อันที่จริงกติกาการแข่งขันระบุไว้ว่าผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากต่างเมืองจะสามารถเลือกเข้าร่วมกับกลุ่มอื่นได้หลังจากมาถึงทางเข้าสุสานหลวงโดยยึดตามผลงานของแต่ละตระกูล
แต่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายย่อมไม่สามารถเปลี่ยนกลุ่มได้ในสถานการณ์ปกติ เหตุผลข้อแรกเป็นเพราะว่าตระกูลเหล่านี้ได้ตกลงค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับอีกฝ่ายเอาไว้แล้วก่อนที่จะทาบทามพวกเขามาจากนอกเมือง เหตุผลข้อที่สองนั้นเป็นเพราะการเปลี่ยนกลุ่มอาจทำให้เกิดความขัดแย้งในหมู่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายได้ เพราะโอกาสเดียวที่จะนำไปสู่จุดหมายปลายทางมีเพียงการติดตามตระกูลหนีเท่านั้น
ดังนั้นจึงไม่มีใครยึดถือในกติกาที่ว่านี้อย่างจริงจังนัก
แต่ตอนนี้นายน้อยเซียวกลับยื่นขอเสนอนั้นออกมาอย่างเหนือความคาดหมายทั้งๆ ที่ยังมองไม่เห็นสุสานหลวงเลยด้วยซ้ำ!
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนหันไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวย ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกใจอย่างมาก!
แต่หลังจากลองคิดอย่างรอบคอบ การกระทำของนายน้อยตระกูลเซียวก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้เช่นกัน เพราะคนผู้นี้มีความรอบรู้อย่างยิ่ง แม้พวกเขาจะไม่รู้สึกถึงพลังวิญญาณในร่างของนาง แต่การเดินทางเข้าสู่สุสานหลวงพร้อมคนผู้นี้คงกลายเป็นเรื่องง่ายด้วยความสามารถที่อีกฝ่ายมี
สิ่งที่น่าชื่นชมที่สุดคือท่าทางไม่สะทกสะท้านและความสุขุมเยือกเย็นในระหว่างออกคำสั่ง มันเหมือนกับว่าทุกสิ่งล้วนแต่อยู่ในมือของนาง
แน่นอนว่าผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนจากตระกูลเซียวย่อมหวังให้เฮ่อเหลียนเวยเวยมาอยู่ฝั่งพวกเขา
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นก็คิดเช่นกันว่าพวกเขาคงไม่ต้องเจรจากันเรื่องนี้อีกแล้ว เพราะไม่ว่าจะดูจากเรื่องของจำนวนคน หรือเรื่องของอำนาจบารมี ตระกูลเซียวก็ดีกว่าตระกูลจูเก่อเป็นไหนๆ ยิ่งกว่านั้น สิบเท่าจากค่าตอบแทนปกติก็ไม่ใช่เงินก้อนเล็กๆ ดังนั้นทุกคนจึงเชื่อว่าคงไม่มีใครปฏิเสธข้อเสนอกำไรงามเช่นนี้ได้
ดวงตาของจูเก่ออวิ๋นหม่นแสง แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ผู้มีพระคุณทั้งสองช่วยเขามามากพอแล้ว ต่อให้พวกเขาจะเลือกไปอยู่กับตระกูลเซียว เขาก็ยังคงซาบซึ้งในบุญคุณของทั้งสองไม่เปลี่ยนแปลง
แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะทำเพียงหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย “นายน้อยเซียว ข้าจะจ่ายให้เจ้ายี่สิบเท่าถ้าเจ้าพากลุ่มของตัวเองมาเข้าร่วมกับตระกูลจูเก่อ”
นายน้อยเซียวชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เมื่อเห็นการแสดงออกของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาก็ยิ่งรู้สึกชื่นชม “พี่ชายช่างสมกับเป็นวีรบุรุษยิ่งนัก แม้กระทั่งเงินก็ยังไม่มีค่าในสายตาท่าน ข้าขอชื่นชมท่านจากใจจริง!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยต้องยอมรับว่าความจริงแล้วนายน้อยตระกูลเซียวคนนี้เป็นคนแปลกทีเดียว ยิ่งนางหยาบคาบกับเขามากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกว่านางยอดเยี่ยมมากเท่านั้น
นางเข้าใจว่าความคิดของเขาคงแตกต่างจากคนอื่นเพราะเขายังเด็ก แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังสังเกตเห็นว่าการที่นายน้อยเซียวพยายามวางแผนเพื่อประโยชน์ส่วนตน อีกทั้งยังพยายามใช้ชีวิตคนอื่นเข้าแลกเพื่อให้ตนได้มีโอกาสหนีย่อมไม่ใช่สิ่งที่ควรยกย่อง
แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกสนทนากับเขา นางหันหน้ากลับไปหาจูเก่ออวิ๋น “นายน้อยอวิ๋น พวกเราเดินไปทางซ้ายดีกว่า” นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนไม่เปลี่ยนแปลง
จูเก่ออวิ๋นยังรู้สึกมึนงงอยู่เล็กน้อยเพราะเขาทำใจไว้เรียบร้อยแล้วว่าผู้มีพระคุณทั้งสองจะต้องเลือกตระกูลเซียวแน่ ใครจะไปคิดว่า…
เมื่อเห็นว่าจูเก่ออวิ๋นยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง นายน้อยเซียวก็เป็นคนเดินไปทางนั้นแทน “พี่ชาย รอด้วยขอรับ! ข้าจะไปกับพวกท่านด้วย!”
เดิมทีนั้นพวกเขามีกันสิบกลุ่ม แต่ตอนนี้กลับเหลืออยู่เพียงสามกลุ่มเท่านั้น ทุกคนชื่นชมเฮ่อเหลียนเวยเวยว่าเป็นผู้รอบรู้ ดังนั้นไม่ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะเลือกเส้นทางไหน พวกเขาก็จะตามนางไปอย่างแน่นอน
แต่ขณะที่เดินอยู่ พวกเขากลับเพิ่งสังเกตเห็นว่าคนสามคนที่เดินอยู่หน้าสุดกลับหายตัวไปเสียแล้ว
จูเก่ออวิ๋นไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าเขาเดินเร็วถึงเพียงนี้ เพราะเขาทำเพียงแค่เดินตามหลังไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเท่านั้น รู้ตัวอีกทีที่ด้านหลังของเขาก็ไม่มีคนเดินตามมาแล้ว
บนกิ่งไม้มีร่างสองร่างปรากฏขึ้น หลังจากได้เห็นภาพนั้น ดวงตาของพวกเขาก็เริ่มดำทะมึน “เหล่าซวี เจ้าเห็นนั่นหรือเปล่า”
“ข้าเห็นแล้ว” อีกคนหนึ่งเยาะขึ้นพร้อมกับลูบเคราสีขาวของตัวเอง “ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากต่างเมืองพวกนั้นฉลาดกว่าที่คิด แต่สิ่งที่พวกเขาทำทั้งหมดนั้นก็ไม่ต่างจากของเด็กเล่นสำหรับพวกเราตระกูลหนี เจ้ารอดูเถอะ หลังจากข้ามเขตแดนนี้ไป พวกเขาก็จะมาถึงน้ำตกซางไห่ สิ่งที่หลับใหลอยู่ที่นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถรับมือได้ง่ายๆ เหมือนค้างคาวพวกนั้น เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราไม่ควรเข้าไปใกล้พวกเขามากนัก เราควรปล่อยให้พวกเขาได้ประจักษ์กับพลังนั้นด้วยตัวเองก่อนก้าวเข้าไป พวกเราควรปล่อยให้พวกเขาได้ลิ้มรสชาติความยากลำบากตามที่นายท่านสั่ง”
“แน่นอนว่าข้าย่อมจำสิ่งที่นายท่านพูดได้อยู่แล้ว คนพวกนี้กล้าทำให้ตระกูลหนีต้องอับอายต่อหน้าผู้คนมากมาย นับว่ารนหาเรื่องแท้ๆ”
ร่างสองร่างนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่หนีเปียวส่งมาก่อนที่กลุ่มของพวกเขาจะออกเดินทางนั่นเอง
ทั้งสองอายุค่อนข้างมาก อีกทั้งยังมีพลังวิญญาณมหาศาล พวกเขาโน้มตัวไปข้างหน้าระหว่างสังเกตการณ์ดูคนทั้งสามที่เดินผ่านไปราวกับพวกเขาเป็นมดที่กำลังจะสิ้นใจด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม เห็นได้ว่านั่นเป็นการประเมินศัตรูเอาไว้ต่ำเกินไป
แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่พวกเขานึกไม่ถึง…
มีคนสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของเขาอยู่นานแล้ว…
จูเก่ออวิ๋นยังก้มหน้าก้มตาเดินอยู่ ในขณะที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่อยู่ข้างเขากลับชะงักฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน มุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยทำให้ใบหน้าด้านข้างของเขาดูเหมือนกับประติมากรรมน้ำแข็งอันสมบูรณ์แบบ บรรยากาศชั่วร้ายของเขาทำให้หัวใจของทุกคนเต้นแรงขึ้น
“ทำไมหรือขอรับ เกิดอะไรขึ้นหรือ” จูเก่ออวิ๋นไม่แน่ใจว่าทำไมเขาถึงรู้สึกเสียวสันหลังวาบทันทีที่เห็นรอยยิ้มของชายหนุ่ม ทั้งที่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับเขามากนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองมาทางนี้เช่นกัน แล้วจากนั้นจึงเลิกคิ้วข้างหนึ่งให้กับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทั้งที่ยังคาบสตรอว์เบอร์รีไว้ในปาก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางพร้อมกับยื่นมือออกไปลูบศีรษะของนาง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไพเราะว่า “มีหนูตัวเล็กๆ ที่ข้ายังไม่ได้จัดการอยู่สองตัว ทำไมเจ้าไม่กินสตรอว์เบอร์รีอยู่นี่ก่อนล่ะ เดี๋ยวข้าจะรีบกลับมา”
หนูตัวเล็กสองตัวหรือ จากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้จักองค์ชายมา หนูตัวเล็กๆ สองตัวที่ว่านั่นจะต้องเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน
“ไปเถอะ” ในเมื่อตอนนี้นางไม่มีพลังวิญญาณแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นนางจึงยกเรื่องต่อสู้ฆ่าฟันให้กับองค์ชาย เฮ่อเหลียนเวยเวยจะไม่ยอมเสียแรงไปโดยเปล่าประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้ที่นางกำลังตั้งครรภ์อยู่
แต่จูเก่ออวิ๋นกลับเป็นห่วงอย่างมาก “ปล่อยพี่เจวี๋ยไปคนเดียวจะดีหรือขอรับ จะไม่มีอันตรายเกิดขึ้นกับเขาหรือ”
เสียงต้นไม้ล้มครืนดังขึ้นทันทีที่เขาพูดจบ!
ต้นไม้ที่ถูกโค่นลงอย่างกะทันหันเกือบทำให้คนสองคนที่อยู่บนนั้นร่วงลงมาด้วย แต่พวกเขาก็ได้พลังวิญญาณที่มีช่วยเอาไว้ พวกเขากระทืบเท้าสองครั้งท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวายที่เกิดขึ้นเพื่อทรงตัว
“เกิดอะไรขึ้น” คนที่ชื่อเหล่าซวีเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ ใบหน้าของเขาเคร่งเครียด “ใครอยู่ข้างล่างนั่น”
แต่กลับไม่มีคำตอบมาจากป่านั้น เวลานี้แม้แต่เสียงลมพัดก็ยังฟังดูเสียดหูเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อไม่ได้รับคำตอบ เหล่าซวีก็กระโดดลงมาจากต้นไม้อย่างร้อนใจ เขาเห็นสหายของตนยืนนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้
“เหล่าหลิว เจ้าไม่เห็นหรือว่าต้นไม้หักได้อย่างไร!?”
แต่เหล่าหลิวกลับไม่ตอบคำถามเขาเลยแม้แต่คำเดียว
สุดท้ายเหล่าซวีก็ตระหนักได้ว่ามีอะไรแปลกไป เขาหันมองไปรอบๆ และในที่สุดจึงสังเกตเห็นเงาที่ยืนเงียบอยู่ไกลออกไป ใบไม้ที่อยู่ใกล้ๆ กับคนคนนั้นทิ้งเงาลงบนร่างของเขา แต่ไม่ได้ปิดบังรูปร่างหน้าตาอันงดงามของเขาแต่อย่างใด
“เจ้านั่นเอง” เหล่าซวีระวังตัวมากขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจกับอีกฝ่ายเท่าใดนัก เขาหันไปพูดติดหัวเราะกับผู้เป็นเพื่อนว่า “เหล่าหลิว เจ้าเห็นนั่นหรือเปล่า เจ้าเด็กเมื่อวานซืนคนนี้มาที่นี่เพื่อหา **** “
แต่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่ชื่อเหล่าหลิวกลับคว้าไหล่เขาเอาไว้อย่างกะทันหันด้วยความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ…