ซินหรูพยักหน้าแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวก็ให้นางกำนัลส่งน้ำร้อนสำหรับอาบเข้ามา หลังจากนางกำนัลออกไปแล้ว หลินชิงเวยแช่กายอยู่ในน้ำร้อนถามซินหรูว่า “วันนี้ หลิ่วผินและซูผินที่มาตำหนักฉางเหยี่ยนกลับไปแล้วหรือ?”
ซินหรูพยักหน้าอีกครั้ง “พวกนางเห็นพี่สาวไปเนิ่นนานไม่กลับมาจึงพากันกลับไปเจ้าค่ะ” เงียบไปครู่หนึ่งซินหรูพูดอีกว่า “พี่สาว ท่านกินมื้อเย็นแล้วหรือไม่เจ้าคะ?”
“ยังไม่กิน”
“เช่นนั้นข้าไปเตรียมมื้อเย็นให้พี่สาวเจ้าค่ะ”
หลินชิงเวยเรียกนางเอาไว้ “ไม่รีบ” นางขัดถูเนื้อตัวไปทางหนึ่งพร้อมกับพูดเบาๆ “ซินหรู ความรักระหว่างชายหญิงเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ แม้เจ้าจะไม่เข้าใจ แต่พี่สาวไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังเจ้า พี่สาวชมชอบเซ่อเจิ้งอ๋อง”
ซินหรูรู้สึกมืดแปดด้านจริงๆ ทว่าขณะเดียวกันดูเหมือนกระจ่างแจ้งถึงบางสิ่งบางอย่าง “ซินหรูรู้เจ้าค่ะ พี่สาวชมชอบเซ่อเจิ้งอ๋องเป็นอย่างมากมาตลอด ชมชอบเซ่อเจิ้งอ๋องและชมชอบฝ่าบาทด้วย แต่แตกต่างกันอยู่บ้าง พี่สาวชมชอบฝ่าบาทเหมือนชมชอบซินหรูใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
หลินชิงเวยหัวเราะเบาๆ “ซินหรูเฉลียวฉลาดจริงๆ”
“เช่นนั้นวันหน้าพี่สาวจะอยู่กับเซ่อเจิ้งอ๋องหรือไม่เจ้าคะ?”
“รอวันหน้าเมื่อพี่สาวไม่เป็นหลินเจาอี๋และเขาไม่เป็นเซ่อเจิ้งอ๋อง มีความเป็นไปได้ว่าข้าจะอยู่ร่วมกับเขา”
“เช่นนั้นพี่สาวจะแต่งให้เขา เป็นเจ้าสาวของเขาหรือไม่เจ้าคะ?”
หลินชิงเวยเลิกคิ้ว “ต้องดูวาสนาและโชคชะตา”
ไม่รู้ด้วยเหตุใดเมื่อแรกเริ่มที่ซินหรูเห็นพี่สาวใกล้ชิดกับเซ่อเจิ้งอ๋อง นางไม่แจ่มแจ้งอยู่บ้าง และไม่ชอบใจ แต่พี่สาวไม่ได้ปิดบังอะไรต่อนาง อีกทั้งยังพูดเรื่องเหล่านี้กับนาง นางรู้สึกว่าเมื่อได้เปิดอกพูดคุยกันเช่นนี้แล้ว ไม่มีความรู้สึกไม่ยินดีอะไรหลงเหลืออยู่อีก
พี่สาวเป็นคนดีเหลือเกิน หากนางคิดว่าเซ่อเจิ้งอ๋องเป็นคนดีเช่นกัน เช่นนั้นเซ่อเจิ้งอ๋องต้องเป็นคนดีมากแน่นอน หัวใจดวงน้อยๆ ของซินหรูราวกับรับรู้ได้ว่าเซ่อเจิ้งอ๋องผู้เย็นชาในยามปกติดูเหมือนจะปฏิบัติต่อพี่สาวแตกต่างออกไป
สามารถมีใจปฏิพัทธ์ต่อกันทั้งสองฝ่ายย่อมเป็นเรื่องไม่เลว
ซินหรู “ขอบคุณพี่สาวที่บอกเรื่องเหล่านี้กับข้า เข้าอกเข้าใจในความไม่แจ่มแจ้งของข้า เช่นนั้นทางฝ่าบาทจะทำอย่างไรเจ้าคะ?”
หลินชิงเวยพูดอย่างสงบ “ต่อไปฝ่าบาทจะมีสตรีมากมายนับไม่ถ้วนในสามพระตำหนักหกหมู่เรือนเจ็ดสิบสองนางสนม นั่นไม่เกี่ยวข้องกับชมชอบหรือไม่ชมชอบแล้ว”
“อ้อ” แม้ซินหรูจะลอบทอดถอนใจแทนเซียวจิ่นอยู่บ้าง แต่นางสลัดเรื่องนี้ทิ้งไปอย่างรวดเร็ว “เช่นนั้นพี่สาวอาบน้ำก่อนนะเจ้าคะ ข้าไปเตรียมกับข้าวให้พี่สาว”
วันรุ่งขึ้นหลินชิงเวยนอนหลับไปจนฟ้าสาง ระหว่างนั้นไม่มีใครมารบกวนนางให้ตื่นขึ้น สำหรับระยะเวลาที่ผ่านมานี้ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างยิ่ง
เมื่อวานเป็นวันต้อนรับเทพเจ้า หลังจากทุกตำหนักทำความสะอาดเรียบร้อยสิ่งที่ต้อนรับการมาถึงของฤดูหนาวก็คือหิมะตกครั้งแรก หิมะตกไม่หนักมากนัก เกล็ดหิมะร่วงตกลงมาตามสายลม ยังไม่ทันได้ครอบคลุมให้พื้นกลายเป็นชั้นสีขาวก็หยุดตกเสียแล้ว
วันนี้อากาศแจ่มใส ในที่สุดแสงตะวันก็สามารถส่องผ่านชั้นของเมฆออกมาได้ แสงสีทองเป็นสายส่องผ่านชั้นของเมฆลงมา ส่งผลให้ความชุ่มชื้นที่เหลือจากเมื่อวานค่อยๆ สลายไป
ซินหรูตื่นแต่เช้ากำลังอ่านตำราอยู่ในลานเรือน อากาศเริ่มหนาวแล้วทำให้ผู้คนเบิกบานเล็กน้อย เมื่อเห็นหลินชิงเวยเปิดประตู ซินหรูหันมายิ้มตาหยี “พี่สาวตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
หลินชิงเวยรู้สึกแปลกใจยิ่ง นางบริหารแขนขาทั้งสี่ นวดคลึงคอของตนเอง แล้วหรี่ตามองท้องฟ้าภายนอก “เช้านี้เหล่านางสนมไม่ได้มาถวายพระพรหรือ?”
ซินหรูพูดอย่างยินดี “ฝ่าบาทมีพระราชกระแสรับสั่งต่อไปให้งดเว้นการมาถวายพระพรพี่สาวเจ้าค่ะ นอกจากมีเรื่องสำคัญเร่งด่วน หาไม่แล้วห้ามรบกวนพี่สาว หลิ่วผินและซูผินที่มาเมื่อวานนี้ล้วนหาข้อยุติด้วยตนเองแล้วเจ้าค่ะ”
หลินชิงเวยอดที่จะตะลึงงันไม่ได้ เมื่อวานนางจำได้ว่าบ่นเรื่องนี้ต่อหน้าเซียวจิ่นเพียงไม่กี่ประโยค คิดไม่ถึงว่าเขาจะจดจำได้แล้วถึงกับงดเว้นธรรมเนียมปฏิบัติอันเป็นกิจวัตรประจำวันโดยส่วนใหญ่ไป
ดังนั้นหลินชิงเวยจึงทุ่มเทแรงกายแรงใจและเวลากับเรื่องคัดเลือกนางสนมให้กับเซียวจิ่นอย่างเต็มที่ นางต้องปฏิบัติตามขั้นตอนการคัดเลือกบุตรสาวจากครอบครัวขุนนางใหญ่ที่ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมแต่โบราณมา สุดท้ายต้องเลือกสาวงามที่มีลักษณะโดดเด่นและหน่วยก้านดีออกมาสามคนจากสาวงามที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อม เพื่อมอบให้กับเซียวจิ่น ทว่าเซียวจิ่นดูเหมือนไม่มีท่าทีกระตือรือร้นแต่อย่างใด เพียงแต่แต่งตั้งตำแหน่งตามความเหมาะสมแล้วส่งตัวกลับไปยังตำหนักของตน
กระทั่งใกล้วันปีใหม่ภายในตำหนักในมีคนใหม่เพิ่มเข้ามาอีกรุ่นหนึ่ง หลินชิงเวยมักจะเห็นบรรดานางสนมแต่งกายด้วยอาภรณ์หลากหลายสีสันเดินไปมาภายในตำหนักใน และได้เพิ่มจำนวนนางกำนัลและขันทีอีกจำนวนหนึ่ง ทำให้ตำหนักในครึกครื้นขึ้นอีกสองส่วน
เซียวจิ่นไม่เคยเรียกตัวสนมมาปรนนิบัติ นางสนมแต่ละตำหนักเริ่มต่อสู้กันอย่างลับๆ ถึงขั้นที่หลินชิงเวยเห็นสตรีสวมอาภรณ์ผ้าโปร่งเนื้อบางสำหรับฤดูร้อนในฤดูหนาวเช่นนี้ ส่งผลให้ฤดูหนาวอันหนาวเหน็บดูแล้วมีสีสันเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย หลินชิงเวยเห็นแล้วอดที่จะลูบแขนของตนเองไม่ได้ พวกนางไม่รู้สึกหนาวเลยหรือไร?
ตำหนักในรัชสมัยนี้ดูจากภายนอกแล้วดูเหมือนปรองดองและสงบสุขอย่างยิ่ง ราวกับทั้งนอกวังและในวังล้วนกำลังเตรียมงานต้อนรับปีใหม่ แม้อากาศจะหนาวเหน็บทั้งวัน ทว่าตลาดนัดในยามกลางวันยังคงคึกคักเป็นปกติ ด้วยผู้คนล้วนต้องออกมาตลาดเพื่อจับจ่ายซื้อของใช้สำหรับเทศกาลวันปีใหม่
บางครั้งเซียวจิ่นเห็นสิ่งของแปลกหูแปลกตามาใหม่ที่ถูกส่งเข้ามาในวัง ทำให้เกิดความคิดบางอย่าง
วันนี้เซียวจิ่นเรียกตัวหลินชิงเวยเข้าเฝ้าที่ตำหนักซวี่หยาง
หลินชิงเวยมาถึงตำหนักซวี่หยาง เหล่านางกำนัลผู้ปรนนิบัติอยู่ในตำหนักบรรทมพากันออกไปด้านนอก นางเดินขึ้นบันไดเข้าประตูไปก็เห็นเซียวจิ่นยืนอยู่ข้างหน้าต่างในตำหนักบรรทม เขายืนเอามือไพล่หลังมองออกไปนอกหน้าต่าง
เขาหันกลับมาคลี่ยิ้มบางๆ ให้กับหลินชิงเวยด้วยใบหน้าคมสัน สง่างามไม่สามัญ
เพียงแต่วันนี้เซียวจิ่นมิได้สวมอาภรณ์ชุดคลุมมังกรเฉกเช่นยามปกติ วันนี้เขาสวมอาภรณ์ชุดคลุมสีเงินยวงชุดหนึ่ง ตามชายแขนเสื้อปักลวดลายวิจิตรบรรจง มีหยกสีเขียวชิ้นหนึ่งประดับอยู่ข้างเอว เส้นผมดำขลับถูกรัดตรึงไว้ด้วยเกี้ยวหยกสีขาว ดูแล้วเป็นหนุ่มน้อยรูปงามดึงดูดสายตายิ่งนัก
ทว่าหลินชิงเวยมักจะรู้สึกเสมอว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายดายเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้นเซียวจิ่นจึงแต่งกายเช่นนี้? ในวังหลวงแห่งนี้ยังมีผู้ใดกล้าเทียบรัศมีกับเขาหรือ? อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ในมือเขากลับถือพัดเล่มหนึ่ง
เซียวจิ่นเอ่ยปากขึ้นก่อน “ชิงเวย เจิ้นแต่งกายเช่นนี้ พอใช้ได้หรือไม่?”
หลินชิงเวยพยักหน้า “ดียิ่งเพคะ ฝ่าบาทสวมฉลองพระองค์มังกรจนเบื่อแล้วหรือเพคะ?”
แววตาของเซียวจิ่นเบิกบานปานบุปผาในวสันตฤดู “วันนี้เจิ้นจะออกนอกวัง ชิงเวย เจ้าไปเดินเป็นเพื่อนเจิ้นนอกวังสักหน่อยเถิด”
“…อะไรนะ?” หลินชิงเวยคิดว่านางต้องฟังผิดแน่ๆ
เซียวจิ่นกล่าวกลั้วหัวเราะ “เจิ้นได้ยินมาว่าวันนี้ คณะละครเทียนสุ่ยหยวนลี่หยวนจะเปิดแสดงละครเรื่องใหม่ในเมือง เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนัก เจิ้นดูเหมือนยังไม่ได้ออกไปเดินๆ นอกวัง อย่างไรวันนี้เจิ้นมีเวลาว่างจึงอยากให้เจ้าไปเดินเป็นเพื่อนเจิ้น”
ดูแล้วนางไม่ได้ฟังผิด แต่เป็นเพราะสมองของเซียวจิ่นชักกระตุกมากกว่า
หลินชิงเวย “วันนี้เสด็จอาไม่อยู่เป็นแน่เพคะ”
เซียวจิ่นไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
หลินชิงเวยใช้หางตามองเขา “หากเสด็จอาอยู่จะยอมให้ฝ่าบาททำตัวเหลวไหลได้อย่างไรเพคะ?” ไม่ใช่นางขี้ขลาดตาขาว ต่อให้นางกล้าหาญกว่านี้ก็ไม่อาจพาเซียวจิ่นออกจากวังหลวงได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าตนเองไม่คุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมนอกวังหลวง ครั้งก่อนเดินเที่ยวตลาดกับเซียวเยี่ยนจึงถูกลอบสังหาร ครั้งนี้หากพบกับมือสังหารอีกนางและเซียวจิ่นล้วนไม่มีวรยุทธ์ ถึงเวลานั้นคงได้แต่ขึ้นสวรรค์ไปสวดมนต์ภาวนาให้กับพระยูไลแล้ว!
นางไม่ทำหรอก!