ตอนที่ 165 : คน 40,000 คนไม่กล้าท้าสู้
“คะแนนสูงจนน่ากลัว”
“ใช่ ฉันไม่เคยเห็นคะแนนสูงแบบนี้มาก่อน ทุกวิชาต่างก็ได้คะแนนสูง นี่เป็นเรื่องจริงแน่หรือ ? ”
“ที่สำคัญคือเขาเป็นแค่เด็กปี 1 ถ้าเขาอยู่สักปี 2-3 ก็ยังพอรับได้แต่นี้เขาเป็นแค่เด็กปี 1 แต่ทำไมถึงทำได้ขนาดนี้”
“ฉันคิดว่าเขาคงเป็นสัตว์ประหลาด ตอนนี้เขาได้อันดับ 1 ไปครอง ความสามารถที่เขามีน่ากลัวอย่างมาก”
“ใช่ ที่ผ่านมาไม่เคยมีคนแบบนี้มาก่อน”
“ฉันรู้สึกว่ามันราวกับความฝัน เขาเป็นอัจฉริยะจริง ๆ งั้นหรือ ? ”
“หวังเย่า เขาคือคนที่พระเจ้าส่งมา อนาคตของเขาไร้ขีดจำกัดอย่างแน่นอน”
สิ่งที่เกิดขึ้นบนลานนั้นทำให้ทุกคนต่างพากันตกตะลึง พวกเขาทำท่าเหมือนเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้ชมโดยรอบ แม้แต่พวกอาจารย์ที่นั่งอยู่บนเวทีก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวชื่นชมออกมา เย่ฉิวเกาน่ะถือว่าแข็งแกร่ง แต่ก็ต้องนอนหมอบอยู่กับพื้นในสภาพที่น่าอดสู
“สุดท้ายก็เข้าใจความแตกต่างระหว่างฉันกับแกแล้วสินะ” หวังเย่าเยาะเย้ยออกมา เขาไม่คิดจะหันกลับมามองคนแบบนี้อีก และได้เดินลงจากลานประลองไป
ระหว่างที่เดินกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง สายตานับไม่ถ้วนก็มองมาที่เขาด้วยความตะลึง บางคนถึงกับแสดงท่าทีเคารพออกมา
“หวังเย่า…นาย…ฉันไม่รู้ว่าจะต้องพูดยังไงดี” ไช่เหวินเซิงแสดงสีหน้าราวกับเห็นสัตว์ประหลาด เขานิ่งไปกว่า 7-8 วินาทีก่อนที่จะได้สติกลับมา
ยังไงซะ หวังเย่าก็แสดงความสามารถที่น่าทึ่งออกมา ฐานะของเขาสูงส่งขึ้นมาทันที เขาราวกับบุตรของพระเจ้า ฐานะของทั้งสองคนนั้นแตกต่างกันราวกับฟ้ากับเหว
หวังเย่าพยักหน้าตอบรับ เพราะว่าจริง ๆ เขาไม่อยากจะทำตัวเด่นและอยากจะออกจากมหาวิทยาลัยไปอย่างเงียบ ๆ
ไม่คิดเลยว่ามันจะวุ่นวายจนทุกคนรับรู้เรื่องของเขา เดาว่าคงไม่ถึงพรุ่งนี้ในเว็บของมหาวิทยาลัยคงมีข่าวเรื่องเขาเป็นประเด็นสำคัญพูดคุยกันไปทั่วอย่างแน่นอน
ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ มันมีแต่จะทำให้เขาโด่งดังขึ้นไปอีก
“โชคร้าย เพราะกฎของการประชุมนี้ ฉันต้องมาเสียเวลาที่นี่อีก 3 วัน น่าเบื่อจริง ๆ ”
หวังเย่าผ่านเงื่อนไขทุกอย่างในการยื่นจบแล้ว ตราบใดที่จบงานประชุมพยับเมฆไป เขาก็ถือว่าเรียนจบอย่างเต็มตัว
สุดท้ายเขาก็ได้แต่นั่งรอดูคนอื่น ๆ ต่อสู้กัน ตอนนี้ไม่มีใครกล้าท้าเขาสู้เลยสักคน
แม้ว่าจะแหกกฎไม่ได้ แต่ก็ยังพอหลีกเลี่ยงข้อบังคับบางอย่างได้อยู่
หวังเย่ามองไปที่ไช่เหวินเซิงและพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ หัวหน้าห้อง นายช่วยอะไรฉันได้มั้ย ? ”
ไช่เหวินเซิงแสดงท่าทีเคารพออกมาทันที เขาไม่ได้แสดงท่าทีเท่าเทียมกันเหมือนเมื่อก่อน เขารีบตกลงทันที “หวังเย่า ไม่สิ..ผู้ตรวจสอบหวัง นายอยากให้ฉันช่วยอะไร ? ”
“ฉันยังเหลือการถูกท้าอยู่ ฉันไม่อยากเสียเวลาที่นี่อีก นายช่วยท้าฉันเพื่อที่สิทธิ์การโดนท้าจะได้หมดไปได้รึเปล่า ? ”
ไช่เหวินเซิงเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายทันที เขาคิดอยู่สักพักแล้วพูดขึ้น “เรื่องเล็กน้อย ไม่มีปัญหา”
เขาลุกขึ้นยืนและพูดออกมาเสียงดัง “หวังเย่า ฉันขอท้านาย โปรดตกลงด้วย แสดงความต่างให้ฉันเห็นที”
“ไม่มีปัญหา ได้ตามที่นายต้องการ” หวังเย่ายิ้มออกมา
เมื่อกรรมการเห็นแบบนั้นก็พูดขึ้น “เชิญที่ลานที่ 3”
ท่ามกลางสายตาของผู้คนนับไม่ถ้วน ทั้งสองก็ได้เดินลงไปยังลานที่ 3 มันไม่ใช่ทุกคนที่จะสนใจการต่อสู้นี้ แม้แต่พวกอาจารย์ก็ยังไม่คิดจะดู
“หวังเย่า ฉันจะเริ่มแล้วนะ” ไช่เหวินเซิงไม่ได้รู้สึกกดดันเลยแม้แต่น้อย เขารู้ว่าหวังเย่าจะไม่ทำกับเขาแบบเดียวกับฮวงจินเทียนและเย่ฉิวเกา หวังเย่าจะไม่ทำร้ายเขา เพราะนี่เป็นแค่การประมือเพื่อเรียนรู้เท่านั้น
ทันทีที่ไช่เหวินเซิงพูดจบ เขาก็เรียกอสูรของตัวเองออกมา
แม้ว่าไช่เหวินเซิงจะอยู่ห้อง A แต่ก็เป็นแค่เด็กปี 1 เด็กปี 1 ส่วนมากมีอสูรแค่เพียงตัวเดียวเท่านั้น
อสูรของเขานั้นถือว่าแข็งแกร่งพอตัว มันอยู่ระดับทองเลเวล 42 มันคือม้าเลือดม่วง หากเทียบกับอสูรของเพื่อนคนอื่น ๆ แล้ว มันก็ถือว่าแข็งแกร่งพอตัว
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหวังเย่า ความแข็งแกร่งที่ว่านี้กลับไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง
หวังเย่าไม่ได้เรียกอสูรของตัวเองออกมา เขาไม่ได้ใช้สกิลของอสูรเลยด้วยซ้ำ เขาตั้งใจจะพึ่งความแข็งแกร่งของตัวเองเพื่อชิงเอาชัยชนะมา
“ระวังตัวด้วย” หวังเย่าพูดขึ้น มือขวาของเขาถือมีดทมิฬ ส่วนมือซ้ายถือโล่และพุ่งออกไป
ไช่เหวินเซิงเองก็ควบคุมม้าเลือดม่วงให้วิ่งเข้าใส่
ด้วยทักษะมีดลมหายใจมังกรที่พัฒนาขึ้นมา รวมไปถึงทักษะพายุสังหารที่ได้เรียนรู้ 2 ส่วนแรกนั้น หวังเย่าก็พอรับมือกับม้าเลือดม่วงนี่ได้
“จบแล้ว “
หวังเย่าเลือกที่จะไม่เสียเวลา เขาเตะเข้าที่หลังของม้าจนทำให้มันทรุดลงไปกับพื้น ก่อนจะใช้โล่ฟาดใส่หัวของม้าจนทำให้มันสลบ
เมื่อเห็นแบบนั้นไช่เหวินเซิงก็สีหน้าหม่นลง ความแข็งแกร่งของหวังเย่านั้นเหนือกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก หวังเย่าเอาชนะอสูรของเขาได้อย่างง่ายดาย เขากลัวว่าทั้งชีวิตนี้คงตามหวังเย่าไม่ทันแน่
ดูเหมือนว่าหวังเย่าจะเหนือกว่านักศึกษาทุกคนในประเทศไปแล้ว ทั้งในด้านผลการทดสอบและความแข็งแกร่ง
“ฉันยอมแพ้” ไช่เหวินเซิงยอมรับความพ่ายแพ้ทันที เขาทำดีที่สุดแล้ว แต่ความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายอยู่คนละระดับกันอย่างเห็นได้ชัด เขายอมรับความพ่ายแพ้จากใจจริง
“หวังเย่าชนะ” กรรมการได้ประกาศออกมา
หวังเย่าพยักหน้าตอบรับ แต่เขาไม่ได้รีบเดินลงจากลานไป เขาหันไปมองผู้ชมโดยรอบและตะโกนขึ้น “ฉัน หวังเย่า ยังเหลือการท้าทายครั้งสุดท้ายอยู่ ใครอยากท้าฉันสู้ก็ให้ยกมือขึ้น โอกาสนี้หายาก ไม่ต้องเกรงใจ”
เขาใช้สกิลเพิ่มพลังของหงอคง ซึ่งทำให้เสียงของเขาดังก้องไปทั่วทั้งลาน
แต่หลังจากที่รออยู่สักพัก คนกว่า 40,000 คนก็ไม่มีใครยกมือเลยสักคน
โอกาสแบบนี้หาได้ยาก
“ในเมื่อไม่มีใครท้าสู้กับฉัน งั้นฉันขอตัวก่อน” เมื่อหวังเย่าพูดจบก็หันหลังกลับไปหาอาจารย์ก่อนจะโค้งทำความเคารพ เขาถือว่านี่คือการบอกลา