ซินหรูพยักหน้าแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวก็ให้นางกำนัลส่งน้ำร้อนสำหรับอาบเข้ามา หลังจากนางกำนัลออกไปแล้ว หลินชิงเวยแช่กายอยู่ในน้ำร้อนถามซินหรูว่า “วันนี้ หลิ่วผินและซูผินที่มาตำหนักฉางเหยี่ยนกลับไปแล้วหรือ?”
ซินหรูพยักหน้าอีกครั้ง “พวกนางเห็นพี่สาวไปเนิ่นนานไม่กลับมาจึงพากันกลับไปเจ้าค่ะ” เงียบไปครู่หนึ่งซินหรูพูดอีกว่า “พี่สาว ท่านกินมื้อเย็นแล้วหรือไม่เจ้าคะ?”
“ยังไม่กิน”
“เช่นนั้นข้าไปเตรียมมื้อเย็นให้พี่สาวเจ้าค่ะ”
หลินชิงเวยเรียกนางเอาไว้ “ไม่รีบ” นางขัดถูเนื้อตัวไปทางหนึ่งพร้อมกับพูดเบาๆ “ซินหรู ความรักระหว่างชายหญิงเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ แม้เจ้าจะไม่เข้าใจ แต่พี่สาวไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังเจ้า พี่สาวชมชอบเซ่อเจิ้งอ๋อง”
ซินหรูรู้สึกมืดแปดด้านจริงๆ ทว่าขณะเดียวกันดูเหมือนกระจ่างแจ้งถึงบางสิ่งบางอย่าง “ซินหรูรู้เจ้าค่ะ พี่สาวชมชอบเซ่อเจิ้งอ๋องเป็นอย่างมากมาตลอด ชมชอบเซ่อเจิ้งอ๋องและชมชอบฝ่าบาทด้วย แต่แตกต่างกันอยู่บ้าง พี่สาวชมชอบฝ่าบาทเหมือนชมชอบซินหรูใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
หลินชิงเวยหัวเราะเบาๆ “ซินหรูเฉลียวฉลาดจริงๆ”
“เช่นนั้นวันหน้าพี่สาวจะอยู่กับเซ่อเจิ้งอ๋องหรือไม่เจ้าคะ?”
“รอวันหน้าเมื่อพี่สาวไม่เป็นหลินเจาอี๋และเขาไม่เป็นเซ่อเจิ้งอ๋อง มีความเป็นไปได้ว่าข้าจะอยู่ร่วมกับเขา”
“เช่นนั้นพี่สาวจะแต่งให้เขา เป็นเจ้าสาวของเขาหรือไม่เจ้าคะ?”
หลินชิงเวยเลิกคิ้ว “ต้องดูวาสนาและโชคชะตา”
ไม่รู้ด้วยเหตุใดเมื่อแรกเริ่มที่ซินหรูเห็นพี่สาวใกล้ชิดกับเซ่อเจิ้งอ๋อง นางไม่แจ่มแจ้งอยู่บ้าง และไม่ชอบใจ แต่พี่สาวไม่ได้ปิดบังอะไรต่อนาง อีกทั้งยังพูดเรื่องเหล่านี้กับนาง นางรู้สึกว่าเมื่อได้เปิดอกพูดคุยกันเช่นนี้แล้ว ไม่มีความรู้สึกไม่ยินดีอะไรหลงเหลืออยู่อีก
พี่สาวเป็นคนดีเหลือเกิน หากนางคิดว่าเซ่อเจิ้งอ๋องเป็นคนดีเช่นกัน เช่นนั้นเซ่อเจิ้งอ๋องต้องเป็นคนดีมากแน่นอน หัวใจดวงน้อยๆ ของซินหรูราวกับรับรู้ได้ว่าเซ่อเจิ้งอ๋องผู้เย็นชาในยามปกติดูเหมือนจะปฏิบัติต่อพี่สาวแตกต่างออกไป
สามารถมีใจปฏิพัทธ์ต่อกันทั้งสองฝ่ายย่อมเป็นเรื่องไม่เลว
ซินหรู “ขอบคุณพี่สาวที่บอกเรื่องเหล่านี้กับข้า เข้าอกเข้าใจในความไม่แจ่มแจ้งของข้า เช่นนั้นทางฝ่าบาทจะทำอย่างไรเจ้าคะ?”
หลินชิงเวยพูดอย่างสงบ “ต่อไปฝ่าบาทจะมีสตรีมากมายนับไม่ถ้วนในสามพระตำหนักหกหมู่เรือนเจ็ดสิบสองนางสนม นั่นไม่เกี่ยวข้องกับชมชอบหรือไม่ชมชอบแล้ว”
“อ้อ” แม้ซินหรูจะลอบทอดถอนใจแทนเซียวจิ่นอยู่บ้าง แต่นางสลัดเรื่องนี้ทิ้งไปอย่างรวดเร็ว “เช่นนั้นพี่สาวอาบน้ำก่อนนะเจ้าคะ ข้าไปเตรียมกับข้าวให้พี่สาว”
วันรุ่งขึ้นหลินชิงเวยนอนหลับไปจนฟ้าสาง ระหว่างนั้นไม่มีใครมารบกวนนางให้ตื่นขึ้น สำหรับระยะเวลาที่ผ่านมานี้ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างยิ่ง
เมื่อวานเป็นวันต้อนรับเทพเจ้า หลังจากทุกตำหนักทำความสะอาดเรียบร้อยสิ่งที่ต้อนรับการมาถึงของฤดูหนาวก็คือหิมะตกครั้งแรก หิมะตกไม่หนักมากนัก เกล็ดหิมะร่วงตกลงมาตามสายลม ยังไม่ทันได้ครอบคลุมให้พื้นกลายเป็นชั้นสีขาวก็หยุดตกเสียแล้ว
วันนี้อากาศแจ่มใส ในที่สุดแสงตะวันก็สามารถส่องผ่านชั้นของเมฆออกมาได้ แสงสีทองเป็นสายส่องผ่านชั้นของเมฆลงมา ส่งผลให้ความชุ่มชื้นที่เหลือจากเมื่อวานค่อยๆ สลายไป
ซินหรูตื่นแต่เช้ากำลังอ่านตำราอยู่ในลานเรือน อากาศเริ่มหนาวแล้วทำให้ผู้คนเบิกบานเล็กน้อย เมื่อเห็นหลินชิงเวยเปิดประตู ซินหรูหันมายิ้มตาหยี “พี่สาวตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
หลินชิงเวยรู้สึกแปลกใจยิ่ง นางบริหารแขนขาทั้งสี่ นวดคลึงคอของตนเอง แล้วหรี่ตามองท้องฟ้าภายนอก “เช้านี้เหล่านางสนมไม่ได้มาถวายพระพรหรือ?”
ซินหรูพูดอย่างยินดี “ฝ่าบาทมีพระราชกระแสรับสั่งต่อไปให้งดเว้นการมาถวายพระพรพี่สาวเจ้าค่ะ นอกจากมีเรื่องสำคัญเร่งด่วน หาไม่แล้วห้ามรบกวนพี่สาว หลิ่วผินและซูผินที่มาเมื่อวานนี้ล้วนหาข้อยุติด้วยตนเองแล้วเจ้าค่ะ”
หลินชิงเวยอดที่จะตะลึงงันไม่ได้ เมื่อวานนางจำได้ว่าบ่นเรื่องนี้ต่อหน้าเซียวจิ่นเพียงไม่กี่ประโยค คิดไม่ถึงว่าเขาจะจดจำได้แล้วถึงกับงดเว้นธรรมเนียมปฏิบัติอันเป็นกิจวัตรประจำวันโดยส่วนใหญ่ไป
ดังนั้นหลินชิงเวยจึงทุ่มเทแรงกายแรงใจและเวลากับเรื่องคัดเลือกนางสนมให้กับเซียวจิ่นอย่างเต็มที่ นางต้องปฏิบัติตามขั้นตอนการคัดเลือกบุตรสาวจากครอบครัวขุนนางใหญ่ที่ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมแต่โบราณมา สุดท้ายต้องเลือกสาวงามที่มีลักษณะโดดเด่นและหน่วยก้านดีออกมาสามคนจากสาวงามที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อม เพื่อมอบให้กับเซียวจิ่น ทว่าเซียวจิ่นดูเหมือนไม่มีท่าทีกระตือรือร้นแต่อย่างใด เพียงแต่แต่งตั้งตำแหน่งตามความเหมาะสมแล้วส่งตัวกลับไปยังตำหนักของตน
กระทั่งใกล้วันปีใหม่ภายในตำหนักในมีคนใหม่เพิ่มเข้ามาอีกรุ่นหนึ่ง หลินชิงเวยมักจะเห็นบรรดานางสนมแต่งกายด้วยอาภรณ์หลากหลายสีสันเดินไปมาภายในตำหนักใน และได้เพิ่มจำนวนนางกำนัลและขันทีอีกจำนวนหนึ่ง ทำให้ตำหนักในครึกครื้นขึ้นอีกสองส่วน
เซียวจิ่นไม่เคยเรียกตัวสนมมาปรนนิบัติ นางสนมแต่ละตำหนักเริ่มต่อสู้กันอย่างลับๆ ถึงขั้นที่หลินชิงเวยเห็นสตรีสวมอาภรณ์ผ้าโปร่งเนื้อบางสำหรับฤดูร้อนในฤดูหนาวเช่นนี้ ส่งผลให้ฤดูหนาวอันหนาวเหน็บดูแล้วมีสีสันเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย หลินชิงเวยเห็นแล้วอดที่จะลูบแขนของตนเองไม่ได้ พวกนางไม่รู้สึกหนาวเลยหรือไร?
ตำหนักในรัชสมัยนี้ดูจากภายนอกแล้วดูเหมือนปรองดองและสงบสุขอย่างยิ่ง ราวกับทั้งนอกวังและในวังล้วนกำลังเตรียมงานต้อนรับปีใหม่ แม้อากาศจะหนาวเหน็บทั้งวัน ทว่าตลาดนัดในยามกลางวันยังคงคึกคักเป็นปกติ ด้วยผู้คนล้วนต้องออกมาตลาดเพื่อจับจ่ายซื้อของใช้สำหรับเทศกาลวันปีใหม่
บางครั้งเซียวจิ่นเห็นสิ่งของแปลกหูแปลกตามาใหม่ที่ถูกส่งเข้ามาในวัง ทำให้เกิดความคิดบางอย่าง
วันนี้เซียวจิ่นเรียกตัวหลินชิงเวยเข้าเฝ้าที่ตำหนักซวี่หยาง
หลินชิงเวยมาถึงตำหนักซวี่หยาง เหล่านางกำนัลผู้ปรนนิบัติอยู่ในตำหนักบรรทมพากันออกไปด้านนอก นางเดินขึ้นบันไดเข้าประตูไปก็เห็นเซียวจิ่นยืนอยู่ข้างหน้าต่างในตำหนักบรรทม เขายืนเอามือไพล่หลังมองออกไปนอกหน้าต่าง
เขาหันกลับมาคลี่ยิ้มบางๆ ให้กับหลินชิงเวยด้วยใบหน้าคมสัน สง่างามไม่สามัญ
เพียงแต่วันนี้เซียวจิ่นมิได้สวมอาภรณ์ชุดคลุมมังกรเฉกเช่นยามปกติ วันนี้เขาสวมอาภรณ์ชุดคลุมสีเงินยวงชุดหนึ่ง ตามชายแขนเสื้อปักลวดลายวิจิตรบรรจง มีหยกสีเขียวชิ้นหนึ่งประดับอยู่ข้างเอว เส้นผมดำขลับถูกรัดตรึงไว้ด้วยเกี้ยวหยกสีขาว ดูแล้วเป็นหนุ่มน้อยรูปงามดึงดูดสายตายิ่งนัก
ทว่าหลินชิงเวยมักจะรู้สึกเสมอว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายดายเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้นเซียวจิ่นจึงแต่งกายเช่นนี้? ในวังหลวงแห่งนี้ยังมีผู้ใดกล้าเทียบรัศมีกับเขาหรือ? อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ในมือเขากลับถือพัดเล่มหนึ่ง
เซียวจิ่นเอ่ยปากขึ้นก่อน “ชิงเวย เจิ้นแต่งกายเช่นนี้ พอใช้ได้หรือไม่?”
หลินชิงเวยพยักหน้า “ดียิ่งเพคะ ฝ่าบาทสวมฉลองพระองค์มังกรจนเบื่อแล้วหรือเพคะ?”
แววตาของเซียวจิ่นเบิกบานปานบุปผาในวสันตฤดู “วันนี้เจิ้นจะออกนอกวัง ชิงเวย เจ้าไปเดินเป็นเพื่อนเจิ้นนอกวังสักหน่อยเถิด”
“…อะไรนะ?” หลินชิงเวยคิดว่านางต้องฟังผิดแน่ๆ
เซียวจิ่นกล่าวกลั้วหัวเราะ “เจิ้นได้ยินมาว่าวันนี้ คณะละครเทียนสุ่ยหยวนลี่หยวนจะเปิดแสดงละครเรื่องใหม่ในเมือง เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนัก เจิ้นดูเหมือนยังไม่ได้ออกไปเดินๆ นอกวัง อย่างไรวันนี้เจิ้นมีเวลาว่างจึงอยากให้เจ้าไปเดินเป็นเพื่อนเจิ้น”
ดูแล้วนางไม่ได้ฟังผิด แต่เป็นเพราะสมองของเซียวจิ่นชักกระตุกมากกว่า
หลินชิงเวย “วันนี้เสด็จอาไม่อยู่เป็นแน่เพคะ”
เซียวจิ่นไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
หลินชิงเวยใช้หางตามองเขา “หากเสด็จอาอยู่จะยอมให้ฝ่าบาททำตัวเหลวไหลได้อย่างไรเพคะ?” ไม่ใช่นางขี้ขลาดตาขาว ต่อให้นางกล้าหาญกว่านี้ก็ไม่อาจพาเซียวจิ่นออกจากวังหลวงได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าตนเองไม่คุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมนอกวังหลวง ครั้งก่อนเดินเที่ยวตลาดกับเซียวเยี่ยนจึงถูกลอบสังหาร ครั้งนี้หากพบกับมือสังหารอีกนางและเซียวจิ่นล้วนไม่มีวรยุทธ์ ถึงเวลานั้นคงได้แต่ขึ้นสวรรค์ไปสวดมนต์ภาวนาให้กับพระยูไลแล้ว!
นางไม่ทำหรอก!
หลินชิงเวยพูดอีกว่า “วันนี้มีงานมากมายที่ฝ่าบาทยังไม่ได้ทำหรือไม่เพคะ อย่างเช่นยังอนุมัติฎีกาไม่หมด? เรื่องเร่งด่วนที่เหล่าขุนนางใหญ่รอฎีกาอนุมัติจากฝ่าบาท?”
เซียวจิ่นอมยิ้ม “ฎีกาที่ส่งขึ้นมาในเช้าวันนี้น้อยกว่าปกติ อีกไม่นานจะเป็นวันหยุดของขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำมากมายนักแล้ว ราชสำนักว่างเว้นที่สุดก็เป็นช่วงเวลานี้ของทุกปี เจิ้นเองก็ไม่ยกเว้น”
หลินชิงเวยเงียบขรึมแล้วเสนอความเห็น “หรือไม่ฝ่าบาทจะไปเดินๆ ในตำหนักในสักหน่อย บรรดานางสนมชุดใหม่ที่เพิ่งเข้ามาฝ่าบาทยังไม่ได้เรียกตัวเข้าเฝ้าเลยนะเพคะ”
ดวงตาของเซียวจิ่นโค้งลง “ชิงเวย เจ้าคงไม่ได้กลัวเสด็จอากระมัง?”
หลินชิงเวย “หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับฝ่าบาท เสด็จอาคงต้องถลกหนังหม่อมฉันกระมัง”
“ไม่เป็นไร มีเจิ้นอยู่ เขาไม่ถลกหนังเจ้าหรอก” เซียวจิ่นมองการแต่งกายของหลินชิงเวยแล้วรอยยิ้มกดลึกยิ่งขึ้น “ดูการแต่งกายสีเรียบง่ายในยามปกติของเจ้าแล้ว จะอยู่นอกวังหรือในวังล้วนไม่แตกต่าง” เขาสาวเท้าเดินเข้ามาหลินชิงเวย “ไปเถิด รถม้ารออยู่ด้านนอกแล้ว”
“นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เพคะ ฝ่าบาทไม่บอกกับเสด็จอาสักหน่อยหรือเพคะ? ถ้าหาก...”
“ไม่ต้อง” เซียวจิ่นเดินออกนอกประตูไปอาภรณ์สีขาวปลิวพลิ้ว “ในเมื่อเจิ้นต้องการออกจากวัง ย่อมต้องเตรียมการเรื่องความปลอดภัยไว้แล้ว ชิงเวยเจ้าวางใจเถิด ลำพังแค่พาเจ้าออกไปด้วยเจิ้นย่อมไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้า”
เซียวจิ่นพูดอย่างผู้เตรียมการรอบคอบ หลินชิงเวยมุมปากกระตุกคิดในใจว่าเซียวจิ่นผู้นี้มิได้เป็นผู้ใหญ่ก่อนวัยเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือน้ำเสียงในการพูดจา ล้วนไม่เหมือนผู้ที่อ่อนวัยกว่านางถึงสามปี แต่เป็นผู้มีอายุมากกว่านางสามปี
เซียวจิ่นเห็นหลินชิงเวยยังยืนอยู่กับที่จึงหันกลับมามอง พูดกับหลินชิงเวยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ชิงเวย เจ้าเชื่อเจิ้นสักครั้งจะเป็นไรไป?”
ไม่ใช่นางไม่เชื่อ…ช่างเถอะ นางกลัวว่าจะเกิดเรื่องแล้วจะหาความยุ่งยากให้กับตนเอง หากเซียวเยี่ยนอยู่ เขาจะทำอย่างไรนะ?
หลินชิงเวยพูดเนิบๆ “ครั้งก่อน เรื่องประหารเก้าชั่วโคตรสกุลกู้ เสด็จอาพูดกับหม่อมฉันอย่างไร ขอฝ่าบาทจดจำไว้ให้ชัดเจนเพคะ”
เซียวจิ่นมีสีหน้าเรียบเฉย “เจิ้นไม่มีทางยอมให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นอีก เจิ้นมีกำลังปกป้องเจ้า” ต่อมาเขาเดินไปด้วยพูดไปด้วย “ฮ่องเต้ที่อาศัยอยู่แต่ในวังหลวงไม่เคยออกไปข้างนอก ไม่อาจได้ยิน ได้ฟังและสัมผัสกับไพร่ฟ้าของตนด้วยตัวเอง ใบไม้เพียงใบเดียวปิดดวงตาทำให้มองไม่เห็นภูเขาไท่ซานจะเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้อย่างไร? เจิ้นไม่ใช่เด็กเล็กๆ อีกแล้ว ช้าเร็วย่อมต้องออกไปเดินดูข้างนอก”
เขาพูดถึงขั้นนี้แล้ว ดูท่าตัดสินใจแน่วแน่ อีกทั้งไม่ต้องการให้เซ่อเจิ้งอ๋องขัดขวางเขา
แต่ทำแบบนี้…ก็ไม่จำเป็นต้องดึงนางเข้ามาเกี่ยวข้องนี่นา
หลินชิงเวยเงียบขรึม นางคิดจะปรึกษากับเขาสักหน่อย “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ไปได้หรือไม่เพคะ?”
เซียวจิ่นก้มหน้าลงมองนางแล้วพูดยิ้มๆ “ไม่ได้ หาไม่แล้วเจิ้นคงเงียบเหงาตลอดทาง”
หลินชิงเวยทอดถอนใจ เดินเข้าไปหาเขาและมองเข้าไปในดวงตาเซียวจิ่น “ฝ่าบาทกำลังทรงเลียนแบบหนุ่มน้อยใช่หรือไม่เพคะ? หนุ่มน้อยเหล่านั้นเมื่อถึงฤดูเหมันต์จะไม่ถือพัดติดตัวเพคะ”
เซียวจิ่นมองพัดในมือของตน แล้วโยนพัดให้กับขันทีหน้าประตู เขาพูดอย่างยินดี “ชิงเวย นี่คือเจ้าตอบตกลงแล้วใช่หรือไม่?”
หลินชิงเวยทางหนึ่งเดินไปพร้อมกับเขาอีกทางหนึ่งพูดว่า “ที่จริงละครของคณะเทียนสุ่ยหยวนก็ไม่ได้น่าดูนักเพคะ”
“ใช่หรือ” เซียวจิ่นกล่าว “แต่ได้ยินว่าคณะละครเทียนสุ่ยหยวนมีชื่อเสียงที่สุด ตกลงว่าน่าดูหรือไม่น่าดู เจิ้นดูแล้วจึงจะรู้กระมัง”
เมื่อเดินมาถึงประตูตำหนักซวี่หยาง มีรถม้ารออยู่ที่นั่นจริงๆ เหตุใดก่อนหน้านี้เมื่อหลินชิงเวยเดินเข้าไปจึงมองไม่เห็น
มีคนขับรถม้าสี่คนสวมอาภรณ์ในชุดรัดกุมสีดำยืนอยู่ข้างรถม้า เมื่อเห็นเซียวจิ่นออกมาพวกเขาคุกเข่าข้างเดียวลงบนพื้น ถวายคำนับโดยไร้สุ้มเสียง
หลินชิงเวยดูออกได้ไม่ยากว่าสี่คนนี้ล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ทว่ายังคงห้ามให้หลินชิงเวยเป็นกังวลไม่ได้
เซียวจิ่นอ่านความในใจของนางออก ขณะที่คนขับรถม้าประคองเขาและหลินชิงเวยขึ้นรถม้าเขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “คนขับรถม้าทั้งสี่คนนี้ล้วนเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งที่คัดเลือกจากองครักษ์จิ่นเวยของวังหลวงทั้งสิ้น”
ต่อมารถม้าหันหัวกลับมุ่งหน้าออกจากวังหลวง ภายในรถม้ากว้างขวางอย่างยิ่ง หลินชิงเวยและเซียวจิ่นจะนั่งหรือจะนอนล้วนไม่เป็นปัญหา
ตรงกลางมีโต๊ะตัวหนึ่ง มีของว่างหลายอย่างวางเอาไว้ บนตั่งมีผ้าห่มหนาๆ วางอยู่ผืนหนึ่ง หลินชิงเวยเอนกายพิงกับผนังรถม้าที่บุนวมนุ่มนิ่มเอาไว้ห่มผ้าห่มรถม้าโยกไหวเบาๆ ให้ความรู้สึกสบายตัวจนเกือบจะหลับไป
ราวกับเมื่อนางหลับตาลงไม่ใช่นางไม่รู้สึกตัวว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องร่างของตนมาจากฝั่งตรงข้าม แต่ในเมื่อนั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกันวิธีการที่ดีที่สุดเพื่อไม่ให้เซียวจิ่นคิดเหลวไหลก็คือไม่มองไม่พูด
นางไม่จำเป็นต้องมีสติตลอดเวลาที่อยู่ต่อหน้าเซียวจิ่น ทำตัวโง่เขลาบ้างเป็นบางครั้ง ทำตัวตลกขบขันบ้าง เช่นนี้จึงไม่กระอักกระอ่วนใจมากนัก
เมื่อเซียวจิ่นเห็นหลินชิงเวยหลับตาเข้าสู่ห้วงนิทรา เขามีคำพูดที่อยากจะพูดแต่ไม่อาจเอ่ยปากออกมาได้ เขามองใบหน้างดงามของหลินชิงเวยนิ่งลึก ราวกับมองอย่างไรก็มองไม่พอ ทว่าสุดท้ายเมื่อนั่งอยู่บนรถม้าที่โยกไหวไปมา ให้ความรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวจึงหลับตาลงค่อยๆ หลับใหล
ต่อมาเมื่อถึงตลาดนัดริมถนน เซียวจิ่นหันเหความสนใจ ค่อยๆ เลิกผ้าม่านหน้าต่างมองไปข้างนอกด้วยความอยากรู้อยากเห็น
บนถนนมีรถม้า ผู้คนสัญจรไปมาอย่างคึกคัก บรรยากาศความสงบสุขอบอวลไปทั่ว ทำให้เซียวจิ่นรู้สึกภาคภูมิใจและพึงพอใจ
ในเมื่อสถานที่แห่งนี้คือใต้พระบาทโอรสสวรรค์ หากไม่มีบารมีของโอรสสวรรค์ ประชาราษฎร์จะอยู่อย่างเป็นสุขได้อย่างไร
รถม้าหยุดลงห่างจากโรงละครคณะเทียนสุ่ยหยวนราวๆ ครึ่งสายถนน ด้วยถนนสายนี้มีรถม้ามากมายแน่นแออัด ทุกคนล้วนมุ่งหน้ามาชมละครเหมือนเซียวจิ่นจึงไม่อาจนั่งรถม้าเข้าไปได้
ด้วยความจนใจบ่าวรับใช้ของคณะเทียนสุ่ยหยวนจึงออกมาบอกความให้รถม้าของแต่ละสกุลหยุดรออยู่ข้างทาง แล้วให้เดินเท้าเข้าไปในคณะลี่หยวน
การจราจรทั้งหมดติดขัด ล้วนเป็นเพราะทุกคนกินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำนี่นา
เซียวจิ่นมีความสุขด้วยได้รับอิสระ เขากระโดดลงจากรถม้าระยะทางเพียงไม่กี่ก้าวเขาเดินเข้าไปก็ไม่เป็นไร เมื่อลงมาเป็นเป้าหมายสายตาผู้คนล้วนเป็นครอบครัวชนชั้นสูงที่มีบ่าวรับใช้ชายและสาวใช้ติดตามมาด้วย เซียวจิ่นอยู่ท่ามกลางฝูงคนเช่นนี้จึงไม่เป็นที่สะดุดตาผู้คน
เขากลัวว่าจะพลัดหลงกับหลินชิงเวยจึงเดินจูงมือหลินชิงเวยเข้าไปในคณะละครเทียนสุ่ยหยวนลี่หยวน
ลูกค้าที่เข้ามาชมละครในวันนี้มีจำนวนมากจริงๆ โรงละครแบ่งเป็นสองชั้นบนและล่าง โถงใหญ่ชั้นล่างแออัดไปด้วยผู้คน ส่วนชั้นบนนั้นที่นั่งราคาแพงกว่าชั้นล่างถึงหนึ่งเท่าตัว ลูกค้าที่นั่งล้วนแบ่งเป็นโต๊ะส่วนตัว
ในเมื่อเซียวจิ่นเตรียมการมาเป็นอย่างดี ย่อมต้องซื้อตัวมาแล้วสองใบ เขาและหลินชิงเวยนั่งอยู่ในตำแหน่งตรงกลางเวทีละครของชั้นสอง นี่เป็นที่นั่งของแขกชั้นสูง สามารถชมละครบนเวทีได้อย่างชัดเจน
เมื่อละครเริ่มเปิดฉาก สาวใช้เดินเข้ามารินน้ำชาให้ทันที
ด้านนอกผ้าม่าน คนขับรถม้าสี่คนยืนอยู่ที่นั่นไม่ไหวติงราวกับท่อนไม้ ไม่เพียงเท่านี้ หลังจากหลินชิงเวยนั่งลงแล้วมักจะรู้สึกว่ามีสายตามาจากทิศทางใดทิศทางหนึ่งจับจ้องโต๊ะที่นางและเซียวจิ่นนั่งอยู่
เซียวจิ่นเห็นท่าทีระมัดระวังของหลินชิงเวยแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ชิงเวย เจ้าไม่ต้องตื่นเต้น วันนี้พวกเราออกมาชมละครก็ชมละครให้สนุกเถิด”
หลินชิงเวยได้ยินเช่นนั้นจึงเอียงหน้ามามองท่าทีไม่เดือดเนื้อร้อนใจของเซียวจิ่น ปลายนิ้วขาวประดุจหยกนั้นลูบไปตามขอบถ้วยน้ำชาแล้วยกขึ้นชิดริมฝีปากจิบน้ำชาคำเล็กๆ คำหนึ่ง ปากแดงฟันขาวน่าดูยิ่งนัก