เขาหันกลับมาตามเสียงที่ได้ยิน นาทีที่เขาเห็นหลินชิงเวย ดวงตาของเขาเปล่งประกาย รอยยิ้มอันอบอุ่นที่เขายินยอมให้ปรากฏขึ้นในดวงตาเมื่อเห็นหลินชิงเวยเท่านั้น
เซียวจิ่น “ชิงเวย เจ้ามานี่ เจิ้นจำได้เมื่อแรกที่เจ้าเพิ่งเข้าวังมา เจิ้นกำลังต่อสู้กับความเจ็บปวดจากอาการเจ็บป่วย เจิ้นยังไม่รู้จักเจ้า มาบัดนี้ล่วงเลยมาเกือบปีแล้ว เจิ้นอยากชดเชยการแต่งงานกับเจ้าในครั้งนั้น ไม่รู้ว่าจะเป็นการสายเกินไปหรือไม่?”
หลินชิงเวยเห็นอารมณ์ในแววตาของเขาอย่างแจ่มชัด “ท่านต้องการให้ข้าปฏิบัติต่อท่านเฉกเช่นเห็นท่านเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง หรือบุรุษคนหนึ่งเล่า?”
สีหน้าของเซียวจิ่นแข็งค้างเล็กน้อย “แม้เจิ้นจะอายุน้อยกว่าเจ้าสามปี แต่เจิ้นไม่ใช่เด็กน้อยไม่รู้ประสาเช่นกัน ย่อมต้องปรารถนาให้ชิงเวยปฏิบัติต่อข้าเช่นประการหลัง”
“เช่นนั้นก็ดี” หลินชิงเวยพูดไปพร้อมกับปลดมงกุฎหงส์ออกจากศีรษะ ปิ่นทองที่อยู่บนเส้นผมส่ายไหวไปมา รวมไปถึงต่างหูทับทิมสีแดง รอยยิ้มที่นางมีต่อเซียวจิ่นในยามปกติค่อยๆ เลือนหายไป ราวกับเป็นสายลมอันเหน็บหนาวในยามค่ำคืนที่พัดผ่านน้ำค้างบนพื้นกระด้างแล้วแทนที่ด้วยความว่างเปล่า นางมองเซียวจิ่นตรงๆ และกล่าวว่า “ครั้งแล้วครั้งเล่าล้วนเป็นฮ่องเต้ไม่มีทางลง ดังนั้นจึงปรารถนาให้ข้าไม่มีทางลงเช่นกัน นี่คือสิ่งที่ฝ่าบาทต้องการใช่หรือไม่? ข้าไม่ใช่คนทำเพื่อคนอื่นสักเท่าใด แต่ทว่าข้าเห็นแก่หน้าของฝ่าบาทครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ให้ฝ่าบาทต้องลำบากใจประการใด บารมีของฝ่าบาทไม่เสื่อมเสียสักกระผีก ที่แท้สิ่งที่ต้องการก็คืออ้อมกอดของฝ่าบาทเช่นนั้นหรือ?”
“ชิงเวย…”
แสงสว่างจากเทียนไขที่สาดส่องดวงตาของหลินชิงเวยแจ่มชัด แต่ที่เซียวจิ่นมองเห็นในดวงตานอกจากความมีสติเต็มเปี่ยมแล้วมองไม่เห็นอย่างอื่นอีก
เซียวจิ่นกะพริบม่านตา ในดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เขาหัวเราะเสียงขื่น “หากเจิ้นวางหมากแต่ละก้าวเช่นที่เจ้าพูด เพื่อให้เจ้ารั้งอยู่ที่นี่ เจ้าจะคิดว่าเจิ้นเป็นคนต่ำช้าหรือไม่?”
หลินชิงเวยพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าฝ่าบาททำถึงขั้นใด”
เซียวจิ่นสูดลมหายใจเข้าลึก “ในเมื่อเจ้าล่วงรู้ทุกอย่าง เช่นนั้นเหตุใดยังต้องมาอีกเล่า? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อสักครู่ นาทีที่เจิ้นเห็นเจ้าก้าวเข้ามา เจิ้นคิดว่าเจ้าเปลี่ยนใจยินดีมายืนอยู่ข้างกายเจิ้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจิ้นยินดีเพียงใด?”
หลินชิงเวย “วันนี้ไทเฮาประทับอยู่ในตำหนักฉางเหยี่ยนทั้งวัน ข้าไม่อาจขัดต่อราชโองการ มีเพียงทางเลือกเดียวคือการเดินทีละก้าว ยามนี้มีเพียงข้าอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้จึงจะพูดจาให้กระจ่างแจ้งมิใช่หรือ? หรือเป็นเพราะที่แล้วมาข้าพูดไม่ชัดเจนพอ...”
“อย่าพูดอีกเลย!” เซียวจิ่นเอ่ยขัดหลินชิงเวยด้วยความร้อนรนสองส่วน เขามองหลินชิงเวยด้วยความเจ็บปวดและเอ่ยอย่างคับข้องใจ “เจ้าอย่าพูดได้หรือไม่? เจิ้น…ยังไม่อยากฟังตอนนี้”
เซียวจิ่นเดินมาถึงข้างโต๊ะ มือขาวนวลของเขาค้ำลงบนโต๊ะ ราวกับกำลังควบคุมอะไรบางอย่างสุดฤทธิ์ มีสุรากาหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ เขายื่นมือที่สั่นเล็กน้อยไปหยิบมารินให้ตนเองจอกหนึ่งแล้วส่งมาถึงข้างริมฝีปากของตนด้วยมือที่สั่นเทา แต่ไม่อาจทำให้เขาสงบสติอารมณ์ลงได้ เขาจึงหยิบสุรากานั้นกรอกใส่ปากของตน
หลินชิงเวยเห็นเช่นนั้นจึงแย่งกาสุรามาทันที
สุราเย็นใสรินรดลงบนปลายคางของเซียวจิ่นแล้วหยดลงบนอาภรณ์สีแดงของเขา ส่งผลให้กลิ่นของสุรากำจายไปทั่ว เขาลืมดวงตาทั้งคู่จับจ้องหลินชิงเวยพลางหอบหายใจเล็กน้อย
หลินชิงเวยขมวดคิ้ว “ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
เซียวจิ่นพูดงึมงำ “ขอโทษด้วยชิงเวย เจิ้นเพียงแต่คิด…จะสงบสติอารมณ์สักครู่ เป็นเวลาเนิ่นนานแล้วสิ่งที่เจิ้นต้องทำเป็นประจำเรื่องหนึ่งก็คือต้องการสงบสติอารมณ์เพียงลำพัง เจิ้นเห็นเจ้าและเสด็จอาอยู่ด้วยกัน เจิ้นต้องสงบสติอารมณ์ เจิ้นเพียงคิดว่าจิตใจของเจ้าไม่ได้อยู่ที่เจิ้น เจิ้นต้องสงบสติอารมณ์ มาบัดนี้เสด็จอาไม่อยู่ในวัง เจิ้นกลับรู้ว่าเจ้าคิดจะติดตามเขาไปทุกชั่ววินาที ทุกครั้งที่เจิ้นคิดจะเป็นเจ้าของตัวเจ้า…ทั้งหมดทั้งมวล ล้วนต้องควบคุมตนและสงบสติอารมณ์”
หลินชิงเวยแจ่มแจ้งดีว่าหากว่ากันด้วยวัยแล้ว เซียวจิ่นผู้อยู่เบื้องหน้านางมีอายุน้อยกว่าตนสามปี แต่เรื่องของจิตใจแล้วนั้นกลับไม่น้อยกว่าสิบปี เพียงแต่ยามนี้เมื่อนางได้ยินเซียวจิ่นเอ่ยความในใจตรงไปตรงมาเช่นนี้ เห็นความเจ็บปวดและความพยายามในแววตาของเขาแล้วในใจกลับรู้สึกหวาดกลัว
เซียวจิ่นหัวเราะเสียงขื่น ริมฝีปากแดงชุ่มชื้น ทั้งๆ ที่ริมฝีปากที่โค้งขึ้นนั้นชวนมองยิ่งนัก ทว่ากลับทำให้คนหัวใจสลาย เขามองหลินชิงเวยด้วยสายตาลุ่มลึกและกล่าวอีกว่า “ตั้งแต่เจิ้นลืมตาขึ้นเห็นเจ้าในวินาทีแรก เจิ้นก็รู้ว่าเจ้าไม่เหมือนสตรีคนอื่น เจ้ารักษาขาที่พิการของเจิ้น ทำให้เจิ้นยืนขึ้นมาได้ใหม่อีกครั้ง เจ้าช่วยชีวิตโดยไม่คำนึงถึงชีวิตของตนครั้งแล้วครั้งเล่า ปกป้องเจิ้นอย่างที่สุด ทำให้เจิ้นคิดว่า…” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย นัยน์ตาดำขลับของเขาฉาบด้วยละอองน้ำบางๆ ชั้นหนึ่ง “ตัวตนของเจิ้นในใจเจ้าย่อมแตกต่างออกไป…เจิ้นคิดว่าเจิ้นเป็นคนที่เจ้ายินดีที่จะปกป้องแม้ต้องแลกด้วยชีวิต...ไม่ใช่หรือไร?”
หลินชิงเวยพูดเสียงเบา “นั่นเป็นเพราะมโนธรรมในจิตใจ หรืออาจจะพูดได้ว่าข้าไม่ยินยอมให้คนผู้หนึ่งที่ข้ารักษาอย่างลำบากยากเข็ญต้องถูกทำลายลง หากเรื่องนี้ทำให้ท่านเข้าใจผิด ข้าเองต้องขออภัยด้วย”
เซียวจิ่นหัวเราะอย่างไร้สุ้มเสียง “เข้าใจผิด หากสามารถเข้าใจผิดเช่นนี้ได้ตลอดไปย่อมถือเป็นเรื่องงดงามเรื่องหนึ่งกระมัง” เขาสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อกดข่มความรู้สึกพลุ่งพล่านในอก เกรงว่าจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่แล้วระเบิดออกมา น้ำเสียงนั้นยังคงสั่นสะท้านดังเดิม “ชิงเวย เป็นเจ้าที่สอนเจิ้นให้รู้จักเรื่องระหว่างชายหญิง เมื่อหลายวันก่อนเจิ้นยังรู้สึกไม่เข้าใจ ไม่อาจรับได้ เพราะเจ้า เจิ้นจึงรู้จักความรู้สึกของมนุษย์ เจิ้นไม่มีความรู้สึกอันใดต่อผู้อื่น…แต่” เขาจ้องมองหลินชิงเวยด้วยดวงตาร้อนรุ่ม “แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อเจ้าปรากฏตัวขึ้น เมื่อเจิ้นได้กลิ่นกายบนร่างของเจ้า เจิ้นก็เกิดความรู้สึก”
หลินชิงเวยพูดเรียบๆ “ฝ่าบาทเพียงแค่สับสนไปชั่วขณะ” เมื่อกล่าวออกไปแล้วตัวนางเองกลับรู้สึกตะลึงงัน เมื่อนางดื้อดึงดูเหมือนเซียวเยี่ยนเคยพูดกับนางเช่นนี้เหมือนกัน แต่จะเป็นการสับสนชั่วขณะหรือไม่นั้น ไม่ใช่อีกฝ่ายเป็นผู้ตัดสิน มีเพียงจิตใจของตนเท่านั้นที่จะแจ่มแจ้งที่สุด “ท่านรู้ดีว่าคืนนี้ข้าไม่มีทางร่วมหอกับท่าน”
ต่อให้ในใจเต็มไปด้วยความร้อนรุ่มเพียงใดก็ถูกคำพูดเย็นชาของหลินชิงเวยเพียงประโยคทำให้มอดดับลง เซียวจิ่นสงบจิตสงบใจลงได้ในที่สุด แต่ยังคงถามอย่างไม่ยินยอมว่า “เจิ้นเทียบกับเสด็จอาแล้วด้อยกว่าที่ใด? เป็นเพราะเจ้าเห็นว่าเจิ้นอายุน้อยกว่าเสด็จอาหรือ”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอายุ เป็นความรู้สึก” หลินชิงเวยครุ่นคิด “ทุกคนให้ความรู้สึกต่อผู้อื่นแตกต่างกัน ข้าปกป้องดูแลท่านได้ในยามท่านตกอยู่ในอันตราย แต่เมื่อข้าตกอยู่ในอันตราย ข้าก็ปรารถนาให้เขาปกป้องข้า ท่านเข้าใจหรือไม่?”
เซียวจิ่นกะพริบตาถี่ๆ แล้วค่อยๆ หลุบตาลงต่ำ เขาไม่ปรารถนาให้หลินชิงเวยเห็นน้ำตาของตน เขาพยักหน้าราวกับยังเห็นรอยยิ้มบนริมฝีปาก “ดูเหมือนเจิ้นจะกระจ่างแจ้งแล้ว ชิงเวย ช้าเร็วเจิ้นจะเปลี่ยนเป็นคนที่ปกป้องเจ้าได้ เมื่อถึงเวลานั้นเจิ้นหวังว่าเจ้าจะเปลี่ยนใจแล้วเลือกใหม่อีกครั้ง”