“ท่านพ่อ!” หนีหู่รีบเดินไปข้างๆ หนีเปียว แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ดูเหมือนสัตว์อสูรที่น้ำตกจะเริ่มเคลื่อนไหวแล้วขอรับ”
หนีเปียวไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขากลับเย้ยหยันขึ้นว่า “บทเรียนนี้ยังถือว่าเล็กน้อยสำหรับพวกเขาด้วยซ้ำ ลุงซวีของเจ้าน่าจะลงมือแล้ว เจ้ารอดูสามคนนั้นเสียแขนขาแล้วโดนหามไปที่ทางเข้าสุสานหลวงได้เลย ทุกคนที่อยู่ที่นั่นจะได้เห็นกับตาว่าพวกมันน่าหัวเราะเพียงใด”
หนีหู่พยักหน้า รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาดูหยิ่งผยองยิ่งกว่าครั้งใด
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นสังเกตเห็นเขา พวกเขาจึงเดินเข้ามาถามว่า “นายน้อยหนี มีข่าวดีหรือ”
“ก่อนหน้าที่เราจะออกเดินทาง มีคนจากตระกูลจูเก่อกล้าบอกว่าพวกเขาจะเอาชนะตระกูลหนีของเรา แต่ดูเหมือนว่าต่อให้พวกเราจะไปถึงทางเข้าสุสานหลวงและรอพวกเขาอยู่กว่าสามชั่วยาม แต่คนพวกนั้นก็คงยังมาไม่ถึง”
คนที่ได้ยินเขาต่างระเบิดหัวเราะออกมา “กลุ่มของตระกูลจูเก่อยังฝันหวานว่าจะชนะอยู่อีกหรือ”
“นี่ไม่ใช่การเอาไข่ไปกระทบหินหรอกหรือ”
“ใครเล่าจะไม่เห็นด้วย พวกเขาท้าใครไม่ท้า แต่กลับกล้าท้าทายนายน้อยหนี”
“ข้าคิดว่านายน้อยหนีคงไม่สนใจพวกเขาด้วยซ้ำกระมัง ไม่อย่างนั้นคนพวกนั้นจะยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร”
“ก็เพราะไม่มีอะไรให้สนใจน่ะสิ ความแข็งแกร่งระหว่างพวกเขาแตกต่างกันเกินไป เจ้าพวกผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากต่างเมืองนั่นก็ดีแต่คุยโวโอ้อวดเท่านั้น ไม่ใช่แค่นายน้อยหนี แต่เจ้าลองคิดถึงคุณหนูหนีสิ เจ้าคิดว่าจะมีใครเอาชนะนางได้หรือ”
“ข้าว่าต่อให้ผู้เข้าแข่งขันทุกกลุ่มในเส้นทางของพวกเรามาถึงแล้ว เราก็อาจจะยังไม่ได้เห็นเจ้าคนพวกนั้นเลยด้วยซ้ำ”
“ก็อย่างที่พวกเรารู้กัน พวกเขาอาจจะเอาชีวิตรอดมาไม่ได้ด้วยซ้ำ ปล่อยไว้เฉยๆ เดี๋ยวคนกลุ่มนี้ก็คงจะตายกันไปเอง พวกเขาช่างทำอะไรเกินตัวเสียจริง”
เมื่อได้ฟังคำพูดจากทุกคนที่อยู่รอบตัว ความหยิ่งผยองของหนีหู่ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี เขาแทบรอที่จะไปให้ถึงทางเข้าสุสานหลวงเพื่อเห็นสภาพอันน่าอับอายขายหน้าและน่าสมเพชของเจ้าสามคนนั้นไม่ไหวแล้ว
“เป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านพ่อ มีข่าวจากลุงซวีหรือไม่” หนีหู่หันหน้าไปถามเบาๆ
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหนีเปียวขณะที่เขาตั้งใจเงี่ยหูฟังเสียงเอะอะนั้น “ตอนนี้เสียงเงียบลงแล้ว น่าจะเป็นเพราะว่าท่านลุงทั้งสองของเจ้าไล่สัตว์อสูรตนนั้นไปแล้วกระมัง ตอนนี้พวกเขาคงกำลังลากกลุ่มของจูเก่ออวิ๋นออกมาจากที่นั่นอยู่ พวกเราเดินทางต่อแล้วไปรอใกล้ๆ ทางเข้าสุสานหลวงกันดีกว่า”
“ขอรับ!” หนีหู่ชอบเวลาที่ได้เห็นคนอื่นเสียใจในการกระทำของตัวเองเป็นที่สุด ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเพียงแค่จะหักแขนจูเก่ออวิ๋นทิ้ง แต่เจ้าสองคนนั้นกลับเอาแต่ทำตัวกร่างใส่พวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะเมตตาพวกเขาอีกต่อไป!
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเส้นทางที่สองพ่อลูกตระกูลหนีเลือกนั้นเป็นเส้นทางที่ไม่ค่อยมีอันตรายมากนัก มีกลุ่มที่รอดชีวิตอยู่ถึงเจ็ดกลุ่มจากสิบกลุ่ม
นอกจากนี้ พวกเขาก็ยังไม่เห็นกลุ่มที่มาจากเส้นทางอื่นในระหว่างทางขึ้นเขาอีกด้วย ดังนั้นพ่อลูกตระกูลหนีจึงยิ่งเชื่อว่าพวกเขาจะชนะ!
กว่าพวกเขาจะมาถึงทางแยกใกล้จุดนัดพบที่หน้าทางเข้าสุสานหลวงก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว และแล้วก็มีใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “ทุกคน! ดูนั่นสิ! ธงสีแดงนี่! มีคนไปถึงแล้ว!”
“ใครกันที่ไปถึงเร็วเพียงนั้น” ผู้ขับไล่วิญญาร้ายมองหน้ากันด้วยความสับสนงุนงง
หนีหู่ยังคงมีท่าทางอวดดีอย่างมาก “จะใครเสียอีกล่ะ ก็ต้องเป็นพี่สาวของข้าอยู่แล้ว พวกเจ้าทุกคนคงไม่เคยเห็นพี่สาวของข้ามาก่อน ในที่สุดพวกเจ้าก็จะได้เห็นนางเสียที”
ฝูงชนส่งเสียงฮือฮาด้วยความชื่นชมทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขา “สมกับเป็นพระชายามาเกิดใหม่! ต่อให้พวกเราจะบำเพ็ญเพียรเป็นสิบปี ก็คงไม่มีวันเอาชนะความเร็วนี้ได้ ดูธูปพวกนั้นสิ พวกเขาคงมาถึงที่นี่มากกว่าสามชั่วยามแล้ว”
“คุณหนูหนีช่างยอดเยี่ยมจริงๆ! ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยเชื่อข่าวลือเรื่องที่นางเป็นพระชายากลับชาติมาเกิดเลย แต่ตอนนี้นางอยู่ที่นี่แล้ว ข่าวลือพวกนั้นเชื่อถือได้จริงๆ!”
“ชู่ว เจ้าอย่าได้พูดเช่นนี้ต่อหน้าตระกูลหนีเชียว พวกเขาอาจไม่พอใจเอาได้”
“ในความคิดของข้า ตระกูลจูเก่อคงจบสิ้นแล้ว อย่างไรจูเก่ออวิ๋นก็ยังเด็กมาก เรื่องบางอย่างก็คงจะหนักหนาสาหัสเกินไปสำหรับเขา”
“เขารนหาเรื่องเอง อำนาจของตระกูลหนีไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะมองเห็น ทั้งที่คุณหนูหนีออกจะใจดีและเอาใจใส่ผู้อื่นเป็นอย่างดี แต่เขาก็ยังกล้ากล่าวหาว่าตระกูลหนีซ่อนจุดประสงค์อื่นเอาไว้เบื้องหลัง”
“รอดูกันดีกว่าว่าหลังจากนี้เขาจะปรากฏตัวขึ้นเมื่อใด ระหว่างทางมาถึงที่นี่ เขาอาจจะถูกฆ่าตายไปแล้วก็ได้กระมัง”
คนเหล่านั้นส่ายหน้าพร้อมกับพูดไปพลางเดินไปพลาง แต่ยังไม่ทันจะเดินมาถึงทางเข้าสุสานหลวง พวกเขาก็สังเกตเห็นร่างอันงดงามราวกับเทพธิดาได้เสียก่อน
ผู้หญิงคนนั้นอยู่ในเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาว แตกต่างจากคนอื่นๆ ที่สวมชุดเครื่องแบบสีเขียว หมวกและผ้าคลุมหน้าที่นางสวมอยู่นั้นยิ่งทำให้นางดูราวกับไม่ใช่คนบนโลกนี้ แม้จะมีผ้าคลุมสีขาวปิดบังใบหน้าไว้ แต่ความงามของนางก็ยากที่จะปกปิดได้
เสียงไอดังขึ้นเบาๆ ก่อนที่ทุกคนจะเดินเข้าไปถึง นางดูอ่อนแอเสียจนพวกเขาอดสงสัยไม่ได้ว่านางคงป่วยเป็นโรคร้ายบางอย่าง และนั่นยิ่งทำให้ทุกคนอยากปกป้องนาง
เด็กสาวที่ดูเหมือนสาวใช้ของนางยืนอยู่ข้างหลัง นางดูหน้าตาค่อนข้างธรรมดา แต่ดวงตาของนางกลับแผ่บรรยากาศเยือกเย็นราวกับบ่อน้ำโบราณออกมา
สาวใช้คนนั้นส่งตะเกียงน้ำมันให้กับหญิงสาว น้ำเสียงของนางอ่อนโยนทีเดียว “ระวังด้วยเจ้าค่ะคุณหนู”
คุณหนูแห่งตระกูลหนีดูน่าเข้าหาและใจดียิ่งนัก แม้กระทั่งท่าทางของนางที่มีให้กับสาวใช้ก็ยังอ่อนโยนอย่างมาก “ขอบใจ”
สาวใช้ยิ้ม แล้วกลับไปยืนอยู่ที่ด้านหลังของหนีเฟิ่ง
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนล้วนแต่เคยได้ยินเรื่องความงามของคุณหนูใหญ่ตระกูลหนี แต่พวกเขาไม่เคยเห็นนางมาก่อน เมื่อได้มาเห็นนางตอนนี้ ทุกคนจึงไม่กล้าพอที่จะรบกวนความสงบของนาง
ว่ากันว่าพระชายาที่มาเกิดใหม่มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า และยังค่อนข้างมีความคล้ายคลึงกับพระโพธิสัตว์
จากที่พวกเขาเห็น แค่บุคลิกของคุณหนูอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่ทำให้นางเหมาะสมที่จะเป็นพระชายามาเกิดใหม่ แล้วนับประสาอะไรกับพลังวิญญาณที่อยู่รอบตัวนางเล่า
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนรู้สึกว่าในที่สุดพวกเขาก็ได้ประสบพบกับเทพธิดาตัวจริงเสียงจริง ดังนั้นความชื่นชมในใจของพวกเขาจึงยิ่งเพิ่มขึ้น
ใบหน้าของหนีหู่เต็มไปด้วยสีหน้าอวดดี “ทุกคน คนผู้นี้คือพี่สาวของข้า พระชายาตัวจริง!”
“หู่จื่อ เลิกอวดได้แล้ว” หนีเฟิ่งไอออกมาเบาๆ สองครั้ง ใบหน้าของนางแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม
แม้นางจะพูดเช่นนั้น แต่นางก็ไม่ได้ปฏิเสธในสิ่งที่เขาพูด
ตอนแรกผู้ขับไล่วิญญาณร้ายยังไม่เชื่อในข่าวลือนั้น แต่เมื่อได้เห็นหนีเฟิ่ง ทุกคนก็คลายความสงสัยลง
การที่สตรีอ่อนแอเช่นนางจะสามารถมาถึงที่นี่ได้รวดเร็วกว่าพวกเขาทุกคนย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้านางเป็นพระชายาที่มาเกิดใหม่จริง เช่นนั้นนางย่อมทำได้อย่างแน่นอน!
บรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายไม่ทันคิดเลยว่าธงสีแดงที่ปักอยู่ตรงนั้นจะเป็นฝีมือของคนอื่น ในใจของพวกเขามีแต่เพียงความชื่นชมเท่านั้น
หนีเปียวลูบเคราของตัวเอง แล้วพยักหน้าด้วยความพอใจเมื่อได้เห็นภาพนี้ สิ่งเดียวที่เหลือตอนนี้ก็แค่รอให้พวกเหล่าซวีหามสามคนนั้นมาขอขมาตระกูลหนี แล้วทุกอย่างก็จะสมบูรณ์แบบ…