ตอนที่ 275 : เจิ้นเหลิ่งเทียน
ตระกูลเซี่ยงเองก็ไม่ได้อยู่ที่นี่เหมือนตระกูลลู่
ผู้อาวุโสเขามังกรพยัคฆ์ไม่คิดจะพูดอะไรออกมาเพื่อโดนเยาะเย้ยอีก
เมื่อผู้อาวุโสภูเขาอู่ตังเห็นแบบนั้นก็พอใจอย่างมาก เขาถึงกับลืมว่าตัวเองก็ไม่ได้ต่างกันเลย
คนจากตระกูลใหญ่ไม่คิดจะเยาะเย้ยพวกเขาและไม่กล้าแม้แต่จะหัวเราะเยาะ เพราะพวกเขาไม่อาจจะรับมือกับคนพวกนี้ไหว
ถ้าหัวเราะเยาะพวกนี้แล้ว พวกเขาก็จะโดนหมายหัว
“สมกับเป็นเมืองอันดับหนึ่ง อัจฉริยะของพวกท่านมีอยู่มากมาย หากให้เวลาสักหน่อย พวกเขาก็อาจจะเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ได้” เหล่าผู้อาวุโสสำนักต่าง ๆ พากันออกปากชมฟางฉิงหัว
“ถือว่าเป็นของขวัญจากสวรรค์ ศิษย์ของสำนักต่าง ๆ เองก็ไม่ได้อ่อนแอกว่ากันเลย ในอนาคตพวกเขาก็จะช่วยประเทศได้” ฟางฉิงหัวหัวเราะออกมา
จากนั้นทุกคนก็พากันหัวเราะออกมา
….
บนเวทีนั้นก็มีการต่อสู้คู่ที่ 49 ฝ่ายหนึ่งคือศิษย์จากสำนักแปดหมัด อีกฝ่ายคือทหารรับจ้าง
ความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายถือว่าสูง แม้จะไม่มีใครรู้จักทหารรับจ้าง แต่เขาก็ฝึกฝนตัวเองจนรับมือกับอีกฝ่ายได้
การต่อสู้ของทั้งสองนั้นได้รับความสนใจจากผู้คนมากมาย หลังจากปะทะกันไม่รู้กี่รอบ สุดท้ายศิษย์จากสำนักแปดหมัดก็ชนะไป
“อันตงจ๋า นายรู้จักเขารึเปล่า ? ” เมื่อเห็นคนจากสำนักแปดหมัดเดินลงจากเวที หวังเย่าก็มองไปที่อันตงจ๋าแล้วถามขึ้นมา
ในฐานะศิษย์สำนักแปดหมัดแล้ว เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้จักอีกฝ่าย
“ฉันรู้จักคนส่วนมากในสำนัก เขาถือว่าเป็นพี่น้องของฉัน คนนี้เขาแกร่งกว่าฉันอีก”
เพราะสำนักแปดหมัดมีขนาดเล็ก เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะรู้จักทุกคนหมด
หวังเย่าพยักหน้าและมองไปที่ทหารรับจ้าง
มีคนอ่อนแอในงานชุมนุมไม่มากนัก แต่ละคนถือว่าแข็งแกร่ง ยังไงซะ พวกเขาก็ผ่านรอบคัดเลือกจากหลายหมื่นคนมาได้
ในที่สุดการต่อสู้คู่สุดท้ายก็เริ่มต้นขึ้น
ทั้งสองคนยืนอยู่บนเวทีแล้ว คนหนึ่งคือติงหยู คนที่มีพรสวรรค์ที่ได้รับการฝึกโดยสมาคมเผิงหยูของเมืองหัวเซี่ย อีกคนคือชายสวมหมวกลึกลับ
“ติงหยู Vs เจิ้นเหลิ่งเทียน เริ่มได้”
เมื่อได้ยินชื่ออีกฝ่าย หวังเย่าก็แทบสำลักออกมา ชื่อนี้มันอะไรกัน มีเหลิ่งเทียน (ฤดูหนาว) แล้ว ต่อไปก็จะมีเซี่ยเทียน (ฤดูร้อน) และชิวเทียน (ฤดูใบไม้ร่วง) ออกมารึไง ?
“ชายคนนี้…” หวังเย่ามองไปที่อีกฝ่ายและรู้สึกแปลก ๆ ออกมา ความรู้สึกนี้ไม่อาจจะอธิบายออกมาได้
ในห้องพัก ผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ ต่างก็พากันมองดูการต่อสู้นี้ด้วยความเบื่อหน่าย
“มันไม่น่าสนใจอะไร ดูเหมือนว่าติงหยูจะชนะ เจิ้นเหลิ่งเทียนน่ะธรรมดาเกินไป เขาถือว่าอ่อนแอไม่ใช่รึไง ? ” เหล่ยอู่ฉวนมองไปที่จอและอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา
“คนเราดูแค่ภายนอกไม่ได้หรอก ฉันรู้สึกว่าคนที่ชนะน่าจะเป็นเจิ้นเหลิ่งเทียน” ลู่หานพูดขึ้น
เหล่ยอู่ฉวนพูดอะไรไม่ออก
ลู่หานดีดหน้าผากอีกฝ่าย
“นี่…” เหล่ยอู่ฉวนมองไปที่คนอื่นและพูดขึ้น “พวกนายคิดยังไง ? ”
หลงจั่วเทียนเผยรอยยิ้มลึกลับออกมา “เจิ้นเหลิ่งเทียนคนนี้ไม่ธรรมดา”
“ฉันก็คิดเหมือนกับลู่หาน” เซี่ยงหยางพูดขึ้น
“มีฉันคนเดียวรึไงที่มองต่างจากทุกคน ? ” เหล่ยอู่ฉวนอดไม่ได้ที่จะหดหู่
สำหรับว่าทำไมทั้งสี่คนถึงได้มาอยู่ด้วยกันนั้น….บอกได้ว่าคนแบบเดียวกันจะดึงดูดกัน
….
บนเวทีนั้นเมื่อชายแก่ประกาศเริ่มการต่อสู้ อุณหภูมิบนเวทีก็ลดลงไปในทันที
ผู้ชมคนอื่นไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ติงหยูรับรู้ได้ถึงความหนาวเย็นได้อย่างชัดเจน
แม้ว่าเขาจะอยู่ระดับ B และห่างจากระดับ A แค่ก้าวเดียว แต่เขาก็แทบจะทนความหนาวเย็นนี้ไม่ได้ ราวกับว่ามันหนาวมาจากข้างใน มันทำให้การทำงานของร่างกายเขาเชื่องช้าลง
ตอนนั้นเองติงหยูก็พบว่าเท้าของเขาไม่อาจจะขยับได้ เมื่อก้มลงไปมองก็พบชั้นน้ำแข็งบาง ๆ ปกคลุมที่เท้าของเขาอยู่
น้ำแข็งนี้เหมือนจะบางและพังได้ง่ายแต่มันไม่ง่ายขนาดนั้น ถึงติงหยูจะมีความแข็งแกร่งระดับ B แต่ก็ไม่อาจจะทำลายมันได้ มันราวกับแผ่นเหล็กกล้าที่ตรึงเท้าเขาไว้แน่น
หลังจากนั้นติงหยูก็มองไปที่มือตัวเอง เขาได้แต่ยกมือของตัวเองขึ้นมาช้า ๆ แต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้
สุดท้ายน้ำแข็งก็ลามไปเรื่อย ๆ จนทำให้คอของเขาไม่อาจจะขยับได้ เขาราวกับรูปปั้นที่ยืนอยู่กับที่มีแค่ดวงตาที่กรอกไปมาได้ ตอนนี้สายตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
แม้ว่าเขาจะไม่ได้กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งแต่ก็ไม่อาจจะต่อสู้ได้ เขาไม่อาจจะขยับตัวได้ด้วยซ้ำ เขาทำได้แค่รอให้อีกฝ่ายเข้ามาอัดเท่านั้น
ยิ่งกว่านั้นก็มีแค่ผีเท่านั้นที่รู้ว่าอีกฝ่ายใช้ทักษะอะไรที่ทำให้เขาต้องรอความพ่ายแพ้แบบนี้ เขาไม่คิดที่จะสู้ต่อ
แต่ติงหยูก็พบว่าตัวเองนั้นไม่อาจจะเปิดปากยอมรับความพ่ายแพ้ได้เลยเพราะเขาไม่สามารถขยับปากได้ ดังนั้นเขาจึงพูดไม่ได้ เขาได้แต่มองไปที่อีกฝ่ายที่เดินเข้ามาหาเขาอย่างช้า ๆ โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจความคิดของเขา
เจิ้นเหลิ่งเทียนโบกมือให้กับติงหยู จนทำให้ติงหยูรู้สึกว่าความหนาวเย็นนั้นหายไป ความอบอุ่นที่หายไปนานได้กลับมาอีกครั้ง
จากนั้นเขาก็พบว่าเขาขยับร่างกายได้แล้ว เขาทรุดลงกับพื้นเพื่อหอบหายใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจิ้นเหลิ่งเทียนที่มองมาที่เขาด้วยสายตาเย็นชาจนทำให้เขาขนลุก
“ฉันยอมแพ้”