ไม่ว่าในท้ายที่สุดนางจะอยู่ร่วมกับเซียวเยี่ยนหรือไม่ นางคิดว่านางไม่มีทางกลับใจเลือกใหม่อีกครั้ง สำหรับเซียวจิ่นแล้วหลินชิงเวยไม่มีความรู้สึกเฉกเช่นชายหญิงแม้สักกระผีก เซียวจิ่นสำหรับนางแล้วเป็นเช่นซินหรู ไฉนจะบังเกิดความรักระหว่างชายหญิงกับเซียวจิ่นได้เล่า?
ทว่าต่อให้เป็นคนใจคอเหี้ยมโหดปานใดเมื่อเห็นท่าทางของเซียวจิ่นในยามนี้แล้วล้วนยากที่จะเอ่ยวาจาอันโหดร้ายออกไป หลินชิงเวยพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “หวังว่าท่านจะเติบโตขึ้น หญิงงามในตำหนักในมีมากมายย่อมต้องมีสักคนที่ก้าวเข้ามาในใจของท่านได้” หยุดไปครู่หนึ่งนางเอ่ยอีกว่า “ขอโทษที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของท่าน คำพูดเหล่านั้นที่ท่านพูดว่าเจตนาเปิดโอกาสให้ข้าและเสด็จอา หากท่านกลับคำพูดข้าจะถือว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น” เส้นทางในวันข้างหน้าต้องเลือกเดินอย่างไร มิใช่กำหนดโดยคำพูดเพียงประโยคเดียวของผู้อื่น แต่มาถึงบัดนี้หลินชิงเวยกระจ่างแจ้งขึ้นเล็กน้อยว่าเซียวจิ่นพูดจาไม่ตรงกับใจมาโดยตลอด เพื่อให้นางมีความสุข แต่ตัวเขาเองเล่า ไม่มีความสุขแม้แต่น้อย
นางไม่ชอบฝืนใจเขา
เซียวจิ่น “เจิ้นรู้แต่แรกแล้วว่าเจ้าชมชอบเสด็จอา และเคยได้พูดไปแล้วว่าจะไม่ขัดขวางเจ้า หากมากลับคำพูดในเวลานี้จะกลายเป็นคนพูดจาเชื่อถือไม่ได้หรือไม่?”
เขามองหลินชิงเวยแล้วยิ้มให้นางทั้งที่กระบอกตาแดงก่ำ นั่นทำให้หัวใจของหลินชิงเวยบีบรัดทันที นางพูดอย่างจริงใจว่า “ไม่เป็นไร ในเรื่องของความรู้สึกแล้วคำสัญญาไม่นับเป็นอันใดได้”
เซียวจิ่นส่ายหน้า “ไม่ว่าอย่างไรเจิ้นไม่อยากเป็นคนพูดจาเชื่อถือไม่ได้ในสายตาของเจ้า ดังนั้นคำพูดเหล่านั้นยังคงถือตามนั้น ต่อให้ยามนี้เจ้าจะดื้อรั้นออกไปตามหาเสด็จอา เจิ้นก็จะไม่ขัดขวางเจ้าอีก”
ดวงตาของหลินชิงเวยเปล่งประกายวาบ “จริงหรือ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้เหตุใดฝ่าบาทยังเรียกตัวให้ข้ามาถวายงานอีกเล่า เหตุใดยังต้องมาพูดเรื่องเหล่านี้กับข้า?”
เซียวจิ่น “เพราะเจิ้นชมชอบเจ้าเช่นกัน เจิ้นรู้ว่าไทเฮามีเจตนาร้าย เจิ้นแจ่มแจ้งดีว่าเรื่องอดีตฮ่องเต้เข้าฝันเป็นเรื่องที่นางกุขึ้นมา! แต่เจิ้น…ยังคงคิดว่า แม้เป็นเพียงความหวังอันริบหรี่ก็ควรพยายามสักครั้งจะได้ไม่เสียใจภายหลัง แม้ว่าสุดท้ายเจิ้นจะยังคงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็ตาม” เขาหันหลังให้ เงาร่างด้านหลังยังคงสง่าผ่าเผย เพียงแต่ปรากฏให้เห็นความโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างชัดเจนหลายส่วน เขาพูดเสียงเบา “เจ้าไปเถิด”
หลินชิงเวย “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”
ขณะที่นางหันกายกลับไป เสียงของเซียวจิ่นพลันดังขึ้นด้านหลัง “เจ้ารับปากเจิ้นได้หรือไม่ วันที่เจ้าจะไปจากวังหลวงจริงๆ อย่าได้จากไปโดยไม่บอกไม่กล่าว กลับมาบอกลาเจิ้นสักหน่อย?”
หลินชิงเวย “ได้เพคะ”
พูดแล้วหลินชิงเวยก็เปิดประตูห้องแล้วเดินออกไป เซียวจิ่นมองความมืดมิดนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าเจ็บปวด เขาค่อยๆ หลับตาลง กดข่มตนเองไม่ให้หันไปมองเงาร่างด้านหลังของนางที่จากไป ไม่ฟังเสียงฝีเท้าของนางที่ห่างไกลออกไป แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้เขาก็รู้ดีว่าหลินชิงเวยค่อยๆ ห่างจากเขาทีละน้อยๆ
หลินชิงเวยเดินออกไปนอกตำหนัก นางยังคงอยู่ในกระโปรงสีแดงสด เพียงแต่บนศีรษะของนางไม่มีมงกุฎหงส์ เส้มผมยาวดำขลับแผ่สยายลงบนไหล่ เมื่อเทียบกับยามมาที่นี่ดูแล้วผ่อนคลายลงเล็กน้อย ท่ามกลางความหนาวเย็นในยามราตรีใบหน้าของนางไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ
ข้ารับใช้ในตำหนักซวี่หยางเห็นนางออกมากลับพากันตกตะลึง ชัดเจนยิ่งนักว่าคาดไม่ถึง ในยามปกติฝ่าบาททรงโปรดปรานหลินเจาอี๋อย่างยิ่ง แต่นี่กลับออกมาแล้ว
หลินชิงเวยพูดเสียงเรียบ “ในยามปกติที่ฝ่าบาทใกล้ชิดกันมิได้มีความรู้สึกอันใด ไม่อาจกล่าวได้ว่าน่าสนใจอันใด ดังนั้นข้าจึงถูกไล่ออกมาเช่นกัน”
ข้ารับใช้ทั้งหมด “…”
นางเดินไปข้างหน้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วยังกำชับว่า “แต่ราตรีนั้นยาวนัก อย่างไรก็ต้องมีคนมาอุ่นเตียงให้ฝ่าบาท พวกเจ้าไปเชิญเหนียงเหนียงท่านหนึ่งมาเถิด”
ขันทีผู้รับผิดชอบกรมวังได้แต่เกาศีรษะด้วยความลำบากใจ “เจาอี๋เหนียงเหนียง ท่านเห็นว่าควรเชิญผู้ใดดีขอรับ?”
หลินชิงเวย “ไปเชิญซีเฟยที่มาเยือนที่นี่เมื่อหลายวันมาก่อนเถอะ”
“แต่ทางด้านฝ่าบาท…” ขันทีพูดไม่ออก กระทั่งหลินเจาอี๋ยังถูกฝ่าบาทไล่ออกมา ยังมีใครในวังที่เขาจะชมชอบจริงๆ อีกหรือไร? ในเมื่อไม่มีที่ชมชอบจริงๆ เช่นนั้นเชิญใครมาก็คงไม่เป็นไรกระมัง?
อย่างไรซีเฟยก็เคยมาเยือนที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง แม้ครั้งนั้นจะไม่ราบรื่น แต่ทุกอย่างได้ตระเตรียมการไว้เป็นอย่างดีแล้ว นางย่อมแจ่มแจ้งดีว่าควรทำอย่างไร หากไปเชิญเหนียงเหนียงท่านอื่นจากตำหนักอื่นอย่างกะทันหันเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่มีเวลาสอนอบรมเรื่องที่เหนียงเหนียงควรทำ
ดังนั้นขันทีจึงไม่พูดอันใดให้มากความและรีบเร่งออกจากตำหนักซวี่หยางเพื่อไปเชิญซีเฟย
หลังจากหลินชิงเวยออกมาจากตำหนักซวี่หยาง บรรยากาศภายในตำหนักบรรทมของเซียวจิ่นเต็มไปด้วยความสลดหดหู่ เซียวจิ่นหันหน้าไปทางหน้าต่างและพูดเสียงเย็น “เด็กๆ”
คนชุดดำคนหนึ่งปรากฏขึ้นนอกหน้าต่างในชั่วพริบตา
เซียวจิ่นสั่งการ “หากหลินเจาอี๋ออกจากวัง ให้จัดยอดฝีมือหลายคนอารักขาความปลอดภัยของนาง หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับนางเพียงครึ่งส่วน ให้ถือศีรษะมาพบเจิ้น!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ต่อมาคนชุดดำลับหายไป เซียวจิ่นหันกายกลับไปมาดับเทียนไขสีแดง กระชากมุ้งดอกพุดตานราวกับคลุ้มคลั่งก็ไม่ปาน หลินชิงเวยไม่ได้นำกาสุราบนโต๊ะไปด้วย เขาช้อนตาขึ้นมองแล้วโผเข้าไปหยิบสุรากานั้นกรอกใส่ปากของตน
สุราไหลผ่านลำคอของเขา ให้ความรู้สึกร้อนรุ่มดังไฟ ใบหน้าของเขาแดงก่ำ ปรากฏให้เห็นน้ำตาบริเวณหางตา
เขาอยากเมา
ตลอดมาเขาล้วนมีสติเสมอ เขาปรารถนาที่จะเมามายสักครั้งเพื่อลืมทุกสิ่งทุกอย่าง หลินชิงเวยไปตามหาเซ่อเจิ้งอ๋อง ย่อมต้องเป็นเรื่องดี เพียงแต่หากเขาไม่ชมชอบหลินชิงเวยก็ดีน่ะสิ
ไม่ได้ชมชอบก็ดี…
ความรู้สึกของฮ่องเต้ผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้าไหนเลยจะมีเพียงหนึ่งเดียว ต่อให้ทำได้ แต่ทางด้านร่างกายแล้วจะทำได้หรือ? ภายในตำหนักในมีหญิงสาวมากมายเช่นนั้น รอให้เขาเป็นหยาดพิรุณหยดพรมโดยทั่วถึง เขาไหนเลยจะมีเวลามาพูดถึงความรัก แม้การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์จะไม่ใช่วิธีการเพียงหนึ่งเดียวในการบริหารแผ่นดินของฮ่องเต้องค์หนึ่ง แต่กลับเป็นวิธีการที่ได้ผลที่สุด สำหรับเซียวจิ่นซึ่งยังอยู่ในวัยเยาว์เช่นนี้ เป็นเรื่องจำเป็นที่ขาดไม่ได้
หลินชิงเวยคิดในใจ ตำหนักในนั้นไม่เหมาะสมกับตน ต่อให้นางไม่ได้ชมชอบเซียวเยี่ยน ต่อให้เซียวจิ่นโดดเด่นมากกว่านี้ นางก็ไม่มีทางปล่อยตัวปล่อยใจให้ตนเองชมชอบเซียวจิ่น
เส้นทางของตำหนักใน เมื่อมองไทเฮาก็แทบจะมองเห็นจุดจบของนางในวันข้างหน้าแล้ว
หลินชิงเวยเลือกเดินในเส้นทางที่ตนตัดสินใจเลือกอย่างเด็ดขาด ไม่หันกลับไป และไม่มีทางเสียใจภายหลังเด็ดขาด
นางแทบจะทนรอไม่ไหวที่จะกลับไปยังตำหนักฉางเหยี่ยน ทันทีที่ก้าวเข้าไปในเรือนก็ร้องเรียก “เสี่ยวฉี!”
เสี่ยวฉีปรากฏกายออกมาทันที เขาประหลาดใจอย่างที่สุดเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าหลินชิงเวยจะกลับมาเช่นนี้ และอาภรณ์บนร่างกายเป็นระเบียบเรียบร้อย นางไม่ได้ถวายงาน หลินชิงเวยปลดกระดุมบนปกคอเสื้อพร้อมกับเดินเข้าไปในเรือนและกำชับว่า “เตรียมม้าเร็วให้ข้าตัวหนึ่ง ข้าจะออกจากวัง ยิ่งเร็วยิ่งดี”
เสี่ยวฉีตะลึงงัน ยังถามอีกว่า “เหตุใดเหนียงเหนียงจึงต้องออกจากวัง?”
หลินชิงเวยตอบเสียงเบาโดยไม่ได้หันกลับมา “เหตุใด? ย่อมต้องไปหาเซียวเยี่ยน ไม่ว่าเขาจะไปถึงที่ไหน ก็ต้องตามไปสุดหล้าฟ้าเขียว ขอเพียงข้าคิดจะตามหาย่อมต้องหาเขาพบจนได้”
เสี่ยวฉีได้ยินเช่นนั้นก็แจ่มแจ้งทันทีว่าเหตุใดตนเองจึงดีใจเช่นนี้ ราวกับคำพูดอันคลุมเครือเมื่อหลายวันก่อนที่เก็บอัดในใจได้รับการปลดปล่อย เขากำมือเป็นหมัดแล้วเอ่ยว่า “ขอรับ! ข้าน้อยจะไปเตรียมเดี๋ยวนี้!”
หลินชิงเวยกลับเข้าห้องผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เป็นเสื้อผ้าธรรมดา มวยผมขึ้นสูง หยิบถุงผ้าที่เตรียมออกจากวังเมื่อหลายวันก่อน