาท ย่อมต้องทำงานให้ฝ่าบาทพอพระทัยจึงจะถูกต้องเพคะ”
อาหารมื้อเย็นในเวลาต่อมา ทั้งสามคนจึงร่วมกินอาหารอย่างมีความสุข
ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่า หลินชิงเวยทำงานมีศักยภาพปานใด และมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเพียงใด
ผ่านไปไม่กี่วัน ข่าวเรื่องการคัดเลือกสาวงามของตำหนักในก็แพร่สะพัดออกไป บรรดาขุนนางใหญ่ในราชสำนักล้วนตื่นตัวต่อเรื่องนี้อย่างยิ่งยวด ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่เอ่ยถึงเรื่องการแต่งสนมเข้ามาเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลแก่ฝ่าบาท บรรดาขุนนางแต่ละคนล้วนมีสีหน้าเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง แต่ยามนี้ไม่เหมือนกัน ยามนี้สุขภาพพระพลานามัยของฝ่าบาทแข็งแรงดียิ่ง ขาที่พิการหายขาดแล้ว ย่อมเป็นหนุ่มน้อยสุขภาพแข็งแรงคนหนึ่ง
ดังนั้นบรรดาขุนนางจึงเริ่มเปิดคัมภีร์เพื่อค้นหาข้อมูลว่าฮ่องเต้องค์ใดของต้าเซี่ยแต่งสนมเข้ามาเมื่อมีพระชนมายุสิบชันษา ร่วมหอเมื่อมีพระชนมายุสิบสองชันษา เป็นบิดาเมื่อมีพระชนมายุสิบห้าชันษา อีกทั้งตามกฎหมายของต้าเซี่ยแล้วบุรุษมีอายุครบสิบสามปีสามารถแต่งภรรยาได้ เซียวจิ่นอายุสิบสี่ปีเต็มแล้ว อยู่ในวัยที่ร่วมหอได้ สำหรับหลินชิงเวยการที่เขาอายุสิบสามปีนับว่าประดักประเดิดอยู่บ้าง ยามนั้นมีการปูพื้นฐานความรู้บ้างแล้วหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่บุรุษในยุคสมัยโบราณอาจจะเป็นผู้ใหญ่เร็วกว่าเฉกเช่นเซียวจิ่นในวัยสิบสี่ปีกลับรูปร่างสูงกว่าหลินชิงเวยในวัยสิบหกปี อีกทั้งยังเป็นผู้ใหญ่กว่า
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเรื่องการคัดเลือกสาวงามเข้ามานั้นไม่สู้ทำแต่เนิ่นๆ อีกทั้งหลินชิงเวยประกาศออกไปอย่างยินดี เซียวจิ่นเห็นนางทำงานอย่างเต็มกำลังเช่นนี้จึงสุดแล้วแต่นาง
การคัดเลือกสาวงามกระทำอย่างง่ายๆ คือคัดเลือกจากคุณหนูพันชั่งของบรรดาขุนนางในราชสำนักรอบหนึ่งก่อน แต่มิใช่การคัดเลือกสาวงามจากทั่วแคว้นอย่างเป็นทางการ ดูท่าแล้วเซียวจิ่นมิใช่ฮ่องเต้ที่ฝักใฝ่ถึงแต่สาวงาม เรื่องสิ้นเปลืองเงินทองไพร่ฟ้าเช่นนั้นจึงงดเว้นเสีย
นับแต่รับหน้าที่มาจากเซียวจิ่น หลินชิงเวยไม่เคยได้นอนเกียจคร้านแม้แต่วันเดียว ทุกวันต้องตื่นแต่เช้าตรู่ จะมีแม่นางน้อยเดินนวยนาดมายังตำหนักฉางเหยี่ยนเพื่อถวายพระพรยามเช้าต่อหลินชิงเวย
หลินชิงเวยหงุดหงิดเหลือเกิน แต่ธรรมเนียมปฏิบัติภายในตำหนักในมิอาจละทิ้งได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงได้แต่ตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อลุกขึ้นมาผลัดเปลี่ยนอาภรณ์สางผม จากนั้นไปต้อนรับบรรดานางสนมเหล่านั้น
ตำแหน่งประมุขของตำหนักในนี้มิใช่ให้คนมาทำ นางคิดไม่ตกว่างานที่เหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ เหตุใดจึงมีผู้คนแย่งชิงกันมากมายเพื่อจะให้ได้มาครอบครอง
เช้าวันนี้หลินชิงเวยนั่งอยู่หน้าโต๊ะประทินโฉมอย่างสะลึมสะลือ นางกำนัลสางผมให้นาง นางลืมตาขึ้นเห็นซินหรูเดินเข้าเดินออกด้วยท่าทีตื่นตัวสุดๆ ซินหรูวิ่งเข้ามารายงานว่า “พี่สาว บรรดาพระสนมเหล่านั้นมาถึงแล้วเจ้าค่ะ ไฉนพวกนางจึงมาเช้าขึ้นทุกวันเจ้าคะ”
บนใบหน้าของหลินชิงเวยเขียนคำว่า ‘ไม่ยินดี’ ไว้ตัวเบ้อเริ่ม นางกำนัลผู้ทำหน้าที่สางผมเป็นคนใจเย็นคนหนึ่ง เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงเม้มปากกลั้นหัวเราะและกล่าวว่า “คิดดูแล้วพวกนางล้วนต่อสู้กันในที่ลับด้วยไม่อยากจะตกข่าวใดๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าเหนียงเหนียงกระมัง”
ประจวบเหมาะกับวันนี้เป็นวันที่เหล่าสาวงามจากครอบครัวขุนนางเข้าวังมาเป็นวันแรก หลังจากบรรดานางสนมมาถวายพระพรยามเช้าแล้ว หลินชิงเวยยังต้องไปดูการคัดเลือกสาวงาม ดังนั้นการถวายพระพรที่ว่านี้มิใช่เป็นการมาถวายพระพรยามเช้าเท่านั้น ดื่มน้ำชายามเช้า พูดคุยสัพเพเหระ จากนั้นควรทำสิ่งใดก็ไปทำสิ่งนั้น
เมื่อได้ยินว่าบรรดาคุณหนูพันชั่งต่างเข้าวังเพื่อคัดเลือกสาวงาม ทุกคนล้วนไม่กล้าเสียเวลา ขณะเดียวกันก็มิอาจแอบดีดลูกคิดรางแก้วคาดเดาอนาคตของตนเองจนหลั่งเหงื่อเย็น ตำแหน่งของบรรดานางสนมเหล่านี้ล้วนไม่สูงนัก รอพวกคุณหนูพันชั่งเข้าวังมารับตำแหน่งเฟยแล้ว พวกนางมิใช่คงได้แต่ถูกผู้อื่นเหยียบย่ำหรอกหรือ ด้วยเหตุนี้ไม่มีผู้ใดไม่ปรารถนาที่จะติดตามหลินชิงเวยเพื่อไปดูความครึกครื้นนี้ ไม่แน่ว่าในจำนวนคุณหนูพันชั่งนี้อาจจะมีญาติพี่น้องของตนอยู่ด้วยก็ได้
หลินชิงเวยพาซินหรูไปยังสถานที่ที่พวกคุณหนูพันชั่งพำนักอาศัย ด้านหลังมีนางกำนัลติดตามมาสองคน นางยังไม่ตื่นนอนดีดวงตาทั้งคู่เห็นทุกอย่างพร่าเลือนไปหมด อารมณ์ไม่ใคร่จะดีนัก
“พี่สาว ดูท่านไม่เบิกบานแจ่มใสเลยเจ้าค่ะ” ซินหรูมองนาง
หลินชิงเวยขยี้ตาของตน อ้าปากหาวและพูดว่า “ตำแหน่งประมุขของตำหนักในนี้ ต้องมีอายุไม่ยืนเป็นแน่แท้ อย่างมากสามสิบห้าปีก็ต้องเหนื่อยตายแล้ว เชอะ ดูแล้วอสังหาริมทรัพย์สองชิ้นนั้นมิใช่ได้มาโดยง่าย”
การคัดเลือกสาวงามมีหมัวมัวที่ทำหน้าที่รับผิดชอบขั้นตอนต่างๆ โดยเฉพาะ หลินชิงเวยเพียงแต่ไปดูเป็นพิธีเท่านั้น ลำดับแรกหมัวมัวจะทำการคัดเลือกคุณหนูพันชั่งจากรูปโฉมโนมพรรณโดดเด่นออกมาก่อน เพื่อพิจารณาถึงหน้าตาและบุคลิกของราชสกุลในภายหน้าย่อมต้องคัดระดับกลางและระดับสูงเอาไว้ก่อน จากนั้นจึงคัดเลือกจากธรรมเนียมมารยาทและคุณธรรมจริยธรรม ความรู้ความสามารถเป็นลำดับถัดมา
หลังจากพิจารณาครบทุกด้านแล้ว สาวงามที่ผ่านด่านมาอย่างราบรื่นมีไม่ถึงสิบคน หลินชิงเวยเลือกตำหนักแยกออกมาหลังหนึ่งให้พวกนางพำนักอาศัยอยู่ที่นั่น จัดหมัวมัวไปสอนธรรมเนียมมารยาทในวังให้กับพวกนาง เพื่อเป็นการทำความคุ้นเคยกับกฎเกณฑ์ของวังหลวง
หลินชิงเวยคิดในใจ นางน่าจะต้องอยู่ฉลองปีใหม่ในวังหลวงเสียแล้ว
หลังจากเข้าสู่ฤดูหนาว ยังมีเวลาอีกสองเดือนจะถึงปีใหม่ ต้าเซี่ยมีงานเทศกาลเรียกว่าเทศกาลต้อนรับเทพเจ้า เทศกาลต้อนรับเทพเจ้าที่ว่าก็คือต้อนรับดวงวิญญาณของเทพเจ้าเข้าสู่บ้านเรือนของตน หลังจากปีใหม่ผ่านพ้นไปจะได้คุ้มครองคนในครอบครัวให้สุขภาพแข็งแรง ราบรื่นปลอดภัย ในวันต้อนรับเทพเจ้าทุกคนต้องทำความสะอาดบ้านเรือนให้สะอาดสะอ้านทั้งภายนอกและภายในเรือนจึงจะต้อนรับเทพเจ้าเข้ามาพำนักอาศัยในบ้านเรือนได้
นอกวังเป็นเช่นนี้ ในวังหลวงก็ไม่แตกต่าง
เมื่อหลินชิงเวยนำรายชื่อของสาวงามที่เพิ่งคัดเลือกเข้าวังมาส่งไปยังตำหนักซวี่หยาง ประจวบเหมาะกับเป็นวันต้อนรับเทพเจ้า ไม่ว่าจะเป็นตำหนักฉางเหยี่ยนของนางหรือตำหนักซวี่หยางข้ารับใช้ล้วนง่วนอยู่กับการทำความสะอาด อีกทั้งทุกคนต่างร่วมแรงร่วมใจ ไม่ว่าผู้ใดล้วนห้ามแอบเกียจคร้าน
หลินชิงเวยเดินอยู่บนทางในตำหนักซวี่หยาง เห็นเหล่าขันทีกำลังขัดล้างทำความสะอาดพร้อมกับสาดน้ำไปด้วยเพื่อให้สะอาดทุกซอกทุกมุมไม่ให้มีฝุ่นละออง
จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีฝุ่นละอองคละคลุ้งอยู่ในชั้นบรรยากาศ หลินชิงเวยเอาผ้าเช็ดหน้าปิดหน้าตลอดทางที่เดินผ่าน
เป็นไปตามที่หลินชิงเวยคาดเอาไว้ไม่ผิด เซียวจิ่นไม่สนใจบรรดาสาวงามแม้แต่น้อย เมื่อหลินชิงเวยยื่นรายชื่อให้กับเขา เขารับไปแล้วเหลือบตามอบแวบหนึ่งพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ชิงเวย เรื่องพวกนี้เจ้าตัดสินใจได้เลย เจิ้นย่อมเชื่อในสายตาอันแหลมคมของเจ้า”