เซียวจิ่นพูดอย่างสงบ “ขอโทษเสด็จอา เป็นเจิ้นที่ชะล่าใจ ครั้งหน้าเจิ้นจะบอกกล่าวกับเสด็จอาเป็นแน่ ไม่ให้เสด็จอาต้องกังวลใจ”
หลินชิงเวยอยู่ด้านข้างพยายามทำให้ความมีตัวตนของตนเองมีอยู่น้อยที่สุด บทสนทนาระหว่างสองอาหลานมักจะทำให้นางทำตัวไม่ถูกอยู่เสมอ
รอเมื่อกลับมาถึงในวัง เวลากว่าครึ่งค่อนวันได้ผ่านไปแล้ว วันนี้นับได้ว่ากลับมาอย่างปลอดภัย เซียวจิ่นกลับไปพักผ่อนในตำหนักซวี่หยาง เดิมทีเขาคิดจะรั้งหลินชิงเวยไว้ข้างกายเพื่อหลบหนีการคาดโทษจากเซียวเยี่ยน แต่เมื่อเห็นท่าทางเหนื่อยล้าของหลินชิงเวยแล้วก็มิอาจหักใจได้ จึงให้คนส่งนางกลับตำหนักฉางเหยี่ยน
เห็นได้ชัดว่าเซียวเยี่ยนไม่ได้สร้างความลำบากใจให้นางเพราะเรื่องนี้ เขากลับไปทำงานของเขาตามเดิม
ยามบ่ายหลินชิงเวยงีบหลับไปตื่นหนึ่ง กลางคืนนางกำลังให้อาหารนกพิราบอยู่ข้างหน้าต่าง เมล็ดข้าวโพดนอนอยู่บนฝ่ามือเล็กน่ารัก ลูกนกพิราบกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
ชิงหลันเลื้อยอยู่บนมุมโต๊ะ มันถลึงตาใส่นกพิราบ นกพิราบโง่เขลายิ่งนัก ทางหนึ่งกินไม่หยุดปากอีกทางหนึ่งส่งเสียงร้องกรู๊ๆ
หลินชิงเวยลูบหัวของชิงหลัน นางหลุดหัวเราะ “อย่าทำให้มันตกใจ และอย่าคิดจะรังแกมัน แจ่มแจ้งหรือไม่”
ชิงหลันส่ายหัวและหางไปมา แล้วจึงเลื้อยเข้าไปพักผ่อนในมุมหนึ่ง
“ก๊อกๆๆ” มีสิ่งของอะไรกำลังจิกกรอบหน้าต่างอยู่
หลินชิงเวยเพิ่งจะส่งเสียง “หากข้าไม่เปิดหน้าต่างให้ท่าน ท่านจะยืนอยู่ข้างนอกทั้งคืนหรือไม่”
พูดแล้วนางก็ลุกขึ้นไปเปิดประตูหน้าต่าง เห็นนกพิราบสีขาวอีกตัวหนึ่งเกาะอยู่บนกรอบหน้าต่างมันกำลังจิกกรอบหน้าต่างสุดกำลัง เมื่อเห็นเจ้าของเปิดหน้าต่างจึงบินเข้ามาข้างในตัวหนึ่ง นกพิราบทั้งสองตัวจึงเกาะอยู่บนกรอบหน้าต่างอย่างชื่นมื่น
ด้านนอกหน้าต่างยังมีเงาร่างสูงใหญ่เหยียดตรงยืนอยู่อีกคนหนึ่ง ใบหน้าด้านข้างของเซียวเยี่ยนอยู่ท่ามกลางแสงเทียนประเดี๋ยวสว่างประเดี๋ยวมืด
หลินชิงเวยมองนกพิราบ นางเอ่ยขึ้นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เจ้านกสองตัวนี้แสดงความรักพร่ำเพรื่อจะแย่ ท่านเคยคิดจะตั้งชื่อให้พวกมันหรือไม่?”
“เจ้าตั้ง”
หลินชิงเวยครุ่นคิด “เรียกพวกมันว่า หยางชุนไป๋เสวี่ย ก็แล้วกัน ตัวของท่านชื่อ หยางชุน ของข้าชื่อ ไป๋เสวี่ย” ต่อมานางปล่อยหยางชุนและไป๋เสวี่ยให้บินออกไป แล้วพูดอีกว่า “ยังยืนทื่ออยู่ที่นั่นทำไมกัน ข้างนอกเย็นสบายหรือ?”
เซียวเยี่ยนแตะกรอบหน้าต่างแล้วพลิกกายเข้ามา หัวไหล่ของเขายังมีไอเย็นของรัตติกาลหลงเหลืออยู่ เส้นผมสีดำขลับที่สายลงบนอาภรณ์สีม่วงของเขาล้วนเย็นเยียบ งดงามประดุจภาพวาดภาพหนึ่ง
หลินชิงเวย “ท่านคงไม่ได้มาเอาผิดกับข้าด้วยเรื่องเมื่อกลางวันกระมัง” ไม่รอให้เซียวเยี่ยนถามไถ่ นางเอ่ยปากขึ้นก่อน “ข้ารู้ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาข้าย่อมรับผิดชอบไม่ไหว ถึงเวลานั้นท่านคงมีกระทั่งความคิดที่จะสังหารข้ากระมัง ดังนั้นข้ามิใช่ให้ไป๋เสวี่ยไปส่งข่าวให้ท่านหรือไร”
เซียวเยี่ยนไม่ได้พูดจา เขาเพียงแต่มองนางนิ่งๆ นัยน์ตาดำขลับของดวงตาเรียวรูปหงส์โค้งราวกับทางช้างเผือก นิ่งลึกไร้ขอบเขต
หลินชิงเวยอดที่จะลูบใบหน้าของตนไม่ได้ “บนหน้าข้ามีอะไรหรือ?”
น้ำเสียงของเซียวเยี่ยนก้องกังวานรื่นหูหาใดเปรียบ “ต่อไปอย่าทำร่วมทำเรื่องเลอะเลือนกับฝ่าบาทอีก” หยุดไปครู่หนึ่งเขาพูดอีกว่า “ระยะนี้เจ้าอยู่ในวังหลวงต้องระมัดระวังให้มาก แม้ไทเฮาจะถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักคุนเหอ บัดนี้ในวังหลวงมีผู้คนมากมายอย่าได้ประมาท ทางด้านฝ่าบาทเจ้าควรจะรู้หนักรู้เบา ยังมีอีก หากเกิดอันตรายขึ้น ต้องหาเซียวฉีทันที”
หลินชิงเวยตกตะลึง พูดยิ้มๆ ด้วยความหลากใจ “ไฉนฟังคำพูดของท่านแล้วไม่เหมือนมาเอาผิด แต่กลับเหมือนจะมาร่ำลา”
“อืม” เซียวเยี่ยน “เปิ่นหวางต้องออกจากเมืองหลวงสักเที่ยว”
“เหตุใดเล่า?” หลินชิงเวยหัวใจหนักอึ้ง
“ใกล้ปีใหม่แล้ว ในเมืองซั่งจิงสงบสุขเกินไป แต่ทางด้านหนานเจียงมีภัยธรรมชาติจากหิมะและอากาศแห้งแล้ง ราชสำนักเจียดเงินช่วยเหลือลงไปเปิ่นหวางไม่อาจไม่ลงใต้ด้วยตนเอง”
“ง่ายดายเช่นนี้จริงๆ หรือ”
“อืม”
หลินชิงเวยหรี่ตาลงมองท่าทีสงบนิ่งของเซียวเยี่ยนแล้วรู้สึกโกรธขึ้งอย่างไม่รู้ตัว นางเดินเข้าไปใกล้เขาและพูดว่า “ข้าว่านะเซียวเยี่ยน ตกลงท่านเป็นเซ่อเจิ้งอ๋องของราชสำนักยังต้องออกไปตรากตรำทำงานเหนื่อยยากทั่วแคว้น ราชสำนักใหญ่เพียงนี้ นอกจากท่านแล้วไม่มีใครสักคนรับผิดชอบได้เลยหรือ?” เซียวเยี่ยนก้มหน้าลงมองนางเงียบๆ นางหลุบตาลงเนิ่นนาน พูดเสียงเบาว่า “ต้าเซี่ยขาดท่านแค่คนเดียวแล้วฟ้าจะถล่มลงมา ข้าไม่เชื่อ มีเรื่องใดที่ท่านต้องเดินทางไปหนานเจียงให้ได้ อวิ๋นหนานอ๋องหรือ?”
เซียวเยี่ยนรู้ดีว่าไม่ว่าเรื่องใดล้วนมิอาจปิดบังนางได้ “เรื่องภัยธรรมชาติเป็นเรื่องรองลงมา เรื่องสำคัญคือเรื่องที่ทางใต้รวมกำลังไพร่พลนับหมื่นไม่รู้ร่องรอย ยามนี้ได้เบาะแสมาบ้างแล้ว”
หลินชิงเวยจนด้วยคำพูด นางรู้ว่าเรื่องนี้มีความสำคัญ นางไม่อาจขัดขวางเซียวเยี่ยน
นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นประสานสายตากับเซียวเยี่ยน ดวงตาคู่นั้นสุกสกาวสะอาดบริสุทธิ์ “ดูแล้วคงเป็นไปไม่ได้หากข้าต้องการจะเดินทางไปพร้อมกับท่าน”
เซียวเยี่ยนขมวดคิ้วครู่หนึ่ง “การเดินทางครั้งนี้ยาวไกล ระหว่างทางเต็มไปด้วยอันตราย เจ้าไปไม่ได้”
หลินชิงเวยหยอกล้อเขา “ที่จริงแล้วเป็นเพราะข้าเป็นเจาอี๋ของฝ่าบาท ดังนั้นจึงไม่อาจเดินทางไปพร้อมท่านได้กระมัง เสด็จอา ท่านเรียนรู้หาข้ออ้างตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หากเป็นไปได้นางปรารถนาที่จะออกจากวังพร้อมเซียวเยี่ยนเพียงใด ไม่ว่าหนทางจะยาวไกลและมีอันตรายมากแค่ไหน ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีกตลอดไป เห็นเซียวเยี่ยนไม่พูดจา หลินชิงเวยจึงพูดอีกว่า “ออกจากเมืองหลวงเมื่อใด?”
แสงตาของเซียวเยี่ยนนิ่งลึก “สามวันให้หลัง”
“ท่านบอกเรื่องนี้กับข้าล่วงหน้า คิดดูแล้ววันนั้นข้าคงไปส่งท่านไม่ได้” นั่นเป็นเรื่องของฝ่ายหน้า เซ่อเจิ้งอ๋องออกเดินทาง จะให้นางผู้ซึ่งเป็นสนมในตำหนักในไปส่งได้อย่างไร?
“อืม”
ดวงตาของหลินชิงเวยส่องประกายเจิดจ้า “ในเมื่อจะไปก็เดินทางอย่างวางใจเถิด ไม่ต้องกังวลเรื่องในวังหลวง” นางเขย่งปลายเท้าค่อยๆ แนบร่างของตนไปในอ้อมกอดของเซียวเยี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงเปื้อนยิ้ม “ข้าจะรักษาตัวประดุจหยกเพื่อเสด็จอา”
ร่างของเซียวเยี่ยนพลันแข็งเกร็ง ทว่าในที่สุดยังคงทนไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นโอบกอดนางเอาไว้
เขาพบว่าเขากำลังจะออกจากเมืองหลวง ทว่าสตรีในอ้อมกอดคนนี้กลับทำให้เขาหักใจไม่ได้
เซียวเยี่ยนรั้งอยู่ในห้องหลินชิงเวยครึ่งคืนรอกระทั่งหลินชิงเวยหลับไปแล้วเขาจึงออกไปอย่างเงียบเชียบ ก่อนออกไปเขาไม่ลืมดับโคมไฟให้นางพร้อมกับปิดหน้าต่างอย่างดี
นางลืมตาขึ้นเงียบๆ ท่ามกลางความมืด การเดินทางไปหนานเจียงครั้งนี้ระยะทางเป็นพันลี้ หลินชิงเวยไม่รู้ว่าเซียวเยี่ยนจะกลับมาเมื่อใด มีความเป็นไปได้ว่ากว่าเขาจะกลับมาก็เข้าสู่ปีใหม่แล้ว
ไพร่พลนับหมื่นสูญหายไร้ร่องรอยจะต้องมีแผนการไม่สามัญเป็นแน่ หลินชิงเวยเชื่อในความสามารถของเซียวเยี่ยน แต่ที่นางวางใจไม่ลงกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ในเมื่อมองไปในแผ่นดินต้าเซี่ยรวมไปถึงแคว้นเพื่อนบ้านโดยรอบ ผู้ปรารถนาปลิดชีวิตเขามีไม่น้อยเป็นแน่
เพียงแต่ทั้งๆ ที่รู้ว่าหนทางข้างหน้าเต็มไปด้วยอันตราย นางกลับมิอาจเดินไปพร้อมกับเขาได้
ยามกลางวันหลินชิงเวยได้ตระเตรียมห่อผ้าไว้ห่อหนึ่ง ในห่อผ้าล้วนเป็นยาสมุนไพรที่นางทำด้วยตนเองในยามปกติและอาภรณ์สำหรับผลัดเปลี่ยนของบุรุษสองชุด
ราชสำนักฝ่ายหน้ามีความเคลื่อนไหวอันใด ตำหนักในไม่ล่วงรู้แม้แต่น้อย หลังจากวันที่มาร่ำลาถัดมาสามวัน หลินชิงเวยไม่พบเซียวเยี่ยนอีกเลย หลินชิงเวยรู้สึกว่าภายในวังหลวงเงียบสงบผิดปกติ ไม่อาจพบหน้าเซียวเยี่ยนจึงทำให้นางรู้สึกว่าวังหลวงแห่งนี้เป็นกรงขังผู้คนอย่างแท้จริง