ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ – บทที่ 5 ออโรร่าน้อยกับการใช้เวทครั้งแรก

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

“ให้ตายสิคะ หมดสติไปแบบนี้แล้วจะทำยังไงดีเนี่ย”

ผมพึมพำบ่นขึ้นมาเห็นเด็กหนุ่มที่ผมช่วยไว้โดยบังเอิญกำลังดึงขาผมไว้ในสภาพของร่างกายที่เรียกได้ว่า….ยับเยินสุดๆ ไม่ว่าจะส่วนไหนของแผลก็ดูเต็มไปด้วยบาดแผลทั้งนั้น

หากให้ประเมินตามหลักความรู้ทั่วไปแล้ว แผลขนาดนี้คงได้นอนประคบน้ำแข็งยาวแหงๆ แต่ว่านะ ทำไมไอ้คนที่น่าจะเจ็บถึงขนาดนั้นมันถึงได้แรงเยอะจังเนี่ย ฮือออ แกะมือไม่ออกงะ

ผมพยายามออกแรงดึงนิ้วของเจ้าเด็กตาแดงออก แต่ไม่รู้ว่าหมอนี่เอาแรงมาจากไหน ทำให้ผมไม่สามารถแกะนิ้วของหมอนี่ได้แม้แต่นิ้วเดียว

วิ่งสุดแรงเกิดเลยดีไหมเนี่ย

ตอนแรกความคิดนี้วิ่งผ่านเข้ามาในหัวของผม แต่ก็รีบส่ายหน้าทันที เพราะถ้าขืนทำงั้นไปกระโปรงตัวเล็กๆ ที่ผมใส่อยู่ได้หลุดแน่นอน

เป็นสาวน้อยว่าแย่แล้ว ถ้าถูกเห็นกระโปรงหลุดตอนร่างนี้อีกล่ะก็ รับรอง…..อายยันชาติหน้าแน่ๆ

ให้ตายสิ หรือว่าจะตะโกนให้คุณพ่อมาช่วยดี…..นั่นก็ไม่ดี ขืนมาเห็นในสภาพนี้คุณพ่อได้คิดไปไกลเป็นเรื่องอื่นแน่นอน แทนที่จะได้ช่วยจะกลายเป็นได้เก็บศพแทน

เฮ้อ หรือว่าต้องรอจนกว่าหมอนี่จะฟื้นเนี่ย แล้วถ้าแบบนั้นไอ้ผมไม่ต้องรอยันพระอาทิตย์ตกดินเลยเรอะ….ให้ตายสิ ถ้าใช้เวทรักษาได้ก็ดีนะ

“อยากไหมละ”

จู่ๆ เสียงกระซิบอันแสนคุ้นเคยจากซาตาน…เอ้ย พระเจ้าก็ดังขึ้นมาข้างหูพร้อมกับเสียงอันแสนจะเต็มไปด้วยความไม่น่าไว้วางใจ

ถ้าถามว่าอยากไหมก็อยากอยู่หรอก เพราะงั้นอย่างน้อยถ้าพอใช้เวทรักษาขั้นต้นได้ก็น่าจะทำให้ร่างกายหมอนี่มันพอฟื้นมาปล่อยตัวผมง่ายขึ้นอยู่หรอกนะ

“หากนั่นเป็นประสงค์ของพระองค์ ตัวข้านั้นก็อยากจะได้รับพลังแห่งการเยียวยามา แม้จะน้อยนิดแต่หากช่วยเหลือลูกแกะผู้น่าสงสารนี่ให้สามารถปลดปล่อยพันธนาการได้ก็นับเป็นเรื่องอันดี”

“ก็อย่างที่เคยบอกไปตอนนั้นว่าให้เวทกับเจ้าไปแล้ว เพราะงั้นอย่าว่าแต่เวทรักษาขั้นต้นเลย แรงกว่านี้ก็สบายๆ”

ว่าไงนะ!

ฟังแค่นี้ตัวผมก็ถึงกับหูผึ่ง เพราะแปลว่าแม้แต่ผมที่เป็นเด็กแบบนี้ก็ยังสามารถใช้เวทได้ยังงั้นสินะ! ไม่สิ ไม่ใช่แค่ใช้เท่านั้น แต่ผมยังทำอะไรที่มันล้ำกว่านั้นได้

      เพราะอย่างแรกเลย เด็กทั่วไปนั้นต่อให้จะเป็นอัจฉริยะทางเวทขนาดไหนแต่หากจะเริ่มใช้เวทได้ล่ะก็ อย่างน้อยก็ประมาณสิบขวบ หากเร็วกว่านั้นล่ะก็ต้องเป็นเด็กเกิดมาเพื่อเป็นมหาปราชญ์หรือไม่ก็พวกผู้กล้าเท่านั้น ดังนั้นแล้วหากผมใช้เวทขั้นสูงได้ตั้งแต่ห้าขวบก็หมายความว่าผมนั้นมัน…..โคตรจะสุดยอดเลยไงละ

ต่อให้ต้องขายวิญญาณกับปีศาจไงก็ยอม! ถ้าทำให้ใช้เวทสุดเท่ได้ล่ะก็ แค่นั้นมันคุ้มมาก!

พอได้ยินแบบนั้นผมก็รีบยื่นมือของตัวเองออกไปพลางท่อง นะโม ๆ สามจบก่อนจะพยายามคิดถึงภาพนักบวชเวลาฮีลคนอื่นในอนิเมซึ่งพอตอนท้ายผมก็ตะโกนว่า

“รักษา!”

….

เงียบ เงียบฉี่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ไม่ว่าจะแสงเอฟเฟคของเวทรักษา หรือแม้แต่ผลจากการรักษา เจ้าเด็กที่สภาพยับเยินก็ยังคงยับเป็นกระดาษอยู่เหมือนเดิม

อ้าวเฮ้ย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า

“ก็อย่างที่บอกไปตอนให้พลังว่ามีเงื่อนไข ดังนั้นหากเจ้าไม่ทำตามเงื่อนไขที่ว่า พลังมันก็ไม่ออกหรอกนะ”

เอ้า ถ้ามีก็บอกกันตั้งแต่แรกดิ อย่ามามุบมิบกันนะ!

“อย่างที่รู้กันว่าพลังอันยิ่งใหญ่นั้นมาพร้อมกับเงื่อนไขที่ใหญ่ยิ่ง”

ความรับผิดชอบเฟ้ย!

“ดังนั้นแล้วตัวเจ้าที่เป็นผู้ได้รับพลังจากข้าโดยตรง เวลาจะใช้ทั้งที มันก็ต้องแสดงถึงความกตัญญูต่อผู้ให้น่ะจริงไหม”

ไม่รู้ว่าทำไมน้ำเสียงของพระเจ้านั้นดูเจ้าเล่ห์ขึ้นทุกที แถมผมเองก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบๆ จนราวกับว่าที่ผมกำลังทำสัญญาด้วยอยู่ไม่ใช่ซาตานแต่มันเป็นอะไรที่อันตรายยิ่งกว่านั้น

“คะ…ความกตัญญูอย่างงั้นเหรอพระองค์ท่านผู้ยิ่งใหญ่”

“ใช่ เพราะงั้นแล้วตัวนายที่จะใช้พลังของฉันจะต้องกล่าวคำสวดอ้อนวอนก่อนใช้พลังเสมอยังไงล่ะ!”

ว้ากกกก นั่นไง มันมาจริงๆ ด้วย ไม่เอา ไม่เอา ไม่อ้าวววววววว

นี่ขนาดแค่พูดประโยคทั่วไปยังต้องมาเป็นคำพูดสรรเสริญชื่นชมพระเจ้าก็แทบอยากจะเอาหัวซุกกับปี๊ปอยู่แล้ว นี่ยังเพิ่มกล่าวคำสวดอ้อนวอนไปตอนใช้พลังอีก ผมขอเอาหัวยัดโถส้วมตายซะยังจะดีกว่า

“ก็ตามนั้นแหละ จะใช้หรือไม่ใช้ก็ขึ้นกับเจ้าแล้วกันนะ”

สิ้นเสียง ผมก็รู้สึกได้ถึงตัวตนของพระเจ้าที่หายไป ทว่าความกดดันที่เขาทิ้งเอาไว้ให้ผมนั้น มันช่างมากมายเกินกว่าตัวตนของเขาเสียอีก

ค…คำอ้อนวอนงั้นเรอะ …..ไม่เอาอะ น่าอายตายชัก

แต่แล้วความลังเลของผมมันก็เปลี่ยนไปทันทีเมื่อให้มาเปรียบเทียบระหว่างการต้องมายืนแช่แบบนี้กับพูดอะไรน่าอายไปไม่กี่ประโยค

เอาก็เอาฟะ

ผมพยายามรวบรวมความกล้าทั้งหมดของตัวเองพร้อมหายใจสูดอากาศเข้าจนเต็มปอดก่อนที่จะยื่นมือออกไปเพื่อเตรียมการร่ายเวท

เอาล่ะนะ หนึ่งสอง…….จัดไป!

“พระองค์ผู้ยิ่งใหญ่เอ๋ย ความเมตตาของท่านนั้นประดุจแสงสว่างอันยิ่งใหญ่ ประดุจหยาดฝนอันคืนชีวิตให้กับผืนดิน ดังนั้นตัวข้าผู้ต่ำต้อยขอท่านทรงโปรดประทานความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์เพื่อรักษาลูกแกะน้อยผู้น่าสงสารนี้ด้วยเถิด”

โคตรน่าอาย

…..

ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น……ทุกอย่างยังเงียบเหมือนเดิม ไม่มีพลังอะไรออกมา ทั้งๆ ที่ผมพูดคำสวดอันแสนน่าอายจนอยากเอาหน้าซุกปี๊ป

อ้าวเฮ้ย นี่ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า ไหงใช้แล้วไม่ออก ทั้งๆ ที่ผมต้องทนอับอายขนาดนี้แล้วแท้ๆ นะ เฮ้ย ไอ้พระเจ้าออกมาคุยกันหน่อยดิ

“โอพระองค์ แม้ข้าต้องทนทุกข์ทรมานจากการพยายามอาจเอื้อมใช้พลังที่พระองค์ทรงประทาน เหตุใดสิ่งนั้นจึงไม่อาจสำแดงฤทธิ์ได้”

โอ้ยยย อายซ้ำอายซ้อน ยังมีไอ้นี่ตามมาอีก…..

“อย่าลืมรอยยิ้มแสนสดใสด้วยดิ ไหนๆ จะร่ายเวทรักษาแล้ว แบบนี้มันของจำเป็นนะ”

เฮ้ย นี่มันเวทสายนักบวชนะไม่ใช่สาวน้อยเวทมนตร์ ทำอะไรก็เพลาๆ เห็นใจเด็กน้อยตาดำๆ แบบผมหน่อยเหอะ

เอาฟะ ยิ้มก็ยิ้ม

…..

ไม่รู้ว่ารอยยิ้มของผมที่ยิ้มออกมาด้วยความเขินจนใบหน้าแดงก่ำนี้จะออกมาเป็นยังไง แต่ที่แน่ๆ มันจะต้องเป็นรอยยิ้มสุดจะแข็งที่เกิดจากการฝืนยิ้มราวกับเอาเทปกาวมาดึงแน่นอน

และตอนนั้นเองที่ผมได้เผยยิ้มของตัวเองออกไป ไม่ต้องแม้แต่จะรวบรวมพลังหรือตั้งสมาธิอะไรทั้งนั้น พลังเวททั่วร่างของผมก็เอ่อล้นออกมาส่องแสงเป็นประกายอันแสนเจิดจ้าก่อนที่มันจะพุ่งตัวเข้าไปคลุมตัวเด็กหนุ่มตรงหน้าของผม

แสงอ่อนๆ สีขาวนวลได้วิ่งจนครอบคลุมร่างกายของเด็กหนุ่มตาแดงจนหมด ก่อนที่มันจะทอแสงเรืองขึ้นมากกว่าเดิม ตามมาด้วยบาดแผลและรอยช้ำทั่วร่างที่บัดนี้เริ่มจางลงจนไม่เหลือร่องรอยของอาการบาดเจ็บแม้แต่น้อย

ยิ่งกว่านั้น ความเยี่ยมยอดจากการเสียสละความอับอายของผมนั้นไม่ได้แค่ทำให้แผลหายไปแต่มันยังฟื้นฟูพลังกายของคนอื่นมาด้วย เพราะงั้นร่างกายที่ดูหอบเหนื่อยอ่อนล้าของเด็กคนนี้เลยเริ่มฟื้นขึ้นมาจนเหมือนอาการหายเป็นปลิดทิ้ง

“อือออ”

เด็กหนุ่มคนนี้เริ่มได้สติขึ้นมา พร้อมกันนั้นมือของเขาที่กำชายกระโปรงของผมแน่นก็เริ่มคลายออกนั่นทำให้ในที่สุดผมก็เริ่มที่จะผ่อนลมหายใจเพราะจะได้ไปกินขนมปังต่อสักที

ฟื้นมาจนได้ เอาเถอะก็คุ้มกับการที่เราต้องทนอับอายกับไอ้บทร่ายบ้าๆ นั่นล่ะนะ

“ในที่สุดก็ฟื้นแล้วสินะคะ ช่างคุ้มค่ากับการทรมานอันแสนเล็กน้อยนั่นจริงๆ”

แล้วไหงคำพูดผมมันถึงบิดมั่วไปมั่วมาได้แบบนั้นฟะ เอาเถอะไหนๆ ก็ปล่อยแล้วได้เวลาผมต้องเดินไปแล้วล่ะมั้ง

แต่ขณะที่ผมกำลังนึกขึ้นได้ผมก็จำได้ถึงหินที่กระเด็นเข้ามาอยู่ในมือตอนที่พวกเด็กบ้านั่นปามา ซึ่งดูจากอาการของเด็กคนนี้แล้ว มันน่าจะเป็นของสำคัญน่าดู เพราะงั้นถึงผมจะไม่ใช่คนดีอะไรมากมายแต่ก็รู้อยู่ว่าควรทำอะไร

ผมหันหลังกลับไปก่อนที่จะย่อเข่าตัวเองลงแล้วนำหินที่อยู่ในมือของตัวเองใส่เข้าไปในมือเขาโดยไม่ให้เขารู้สึกตัวเพื่อที่จะไม่ต้องมาเผลอฉุดลากมือผม

“นั่นมันอยู่นั่นงับ”

เสียงเด็กเปรตอันคุ้นหูนั้นกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้มันต่างไป เพราะเสียงฝีเท้าที่ตามมานั้นไม่ใช่แค่เพียงลูกน้องของมันแต่กลับเป็นเสียงเท้าจำนวนมหาศาล

“เจ้าหนู เจ้าบอกว่ามีปีศาจงั้นเหรอ”

“ใช่แล้ว พวกผมเห็นตาแดงๆ ของมันครับ!”

ผมรีบหันไปตามเสียงทันทีก็พบว่าตอนนี้ที่ปากทางเข้าซอยกำลังเต็มไปด้วยเหล่าชาวบ้านหลายสิบคนที่ใบหน้าล้วนตื่นตระหนก ในมือของแต่ละคนนั้นต่างถือสิ่งที่พอจะหาได้ ส่วนใหญ่หากไม่เป็นพวกเคียวก็เป็นพวกมีด มีบางคนที่ยังพกหอก พกดาบมาบ้าง

“หนูออโรร่ารีบถอยออกมา!”

พวกผู้ใหญ่ทุกคนต่างร้องขึ้นมาทันทีที่เห็นผมยืนอยู่ด้วยกันกับเด็กหนุ่มตาแดงที่ตอนนี้นอนหมอบอยู่กับพื้น

มันก็คงไม่แปลกเท่าไหร่ที่พวกเขาจะตกใจและเป็นห่วงผมขนาดนี้ เพราะนอกจากอายุของผมจะเป็นเพียงเด็กห้าขวบที่น่าจะทำอะไรไม่ค่อยเป็นแล้ว ตัวผมซึ่งโดนคำสาปพูดคำแสนจะสุภาพก็เลยพลอยทำให้พวกผู้ใหญ่ต่างปลื้มปริ่มกันถ้วนหน้า…..นี่นับเป็นข้อดีได้ใช่ไหม?

แต่ว่านะ แค่มีสีตาเป็นสีแดงแค่นี้ถึงกับยกคนทั่วหมู่บ้านมายังกับมอนเตอร์บุกแบบนี้ ไม่เวอร์ไปหน่อยรึไงนั่น เอาเถอะ ไงๆ เราก็อยู่ในยุคสมัยเก่าที่เต็มไปด้วยความเชื่อเพราะงั้นคงไม่แปลกถ้าจะมีความคิดอะไรแนวนี้หลงเหลือ

ให้ตายสิ ดูคุณลุงคุณน้าแต่ละคนทำหน้าน่ากลัวทั้งนั้นเลย สงสัยออโรร่าคนนี้คงต้องลดแรงตรึงเครียดนิดหน่อยแล้วล่ะมั้ง

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นเหรอคะ?”

คิดได้แบบนั้นผมก็ทำตาของตัวเองให้โตขึ้นก่อนจะเอ่ยเสียงใสถามไปราวกับเด็กน้อยอันแสนใสซื่อที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

“หนูออโรร่าช่างน่ารัก…..เอ้ย ไม่ใช่ เรื่องนั้นไว้ก่อนตอนนี้ลุงว่าหนูออกมาก่อนดีกว่านะ”

พวกผู้ใหญ่นั้นเผลอยิ้มหน้าเคลิ้มไปชั่วขณะที่เจอผมถามด้วยความใสซื่อไปแต่ก็ได้แปปนึงก่อนที่พวกเขาจะได้สติจากนั้นถึงแม้สีหน้าจะเริ่มคลายลงแต่ก็ยังระแวงเจ้าเด็กน้อยที่นอนหมอบอยู่ตรงนั้น

และนั่นทำให้ผมโคตรจะสงสัยเลยว่า ต่อให้เจ้าเด็กนี่จะเป็นปีศาจก็ตามแต่ถ้าขนาดเจ้าเด็กสามคนมันรุมกระทืบเจ้าหมอนี่ได้ซะสภาพบอบช้ำขนาดนี้ คงไม่น่ามีอันตรายขนาดต้องขนคนมาทั้งหมู่บ้านแล้วมั้ง รู้สึกว่าพวกลุงๆ ป้าๆ จะกลัวกันเกินเหตุไปแล้วนะ

“ไหน ไอ้ปีศาจตนไหนมันบังอาจมาฉุดลูกสาวพ่อ”

จู่ๆ ร่างของคุณพ่อผู้ที่กำลังยืนคุยกับคุณลุงก็ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงตะโกนของความกังวลที่ดูแล้วน่าจะเป็นคนละเรื่องกับชาวบ้านชาวช่องสุดๆ

นี่คุณพ่อ คุณพ่อดูจะมาผิดจังหวะไม่พอแถมผมว่าปีศาจที่คุณพ่อหมายถึงน่าจะหมายถึงคนล่ะอย่างกับปีศาจที่ชาวบ้านว่ากันแล้วมั้ง!

“ปีศาจอะไรกันคะ! ตอนหนูมาหนูก็เห็นแต่สามคนนี้รุมรังแกเด็กคนเดียวนะคะ”

ผมทำเป็นอุทานตกใจก่อนจะย่อเข่าประคองเจ้าเด็กคนนี้ขึ้นมาพลางทำหน้าไม่พอใจเล็กน้อยก่อนจะรีบผายมือชี้ไปที่เจ้าเด็กนักเลงทั้งสามคน

“เรื่องตาแดงอะไรพวกนั้นเหลวไหลทั้งเพค่ะ”

 

   ทันทีที่ผมพูดขึ้นเจ้าพวกเด็กน้อยทั้งสามคนถึงกับสะดุ้งโหยงงก่อนจะเริ่มทำตัวโวยวาย แต่ว่านะพวกนายเอ๋ย ชั่วโมงบินของพวกเรามันต่างกัน ระหว่างเจ้าเด็กแบเบาะอย่างพวกนายกับเด็กนักเรียนผู้หาเรื่องแถตอนส่งการบ้านช้ากับอาจารย์อย่างผม มองทางไหนก็รู้แล้วว่าใครจะชนะ

อีกอย่างตอนนี้ผมพอมีหลักฐานที่จะช่วยเด็กคนนี้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่ตอนที่เขาได้รับแสงการรักษาของผมที่ฟื้นทั้งร่างกายและกำลัง สีตาของเขาเริ่มเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีม่วงอเมธิสต์สวย

แต่เรื่องพวกนั้นช่างมันก่อนเพราะอย่างน้อยผมก็มีเรื่องให้สามารถดัดเส้นเจ้าพวกเด็กเกรียนพวกนี้ได้แล้ว หึๆ อย่าหวังว่ามาทำร้ายขนมของผมไปแล้วจะรอดได้ง่ายๆ นะพวกแก

“เพราะตั้งแต่ที่หนูมาช่วยเขาก็เห็นว่าตาเขาเป็นสีม่วงตั้งแต่แรกนะคะ เรื่องสีแดงอะไรนั่นน่ะหนูว่าพวกเขาคงโกหกทุกคนแล้วล่ะค่ะ”

“ว่าไงนะยัยเผือ….”

เจ้าพวกนั้นตอนแรกกำลังจะเถียง แต่ว่าทันทีที่มันดันใช้คำหยาบกับออโรร่าน้อยผู้น่ารัก คุณพ่อผู้แสนดีของผมก็เปลี่ยนสายตาจนน่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจ ทำเอาพวกนี้รีบปิดปากของตัวเองทันที

หึ จำไว้ซะเจ้าพวกตัวร้ายเกรดบี อย่ามาว่าร้ายออโรร่าต่อหน้าคุณพ่อผมเด็ดขาด

“ลองดูสิคะทุกคน เป็นสีม่วงอย่างที่หนูบอกไว้ใช่ไหมล่ะคะ”

ผมพยายามสะกิดเด็กน้อยผมดำที่ถูกผมพยุงตัวขึ้นมาให้ลืมตาเพื่อเป็นหลักฐานให้ทุกคนเชื่อใจซึ่งพอเขาลืมตาขึ้นแล้วนั้นก็ทำให้ชาวบ้านทุกคนพยักหน้าตามที่ผมพูด

“บ้าน่าก็ตอนนั้น”

“ไอ้พวกเด็กเปรต มาหลอกพวกเราได้นะ ฉันจะเอาเรื่องนี้ไปบอกแม่พวกแก รับรองได้ก้นลายแน่”

คุณลุงคนหน้าสุดได้ชกหมัดเขกเข้าไปที่หัวของเด็กอ้วนทีหนึ่งจนมันเจ็บถึงขั้นยกมือขึ้นมากุมหัวก่อนจะชักชวนให้ทุกคนกลับไปซึ่งตอนแรกเจ้าพวกนั้นคิดจะทักท้วงแต่ก็ไม่มีใครเชื่อหรอก

ก็แหม ระหว่างเด็กเกเรสามคนกับเด็กสาวน้อยอัจฉริยะขวัญใจชาวบ้าน ไม่ว่าจะมองมุมไหนๆ เครดิตมันก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว เพราะงั้นเจ้าพวกเด็กน้อยเอ๋ยขอบอกเลยว่า…..อ่อนแอ!

“อืมก็คลายเรื่องกังวลไปได้หนึ่งเรื่องล่ะนะ ว่าแต่หนูออโรร่าแสงนั่นมัน”

ผมเหลือบตาไปมองแสงที่รักษาเด็กตาแดงซึ่งแม้มันจะเริ่มจางลงแต่ก็ยังคงทอแสงวาวของการฟื้นฟูอยู่ หากให้เดาก็คงเป็นเพราะอาการเหนื่อยทางร่างกายของเจ้าเด็กนี่น่าจะเยอะพอตัวเลยเสียเวลาพักหนึ่ง

แต่ให้ตอบไปว่าผมร่ายหรือจัดการน่ะ รับรองว่าผมได้เจอปัญหาแน่ ดังนั้นต้องอ้างว่ามีนักบวชแปลกหน้ามารักษาให้….ใช่ ดูจากสภาพเครดิตที่ยังมีอยู่มากของผมแล้ว ถึงมันจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่แต่พวกชาวบ้านคงเชื่อแน่นอน

“คือว่า…”

“คือเธอคนนี้เป็นคนรักษาผมเองครับ”

ไอ้คนเนรคุณ!

————————————————————

จบไปแล้วอีกตอนนะครับกับหนูออโรร่า เป็นกันไงบ้างครับกับเงื่อนไขสุดบรรเจิดของท่านเทพเจ้า 555+

ก็ขอโทษทีหายไปนานนะครับพอดีต้องนั่งรถไป กทม เพื่อไปงานถ่ายรูปรับปริญญาเพื่อนช่วงวันเสาร์เลยไม่ได้พกคอมไปด้วย 555

ปล.ทุกคอมเม้นคือกำลังใจจ้า

 

 

 

 

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

Status: Ongoing
ตายไปต่างโลกไม่พอ ดันโดนเสกให้เกิดเป็นสาวน้อยน่ารักอีก หนักกว่านั้นไอ้พระเจ้าเฮงซวยดันสาปให้ทุกคำพูดที่จะด่ามันกลายเป็นสรรเสริญมัน เลยทำเอาชาวบ้านเข้าใจผิดว่าผมเป็นนักบุญซะงั้น เรื่องราวของสาวน้อยออโรร่าที่ถูกพระเจ้าให้พร(?) ไม่ว่านางจะพูดสิ่งใดก็ออกมาเป็นคำสรรเสริญพระเจ้าที่ออกมาจากจิตใจอันแน่วแน่ซึ่งแม้แต่เหล่าคนบาปทั้งหลายก้ยังต้องซึ้งในความศรัทธาของนาง (เรอะ) เอาล่ะ เรื่องราวน่ารักสดใสปนกาวเป็นถังขอเปิดอ้อมอกต้อนรับทุกท่านให้สูดกาวไปร่วมกันกับเหล่าตัวละครทั้งหลายที่ไม่รู้ว่าเมามาจากไหนกันเถอะ! ที่จริงเป็นเรื่องที่ลงในเด็กดีนานแล้วแต่มารีไรท์เพื่อแก้คำต่าง ๆ ครับ ส่วนตอนล่าสุดก็อัพเดทเรื่อย ๆ ในเด็กดี จะพยายามแก้ตอนเก่าให้ทันตอนใหม่ครับผม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท