แววตาของไทเฮาไหววูบ กระทั่งรอยยิ้มบนใบหน้าก็แทบจะประคับประคองเอาไว้ไม่อยู่ ระหว่างที่นางตกอยู่ในภวังค์ หลินชิงเวยได้เดินออกไปไกลแล้ว ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธขึ้นมาเป็นริ้วๆ นางเอาแต่คิดที่จะแก้แค้นหลินชิงเวยและเซียวเยี่ยน แต่การส่งหลินชิงเวยไปถวายตัวให้กับเซียวจิ่นไม่ใช่กลยุทธ์ในระยะยาว หากหลินชิงเวยได้รับความโปรดปรานจริงๆ ชีวิตในตำหนักในที่เหลือของนางคงไม่มีวันมีความสงบสุขเป็นแน่แท้!
คำพูดเพียงประโยคเดียวของหลินชิงเวยทำให้นางตื่นจากความฝัน นางมองข้ามเรื่องสำคัญเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน!
ยามกลางคืนของเหมันตฤดูย่อมสั้นกว่าฤดูอื่นๆ เซียวจิ่นได้จัดให้ราชรถของตนไปรออยู่หน้าตำหนักฉางเหยี่ยนนานแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นการให้เกียรติปานใด
ภายในตำหนักฉางเหยี่ยนแขวนโคมไฟสีแดงสดใสเป็นทิวแถว บรรยากาศเช่นนี้ทำให้ผู้คนไพล่คิดไปว่าวสันตฤดูใกล้มาเยือน ดอกไห่ถังในวังหลวงต่างพากันบานสะพรั่ง
นางเดินออกมาขึ้นราชรถหน้าประตูตำหนักท่ามกลางการประคองของนางกำนัล ข้ารับใช้ของตำหนักซวี่หยางส่งเสียงขับร้องเป็นท่วงทำนองพร้อมเพรียงกัน จากนั้นจึงทำการเคลื่อนย้ายราชรถมุ่งหน้าไปยังตำหนักซวี่หยาง
ไทเฮามองขบวนเกียรติยศนั้นแล้วพลันมีความรู้สึกราวกับได้สะสางปมในใจของตน และรู้สึกเคียดแค้นชิงชังในขณะเดียวกัน
คิดไม่ถึงว่าเมื่อไทเฮาหันหลังเดินออกมาจากตำหนักฉางเหยี่ยน กลับพบว่ามีคนกำลังมองขบวนเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ที่เดินห่างออกไปไกลด้วยน้ำตาคลอเบ้านั่นเช่นกัน
นางยืนหลบอยู่ในมุมลับหลังพุ่มไม้ ข้างกายมีเพียงนางกำนัลนางหนึ่งเป็นผู้ติดตาม ชัดเจนอย่างยิ่งว่าไม่ปรารถนาให้ผู้อื่นพบเห็น
โชคไม่ดีนักที่นางถูกไทเฮาพบเห็นเข้า
ไทเฮาถามหมัวมัวข้างกาย “ผู้ใดอยู่ทางด้านนั้น?”
“บ่าวไปเชิญนางมาถามไถ่ให้แจ่มแจ้งเดี๋ยวนี้เพคะ” พูดแล้วหมัวมัวอาวุโสท่านนี้ก็รีบเดินเข้าไป
เดิมทีสตรีนางนั้นกำลังคิดจะพานางกำนัลออกจากที่นั่น ใครเล่าจะรู้ว่าหมัวมัวจะมาเชิญตัวนาง นางไม่กล้าขัดต่อพระเสาวนีย์ของไทเฮา ได้แต่เดินออกมาจากพุ่มไม้แล้วเดินไปหาไทเฮาด้วยท่วงท่าราวกับกิ่งหลิวต้องลมพร้อมกับกล่าวถวายพระพร “หม่อมฉันถวายพระพรไทเฮาเหนียงเหนียงเพคะ”
ไทเฮาคุ้นหน้าคุ้นตาสตรีรูปโฉมงดงามเบื้องหน้า ทว่ากลับนึกไม่ออก
มีสาวงามรุ่นใหม่เพิ่งเข้าวังมา ไทเฮาล้วนไม่เคยได้พบปะพูดคุยกับพวกนาง นางเพียงเคยพบกับบุตรสาวของขุนนางใหญ่ในราชสำนักเป็นครั้งคราว ดังนั้นจึงรู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง
ท่ามกลางความคุ้นหน้าคุ้นตาของไทเฮา และเห็นอีกฝ่ายมีน้ำตาคลอเบ้า ราวกับเพิ่งจะร่ำไห้มา จึงไตร่ตรองแล้วถามว่า “เจ้าเป็นบุตรสาวของใต้เท้าจาง เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นซีเฟยใช่หรือไม่?”
“หม่อมฉันคือซีอันเพคะ เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ไทเฮาเหนียงเหนียงยังทรงจำได้เพคะ”
ไทเฮามีสีหน้าสีตาเห็นอกเห็นใจสตรีนางนี้ขึ้นมาสองส่วน จึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่เกรงใจว่า “หลายวันก่อนเปิ่นกงสวดมนต์อยู่ในตำหนักคุนเหอ กลับได้ยินว่าฝ่าบาทเรียกตัวเจ้าเข้าถวายงาน ปรากฏว่าไม่สำเร็จแล้วถูกส่งตัวกลับไป?”
ซีเฟยได้ยินแล้วใบหน้าพลันซีดขาว การลบหลู่ดูหมิ่นเยี่ยงนี้หากแพร่งพรายในตำหนักในย่อมยากที่จะเงยหน้าขึ้นได้ อีกทั้งฮ่องเต้ยังทรงรังเกียจนางถึงเพียงนั้น เกรงว่าต่อไปคงหมดโอกาสได้รับความโปรดปราน
ไทเฮาทอดมองนางจากมุมสูง แล้วหัวเราะออกมาครั้งหนึ่งก่อนกล่าวว่า “เพียงแต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เปิ่นกงเห็นรูปโฉมของเจ้างดงามพริ้มเพรา ไม่เหมือนคนที่จะไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ หากจะโทษก็ต้องโทษหลินเจาอี๋ที่มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับฮ่องเต้ วันนี้เรียกตัวหลินเจาอี๋เข้าถวายงานโดยไม่ได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของวังหลวง กลับประทานเสื้อคลุมหงส์ราวกับออกเรือนก็ไม่ปาน”
ซีเฟยก้มหน้าต่ำรับฟังอย่างเคารพนอบน้อมตลอดเวลา
ไทเฮาตวัดสายตามองนางอีกครั้ง “ต่อไป หากเจ้าเฉลียวฉลาดขึ้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส”
ซีเฟยยอบกายลงถวายคำนับ “หม่อมฉันจดจำคำสอนของไทเฮาเหนียงเหนียงแล้วเพคะ”
ต่อมาไทเฮาเดินผ่านร่างของนางด้วยท่าทีหยิ่งผยอง ซีเฟยรอกระทั่งไทเฮาเดินจากไปไกลแล้วจึงยืดกายขึ้นเดินนำนางกำนัลกลับไป มาตรว่านางกำนัลผู้นั้นเป็นสาวใช้ที่นางพาเข้าวังจากครอบครัวเดิม พูดจาปากคอเราะรายตลอดทาง ล้วนเป็นคำพูดอาฆาตมาดร้ายต่อหลินเจาอี๋ เพียงซีเฟยไม่ได้แสดงท่าทีอันใดตั้งแต่ต้นจนจบ
ตำหนักซวี่หยางราวกับสว่างไสวขึ้นพร้อมกับการมาถึงของหลินชิงเวย เหล่าขันทีและนางกำนัลในตำหนักซวี่หยางต่างรับรู้ได้ถึงบรรยากาศชื่นมื่น
เสียงร้องบรรเลงขับขานต้อนรับจากประตูวังชั้นแล้วชั้นเล่า หลินชิงเวยลงจากราชรถด้านนอกประตูชั้นที่สอง เท้าเล็กๆ ของนางเยื้องย่างแผ่วเบา กระโปรงสีแดงบนร่างของนางสะบัดพลิ้วคลุมลงบนพื้นยาวเหยียด นางเดินเข้ามาอย่างแช่มช้าอย่างนั้นเอง
บนพื้นที่นางเดินผ่านล้วนปูด้วยพรมสีแดงชั้นหนึ่งไร้ซึ่งฝุ่นธุลี ชายกระโปรงสีแดงยาวลากพื้นของนางไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้
หัวใจของหลินชิงเวยดุจสายน้ำที่หยุดไหล เมื่อนางเดินเข้าไปในตำหนักของเซียวจิ่น ขันทีสี่คนด้านหลังปิดประตูตำหนักแล้วถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ นางเงยหน้าขึ้นเห็นตำหนักบรรทมอยู่เบื้องหน้าสายตา
เพียงแต่ขณะที่นางยกเท้าขึ้นยังไม่ทันรอให้นางก้าวไปข้างหน้า พลันมีสายลมวูบหนึ่งพุ่งเข้ามาปรากฏให้เห็นเงาร่างสีดำของคนโรยตัวลงมาจากเบื้องบน หลินชิงเวยยังไม่ทันมองให้ถี่ถ้วน เสี่ยวฉีก็ยืนอยู่เบื้องหน้านางเช่นนั้นเอง นางได้แต่ถอยกลับไปก้าวหนึ่ง
เสี่ยวฉีไม่พูดจาชั่วอึดใจหนึ่ง
หลินชิงเวยเลิกคิ้ว “อย่างไรเล่า เพิ่งจะคิดมาขัดขวางข้าในยามนี้?”
เสี่ยวฉีอ้าปากไม่รู้จะพูดอย่างไร ก่อนออกเดินทางเซ่อเจิ้งอ๋องเพียงแต่กำชับสั่งการให้เขาปกป้องคุ้มครองหลินชิงเวย แต่มิได้สั่งการอย่างอื่น แต่ยามนี้หลินชิงเวยต้องเข้าถวายตัวตามราชโองการ ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะเข้าติดตามไปด้วยได้ เพียงแต่…เขาแจ่มแจ้งดีในความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายของตนและหลินชิงเวย เขาเกรงว่าทันทีที่หลินชิงเวยก้าวเข้าไปแล้วจะไม่อาจหันกลับมาอีก
หากท่านอ๋องรู้เข้าจะเป็นอย่างไรนะ?
เสี่ยวฉีเม้มปากแล้วถามขึ้นว่า “เจาอี๋เหนียงเหนียงจะเข้าไปจริงๆ หรือ?”
หลินชิงเวยเอ่ยว่า “มีพระราชโองการลงมาแล้ว ข้ามีโอกาสปฏิเสธหรือไร”
ดูเหมือนเขาจะโกรธขึ้นมาบ้าง และรู้ทั้งรู้ว่าตนไม่มีคุณสมบัติจะโกรธเช่นกัน อย่างมากก็เป็นการเป็นเดือดเป็นแค้นแทนเจ้านายของตน เซ่อเจิ้งอ๋องออกเดินทางไปไม่นาน นางจำต้อง…เสี่ยวฉีพูดเสียงต่ำ “บังอาจถามเจาอี๋เหนียงเหนียง เช่นนี้แล้วเซ่อเจิ้งอ๋องอยู่ที่ใด?”
หลินชิงเวยได้ยินแล้วหัวเราะเบาๆ “คำพูดนี้ควรเป็นข้าถามพวกเจ้ามากกว่า เซ่อเจิ้งอ๋องก็ดี ฮ่องเต้ก็ช่าง หรือจะเป็นเจ้า เซียวฉี พวกเจ้าจะให้ข้าทำเช่นใดเล่า?
เสี่ยวฉีตอบไม่ได้ หลินชิงเวยเยื้องย่างเดินไปข้างหน้า เสี่ยวฉีไม่หลีกทางให้นาง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า “หากเจาอี๋เหนียงเหนียงไม่ยินยอม ข้าน้อยพาท่านจากไปได้”
หลินชิงเวยฟังแล้วหัวเราะออกมาพรืดหนึ่ง นางช้อนตาขึ้นมองเสี่ยวฉี นางอยู่ในอาภรณ์สีแดงงามวิลาสปานล่มเมือง ทว่ารอยยิ้มนั้นไปไม่ถึงดวงตา น้ำเสียงนั้นไพเราะงดงามและเยือกเย็นสุดจะเปรียบ “เจ้าจะมีความสามารถอันใดพาข้าจากไป หากยังไม่ไปอีก เกรงว่ากระทั่งตัวเจ้าเองก็ออกไปไม่ได้”
นางยืนอยู่ด้านนอกประตูตำหนักบรรทมของเซียวจิ่น เขาย่อมแจ่มแจ้งและกำลังรอคอยให้นางเข้าไป
พูดแล้วหลินชิงเวยไม่ใส่ใจเสี่ยวฉีอีก นางเดินผ่านเขาแล้วยกมือขึ้นเคาะประตู
“เข้ามาเถิด” เสียงที่ดังมาจากข้างในอบอุ่นอ่อนโยนประดุจหยก
หลินชิงเวยก้าวเข้าไปโดยไม่หันกลับมามองเสี่ยวฉีแม้แต่แวบเดียว
ภายในตำหนักบรรทมได้รับการตกแต่งใหม่ เทียนไขมังกรและหงส์เล่มใหญ่ ม่านมุ้งดอกพุดตานและเตียงผ้าแพร ไหนเลยจะยังเป็นตำหนักบรรทมของเซียวจิ่น นี่เป็นห้องที่ได้รับการจัดตกแต่งใหม่ชัดๆ
เมื่อหลินชิงเวยก้าวเข้าไป เซียวจิ่นเพิ่งจะยืดกายขึ้นจากกรอบหน้าต่าง เขามองไปยังความมืดมิดด้านนอกหน้าต่าง บนร่างของเขาไม่ได้สวมชุดคลุมมังกรสีเหลืองสว่างเช่นในยามปกติ แต่สวมเสื้อผ้าไหมแขนกว้างสีแดงทั้งชุด ชายอาภรณ์ล้วนปักลวดลายมังกรอันวิจิตรไม่สามัญ ลวดลายสีน้ำตาลนั้นขับให้ร่างของเขาสูงยิ่งขึ้น ส่งผลให้เขาดูอบอุ่นและสุภาพ