ถึงค่ำวันที่สามก็คือวันที่เซียวเยี่ยนจะออกเดินทาง หลินชิงเวยกำชับซินหรูหลายเรื่อง ไม่รู้ว่าสุดท้ายนางจะจดจำได้มากน้อยแค่ไหน แต่ได้ยินเซียวเยี่ยนบอกว่าให้เสี่ยวฉีรั้งอยู่ที่นี่ ต่อให้ต่อไปตนไม่อยู่ในวังหลวงระยะเวลาหนึ่ง เสี่ยวฉีย่อมต้องดูแลซินหรูเป็นอย่างดี
ก่อนฟ้าสางหลินชิงเวยได้เตรียมตัวเป็นอย่างดีแล้ว คืนนั้นนางมุ่งหน้าสู่ประตูวังหลวง หลินชิงเวยผ่านด่านหลายด่านอย่างราบรื่นด้วยนางมีหยกประจำตัวของเซียวเยี่ยนติดตัวมาด้วย ถือได้ว่ายามนี้นำมาใช้ประโยชน์ได้
นางรู้ว่าไม่สมควรทำเช่นนี้ ยามนี้นางยังได้ชื่อว่าเป็นหลินเจาอี๋ ไม่อาจติดตามเซ่อเจิ้งอ๋องไปได้ แต่นี่ไม่ใช่ความหุนหันพลันแล่น ระยะทางอันยาวไกลหากเซียวเยี่ยนพบกับหญิงเจ้าเล่ห์เช่นจู๋กุ้ยเหรินย่อมต้องมีอันตราย
นางไม่อาจปล่อยให้เซียวเยี่ยนตกอยู่ในอันตรายได้
ไพร่พลทหารนับหมื่นสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอยที่หนานเจียง หากหลินชิงเวยคาดการไม่ผิดเรื่องนี้ต้องเกี่ยวพันกับอวิ๋นหนานเป็นแน่ เมื่อเป็นเช่นนี้นางจะวางใจให้เซียวเยี่ยนไปที่นั่นได้อย่างไร?
หลินชิงเวยเตรียมม้าไว้ตัวหนึ่งแต่แรกแล้ว ขี่ม้าออกจากวังย่อมมีฐานะไม่สามัญ แต่นางไม่อาจคำนึงถึงเรื่องราวมากมายนัก และไม่อาจคำนึงถึงว่าตนต้องออกไปอย่างสงบเสงี่ยม นางรู้เพียงว่าเมื่อออกจากวังแล้วจะต้องมีม้าเร็วตัวหนึ่งจึงจะไล่ตามเซียวเยี่ยนได้ทัน ยามนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว หากตนเองไม่มีม้า หลังจากออกจากวังแล้วย่อมยากที่จะหาม้าสักตัวหนึ่ง
ประตูวังด่านสุดท้ายปรากฏอยู่เบื้องหน้า แสงสว่างเพียงเล็กน้อยเมื่อแรกค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นในคลองจักษุของหลินชิงเวย สุดท้ายประตูสูงใหญ่ของวังหลวงตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่นไม่เคลื่อนไหว
นอกประตูวังล้วนมีองครักษ์เฝ้ายามอย่างแน่นหนา แสงจากคบไฟส่องสว่าง
ขอเพียงออกไปจากที่นั่น นางก็จะได้รับอิสระเป็นการชั่วคราว
ยังไม่รอให้หลินชิงเวยขี่ม้าเข้าไปใกล้ พลันปรากฏองครักษ์จิ่นเวยหลายกองไม่รู้มาจากที่ใด แบ่งกำลังล้อมรอบหลินชิงเวยเพื่อขวางทางไปของนาง
คบไฟโดยรอบส่องสว่างต้นไม้สองข้างทาง หลินชิงเวยสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่อาจไม่ดึงรั้งสายบังเหียน นางก้มหน้าหลุบตาลงมองพวกเขา
หัวหน้าองครักษ์ถวายคำนับและกล่าวว่า “เจาอี๋เหนียงเหนียงไม่อาจออกจากวังในยามค่ำมืดได้ เชิญเหนียงเหนียงกลับไปเถิด!”
หลินชิงเวยสวมอาภรณ์ของบุรุษทั้งชุด ต่อให้องครักษ์เหล่านี้สามารถแยกแยะได้ว่านางเป็นสตรี แต่จะรู้ได้อย่างไรว่านางคือเจาอี๋เหนียงเหนียง?
หลินชิงเวยพูดเสียงเย็น “ข้ามีป้ายคำสั่งของเซ่อเจิ้งอ๋องอยู่ในมือ พวกเจ้ากล้าขัดขวางข้า?”
หัวหน้าองครักษ์เงียบขรึม “ฝ่าบาททรงมีพระบัญชา เชิญเหนียงเหนียงกลับวังพ่ะย่ะค่ะ!”
ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง เซียวจิ่นรู้แต่แรกแล้วว่านางจะออกจากวังกลางดึก?
หลินชิงเวย “หากเปิ่นกงไม่กลับเล่า?” พูดแล้วนางรั้งสายบังเหียนเพื่อบังคับให้ม้าพุ่งทะยานออกไปอีกครั้ง องครักษ์เหล่านี้ไม่กล้าขวางนางเช่นกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาไม่ได้ดึงดาบออกจากฝักเพื่อขัดขวางนาง
ยามนี้เองมีเสียงทอดถอนใจเบาๆ ดังขึ้น หลินชิงเวยหันหน้าไปมองเห็นเพียงชายอาภรณ์สีเหลืองสว่างท่ามกลางแสงไฟ รองเท้าสีทองคู่นั้นและลวดลายมังกรห้าเล็บประหนึ่งมีชีวิตชีวา
หลินชิงเวยค่อยๆ มองขึ้นไปตามชายอาภรณ์เห็นใบหน้าของเซียวจิ่น เขาเดินเข้ามาช้าๆ ยืนอยู่ข้างม้าของหลินชิงเวยไพล่มือทั้งคู่ไว้ด้านหลัง เขายืนนิ่งอยู่ที่นั่น ทว่ากลับมีกลิ่นอายแฝงอำนาจบารมีของฮ่องเต้กำจายออกมาอย่างไม่รู้ตัว
สายตาที่เขาทอดมองหลินชิงเวยยังคงอบอุ่นดังเดิม ในแววตาคู่นั้นยังปนเปไปด้วยความอ้างว้างและเจ็บปวดลึกๆ
เซียวจิ่น “ชิงเวย กลับไปกับเจิ้นเถิด”
หลินชิงเวยรู้สึกกดดันจนมิอาจพูดออกมาได้ นางได้แต่จ้องมองเซียวจิ่น
เซียวจิ่นเดินมาถึงข้างกายนางแล้วยกมือขึ้น มือขาวประดุจหยกและเล็บที่ตัดแต่งอย่างประณีตสะอาดสะอ้านในชายแขนเสื้อ เขาค่อยๆ กดมือลงบนมือของหลินชิงเวยที่กุมสายบังเหียน
หลินชิงเวยถามขึ้น “ฝ่าบาทรู้แต่แรกแล้วว่าข้าต้องทำเช่นนี้ ดังนั้นจึงให้คนมาดักรอที่นี่?”
ปรากฏว่าเซียวจิ่นออกแรงดึงรั้งข้อมือของหลินชิงเวยมาทางตนเอง หลินชิงเวยไม่ทันได้ป้องกันตัวร่างจึงสูญเสียสมดุลล้มมาทางเซียวจิ่น
นางไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มคล้ายมีคล้ายไม่มีบนริมฝีปากของเซียวจิ่น เซียวจิ่นกางแขนออกรับร่างของนางจากนั้นค่อยๆ วางนางลงบนพื้น
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นราวกับเมฆาเคลื่อนคล้อย ท่ามกลางสายตาขององครักษ์เหล่านั้นเห็นเพียงเซียวจิ่นจับมือหลินชิงเวยแล้วหลินชิงเวยกระโดดลงจากหลังม้ามาทางเซียวจิ่นพวกเขาไม่เห็นว่าเซียวจิ่นออกแรงดึงรั้งหลินชิงเวยมาทางเขา
เซียวจิ่น “ชิงเวย ยิ่งเจ้าทำเช่นนี้หากเสด็จอารู้เข้าเขาจะไม่ยินดี เจิ้นรู้ว่าเจ้าเป็นห่วงเขา แต่เจิ้นเป็นห่วงเจ้ามากกว่า”
หลินชิงเวย “แต่เขาอาจตกอยู่ในอันตราย” นางช้อนตาขึ้นมองเซียวจิ่นตรงๆ “หรือท่านไม่รู้เลย?”
“เสด็จอามีวรยุทธ์สูงส่ง ข้างกายยังมีองครักษ์นับไม่ถ้วน จะมีอันตรายได้อย่างไร?” สายตาของเซียวจิ่นเจิดจ้า
คนทั้งสองประสานสายตากันชั่วอึดใจหนึ่ง สุดท้ายยังคงเป็นเซียวจิ่นที่ยอมอ่อนข้อให้ เขาทอดถอนใจดึงหลินชิงเวยเข้ามาใกล้อีกเล็กน้อยและพูดเสียงเบาว่า “ยามนี้ต่อให้เจ้าไล่ตามไปก็ตามไม่ทันแล้ว เขาออกเดินทางตั้งแต่สองวันก่อน”
ม่านตาของหลินชิงเวยกะพริบถี่ๆ
เซียวเยี่ยน...คนเลวผู้นั้นถึงกับหลอกลวงนาง
“เมื่อเปรียบกับการไล่ตามไปอย่างไร้จุดหมาย ไม่สู้อยู่ในวังดีๆ รอข่าวคราวจากเสด็จอาเถิด” เซียวจิ่นปลอบโยนนาง “เชื่อว่าเขาจะกลับมาอย่างรวดเร็ว”
เซียวจิ่นพูดอย่างสบายใจเฉิบ หลินชิงเวยกล่าวอย่างไม่เกรงใจ “ฝ่าบาทคงเคยชินกับการที่เขาทำงานถวายชีวิตแทนท่านมาแต่แรกแล้วกระมัง ดังนั้นจึงคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ”
ฝีเท้าของเซียวจิ่นหยุดชะงัก น้ำเสียงนั้นเย็นเยียบ “เจ้าคิดว่าเจิ้นไม่เป็นห่วงเสด็จอางั้นหรือ ชิงเวย ในสายตาของเจ้า เจิ้นเหมือนคนไร้หัวใจเช่นนั้นหรือ”
หลินชิงเวย “หม่อมฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
“เจิ้นเป็นห่วงแล้วอย่างไรเล่า เจิ้นเป็นห่วงเสด็จอาแล้วเขาจะกลับมาทันทีได้หรือไม่ เจิ้นเป็นห่วงเสด็จอาแล้วเขาก็จะไม่ไปทำเรื่องเสี่ยงอันตรายได้หรือไม่ แต่เมื่อมองไปในราชสำนักแล้ว คนที่เจิ้นไว้เนื้อเชื่อใจได้มีเสด็จอาเพียงคนเดียว เจิ้นรู้เพียงว่าหากเปรียบเทียบกับการเป็นห่วงแล้วไม่สู้ทำเรื่องที่เสด็จอาฝากฝังไว้ให้ดี จึงจะไม่ทำให้เกิดสถานการณ์วุ่นวาย ไม่ทำให้เขาผิดหวัง สิ่งที่เจิ้นทำได้เพียงอย่างเดียวคือพยายามและพากเพียรยิ่งขึ้น”
หลินชิงเวยเดินมาหยุดเบื้องหน้าเซียวจิ่น นางกล่าวเบาๆ ว่า “ขอโทษ” แล้วไม่หยุดฝีเท้า ทว่าตรงเดินกลับเข้าไปข้างใน
แววตาของเซียวจิ่นทอประกายวาววับ จ้องมองเงาร่างด้านหลังของนางหายลับไปในความมืดมิด
ขณะเดียวกันทันทีที่หลินชิงเวยกลับไปถึงเรือนของตน นางโยนห่อผ้าในมือทิ้งไป แล้วสั่งการเสียงเย็น “เซียวฉี เจ้าไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”
ทันทีที่สิ้นเสียง เงาร่างสีดำสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากมุมมืดมุมหนึ่ง เขาคือเสี่ยวฉี
ซินหรูถามอย่างประหม่า “พี่สาว ท่านไม่ใช่…ไฉนจึงกลับมาอีกเจ้าคะ?”
หลินชิงเวยมองเสี่ยวฉี ทว่ากลับพูดกับซินหรู “ที่นี่ไม่มีเรื่องของเจ้าแล้ว เจ้าเข้าไปข้างใน”
“อ้อ” น้อยครั้งนักที่นางจะเห็นพี่สาวโมโห ยามนี้นางโมโหโกรธาเช่นนี้ย่อมมีสาเหตุแน่นอน ตนเองไม่อยู่ที่นี่เพื่อเพิ่มความยุ่งยากให้พี่สาว นางจึงเข้าไปในห้องอย่างเชื่อฟัง
เสี่ยวฉีพูดเสียงแข็ง “เหนียงเหนียงมีเรื่องใดจะบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
“มีเรื่องใดจะบัญชา?” หลินชิงเวยเดินเข้าไปหาเขาทีละก้าวๆ กลิ่นอายนั้นกดข่มผู้อื่นอยู่บ้าง ด้านหลังเสี่ยวฉีก็คือกำแพงเขาถอยจนถอยไม่ได้อีกแล้ว เพียงชั่วกะพริบตาหลินชิงเวยเข้ามาหิ้วปกคอเสื้อของเขา ลากเขาเข้ามาใกล้ถามเสียงเย็นว่า “เจ้ากล้าร่วมมือกับเจ้านายของเจ้ามาหลอกลวงข้า? เหตุใดเจ้าจึงไม่พูดสักคำว่าเขาออกเดินทางตั้งแต่สองวันที่แล้ว?!”