ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ – บทที่ 21 ออโรร่ากับการทำน้ำมนต์

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

         “ให้ตายสิ รู้สึกสงบแปลกๆ”

         ผมพูดขึ้นมาขณะกำลังเอนตัวพิงเก้าอี้มองกองกระดาษบนโต๊ะโดยแอบเบื่อเล็กน้อย เพราะตอนนี้ก็ผ่านมากว่าสองเดือนแล้ว แต่สิ่งที่ได้ทำมีแค่การออกไปปฏิบัติภารกิจของนักบุญแบบง่ายๆเช่นการไปร่วมสวดตามงานหรือไปยืนโบกมือเวลาที่ท่านสังฆราชอยากให้ไปด้วย ที่เหลือก็ไม่มีอะไรพิเศษ

         พวกงานยากๆแบบครั้งแรกสุดที่ผมเจออย่างงานช่วยเหลือผู้คนที่ถูกไฟไหม้ก็ไม่มีมาให้เห็น แต่ก็ไม่แปลกอะไรเพราะจากคราวก่อนที่ผมล้มลงไปด้วยความอาย พวกงานยากๆแบบนี้ก็หายไปหมด

         แต่ที่แปลกใจคือช่วงสองเดือนที่ผ่านมา แทบไม่มีรายงานผิดปรกติอะไรจากหน่วยข่าวกรองที่ส่งมาถึงผมเลย

         ตอนนั้นผมได้ส่งพวกเขาไปสืบการกระทำที่น่าสงสัยของท่านค์เฮอร์แมน แต่รายงานทั้งหมดก็รายงานกลับมาแค่ว่าเขายังคงปกครองเขตแดนของเขาและพยายามเร่งฟื้นฟูเขตเซาท์เรสเวนเท่านั้น

         ที่ยังไม่เปลี่ยนนั้นคือเขายังชอบส่งคำร้องขอยากๆที่คนทั่วไปไม่น่าจะทำได้มาเป็นประจำ ซึ่งตรงนี้ผมก็ได้ข้อมูลเพิ่มเติมแค่ว่า หลังจากร้องขอเสร็จ เขาก็ไปบอกพวกชาวบ้านว่าให้รอพวกท่านนักบวชมาช่วยเพียงอย่างเดียว

         “อืม…นี่มันปรกติจนน่าแปลกใจริงๆ”

         เจ้านี่น่ะมีการกระทำอะไรที่น่าสงสัยเต็มเลย แถมจุดประสงค์ของมันผมก็เริ่มพอรู้คร่าวๆแล้วด้วยสิ

         “ออโรร่ากำลังทำอะไรอยู่งั้นเหรอคะ?”

         “ชะเว้ยเฮ้ย”

         ผมสะดุ้งตัวขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงของมาเรียเรียกมาจากทางด้านหลัง ผมรีบคว้าซองจดหมายจากหน่วยข่าวกรองยัดเข้าไปในลิ้นชักอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยความซวยดันรีบไปหน่อย ทำให้นิ้วโดนหนีบไปซะอย่างงั้น

         “เอ่อ เป็นอะไรมากไหมคะ ออโรร่า?”

         มาเรียรีบเดินเข้ามาดูทันทีเมื่อเห็นว่านิ้วของผมบวมแดงขึ้นจากการถูกลิ้นชักหนีบ จากนั้นเธอก็ค่อยๆยกมือของผมขึ้นมาอย่างช้าๆ

         “โอม ความเจ็บปวดเอ๋ยจงหายไป”

         ลมอ่อนๆได้ถูกเป่าออกมาจากริมฝีปากบางๆของมาเรีย มันค่อยๆผ่านนิ้วมือที่บวมของผม ซึ่งแน่นอนว่าตามหลักทางธรรมชาติแล้วความปวดมันก็ไม่ได้ลดลงหรอก

         แต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะ เพราะตอนนี้ผมกำลังถูกสาวน้อยน่ารักร่ายเวทรักษาแบบเด็กๆด้วยการเป่าแผล ซึ่งแม้จะไม่ทำให้อาการมันหายไปแต่จิตใจของผมนั้นมันช่างสดชื่นขึ้นราวกับถูกเยียวยาจากความบอบช้ำที่สะสมมานับเดือน

         อาห์~ ฟินครับ

         ไม่นึกไม่ฝันว่าชีวิตนี้ของเด็กหนุ่มผู้ไร้ซึ่งสาวแลอย่างผมจะมีสาวน้อยน่ารักมาทำอะไรสุดแสนจะคิ้วท์ๆแบบนี้ให้เลย ถึงผมจะไม่ชอบแกก็เถอะนะเจ้าพระเจ้า แต่รอบนี้ต้องขอขอบคุณมาก!

         ยิ่งกว่านั้น ภาพของมาเรียที่พยายามช่วยผมอย่างเต็มที่นั้นมันช่างดูน่ารักน่าหยิกเสียเหลือเกิน

         “ออโรร่าคะ….ท่านออ…ท่านออโรร่าคะ”

         เหมือนผมจะมีความสุขเพลินมากไป ทำให้ผมดันไปจ้องมาเรียซะจนเธอเริ่มรู้สึกถึงสายตาที่ไม่ค่อย…..ดูน่าไว้วางใจของผมเท่าไหร่ ทำให้เธอเริ่มออกอาการเขินอายมากขึ้น และสงสัยเธอจะทนไม่ไหว ทำให้เธอพยายามเรียกชื่อผมเพื่อพาสติที่กำลังถูกความเป็นชายในชาติก่อนครอบงำกลับคืนมา

         “เอ่อมีอะไรงั้นเหรอคะ? “

         เมื่อสติกลับคืนมาผมก็รีบเก็บอาการคลั่งของตัวเองขึ้นมาทันที นี่ผมลืมไปได้ไงกันว่าตรงหน้าผมคือสายลับที่หวังจะหาข่าวลือเสียๆหายๆของผมมาข่มขู่เพื่อบังคับให้หมั้นกับพี่ชายเธอน่ะ!

         ใจเย็นไว้ออโรร่า ใจเย็น ตอนนี้เธอคือสาวน้อยนะจำไว้ เธอคือสาวน้อย รีบจัดการเจ้าหมีในจิตใจที่กำลังตื่นขึ้นซะ!

         “เอ่อ คือ…คือออโรร่ามีอะไร….อย่างงั้นเหรอคะ? จ้องมากๆแบบนี้….คือฉันอายนะคะ?”

         มาเรียเริ่มกลับมาเป็นตัวเธอแบบก่อนอีกครั้ง เธอก้มหน้าที่แดงแจ๋ลง พลางเขี่ยนิ้วของเธอไปมาอย่างเขินอายพร้อมกับเสียงสั่นๆของเธอที่เริ่มพูดไม่เป็นจังหวะ

         ใจเย็นๆ ออโรร่า อย่าทำตัวให้น่าสงสัย ตอนนี้เธอกำลังถูกสายลับล่อลวงอยู่นะรู้ไหม

         “หึ ที่แท้ก็เป็นคนแบบนี้เองสินะคะ ถ้าไม่อยากให้คนอื่นรู้ล่ะก็ จงยอมหมั้นกับพี่ชายฉันซะเถอะค่ะ!”

         ภาพหลอนของมาเรียที่แสยะยิ้มพูดใส่ผมประดุจนางร้ายในละครทีวีได้กลับเข้ามาอีกครั้ง ทำเอาผมแทบสะดุ้งก่อนรีบเรียกสติตัวเองมาใหม่

         ใจเย็นๆออโรร่า ใจร่มๆ  ค่อยๆตอบให้แนบเนียนมากที่สุด เอาล่ะ!

         “ต้องขอโทษด้วยค่ะ เนื่องจากมาเรียตอนนี้น่ารักมาก ฉันเลยอดไม่ได้ที่จะจ้องค่ะ!”

         ยัยบ้า! นี่ผมพูดบ้าอะไรของผมไปเนี่ย โอ้ยอยากผูกคอตายใต้ต้นถั่วงอก ไอ้หมีบ้าเอ้ย กลับรังของแกไป ไม่ต้องมาอาละวาดในหัวสมองของผมเลยนะ!

         ผมที่ตระหนักถึงความบ้าของตัวเองได้รีบหันไปมองมาเรียทันที ในใจก็กลัวภาพของมาเรียที่กำลังแสยะยิ้มใส่ประดุจตัวละครที่ทำตามแผนของตัวเองได้สำเร็จ

         “อ๊ะ…”

         แต่เรื่องมันไม่เป็นเช่นนั้น! เพราะตอนนี้มาเรียที่ผมคิดว่ากำลังยิ้มอยู่กลับหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม ส่วนดวงตาที่ผมคิดว่าจะมาในรูปแบบของนางร้ายกลับมองมาที่ผมด้วยสายตาที่เป็นประกาย

         อ้าว ไม่เหมือนที่คิดวุ๊ย

         “เอ่อคือ…เอ่อคือ….เอ่อ  เอ่อต้องขอโทษด้วยค่ะ ขะ…ขอตัวก่อนนะคะ”

         มาเรียเริ่มพูดไม่เป็นภาษามากขึ้นทุกที สุดท้ายเธอรีบลุกขึ้นยืนแล้วโค้งหัวให้ผมก่อนจะออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วโดยทิ้งท้ายเอาไว้ว่า

         “ค..คือ..คือฉันมาบอกท่านออโรร่าว่าท่านสังฆราชเรียกค่ะ”

         หลังบอกสิ่งที่ต้องการจบ มาเรียก็รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนผมก็ได้แต่เกาหัวอย่างงงๆว่าเกิดอะไรขึ้น

         “ว่าแต่ท่านสังฆราชเรียกอย่างงั้นเหรอ?”

         ก็คงไม่ค่อยแปลกอะไร เวลาท่านเรียกผมทีไรก็มีภารกิจของนักบุญให้ทำอยู่ตลอด ถึงจะเป็นงานง่ายๆแบบไปยืนโบกมือให้ประชาชนบนรถม้าแบบนางสาวไทยก็เถอะ แต่ให้ทำแบบนี้บ่อยๆก็เบื่อเหมือนกันนา แถมที่สำคัญ เจ้างานพวกนี้น่ะ ทำเอาผมขาดขนมหวานมาสองเดือนแล้ว!

         ถึงจะได้ออกนอกวิหารแต่สุดท้ายก็ได้แต่ยืนกับท่านสังฆราชจนไม่มีเวลาปลีกตัว พองานเสร็จก็โดนลากกลับวิหารทันที แล้วแบบนี้จะหาเวลาที่ไหนไปเติมน้ำตาลในเลือด……ผมต้องการเบาหวาน

         ดังนั้นรอบนี้ล่ะ ไม่ว่าหัวเด็ดตีนขาดยังไงผมจะต้องของงานไหนก็ได้ที่มันทำให้ผมสามารถไปเต้นระบำเริงร่าข้างนอกได้แบบไม่มีใครตามมาคุม!

         ผมรีบเดินไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางมีคนทักผมแล้วก้มหัวให้แต่ด้วยความขาดน้ำตาลอย่างหนัก ทำให้ผมไม่สนใจจะยุ่งอะไรนอกจากยิ้มให้แล้วเดินผ่านไปเฉยๆ

         ก็อกๆ

         เมื่อมาถึงห้องของท่านสังฆราชผมก็เคาะประตูเบาๆตามมรรยาท รอจนมีเสียงอนุญาตจึงเปิดประตูอย่างช้าๆแล้วเดินเข้าไป

         “เป็นอย่างไรบ้างท่านนักบุญ ได้ข่าวที่ต้องการหรือเปล่า?”

         ท่านสังฆราชถามผมเป็นนัยๆ ถ้าถามว่าท่านกำลังสื่อถึงอะไรมันก็คงเป็นเรื่องที่ผมส่งสายไปตรวจสอบเรื่องของท่านเคาท์ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะต่อให้พวกอัศวินศักดิ์สิทธิ์จะเคารพผมขนาดไหนแต่สุดท้ายพวกเขายังคงอยู่ใต้อำนาจของท่านสังฆราช ดังนั้นสิ่งที่ผมทำท่านก็ต้องทราบดี ที่ไม่ห้ามก็คงเพราะท่านน่าจะอยากรู้เหมือนกัน

         “ก็ยังไม่มีอะไรแปลกใหม่เท่าไหร่ค่ะ”

         “อืมๆ ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้นะท่านนักบุญ เพราะยังไงข้าก็ยังไม่อยากให้มีความขัดแย้งอันใดเกิดขึ้นหรอกนะ”

         เหมือนจะเป็นแค่คำพูดธรรมดาๆ ทว่านี่ก็เป็นการเตือนอย่างชัดเจนว่าถึงเขาจะอนุญาตให้ผมตรวจสอบ แต่ผมห้ามก้าวล้ำเส้นทำอะไรมากกว่านี้เด็ดขาด

         “อีกอย่าง แม้ท่านจะมีพระองค์ท่านคุ้มครองและยังเป็นผู้ที่มากด้วยปัญญา แต่ท่านก็ยังเด็กอยู่ อันตรายย่อมเกิดกับท่านได้โดยง่าย หวังว่าท่านจะเข้าใจนะ”

         “ค่ะ หนูเข้าใจดีค่ะ”

         ฟังจากคำพูดของท่าน ถือว่าการกระทำของผมคงไม่มีปัญหาอะไร เพราะจากน้ำเสียง ท่านเตือนผมด้วยความเป็นห่วงมากกว่าจะเตือนเพราะกลัวเรื่องยุ่งยาก ดังนั้นผมคงยังดำเนินการตามแผนได้ต่อแบบไม่ต้องกังวลใจนัก

         “ถ้าเช่นนั้นเรามาเข้าธุระอีกเรื่องของพวกเราเลยดีกว่าเนอะ ท่านนักบุญ”

         ท่านสังฆราชยิ้มให้ จากนั้นก็หยิบเอกสารกองโตขึ้นมา นั่นหมายความว่าเวลาสำหรับเลือกภารกิจครั้งต่อไปของผมได้มาถึงแล้ว

         ตอนนี้ล่ะ!

         “ต้องขออภัยที่คำพูดต่อไปนี้ของหนูอาจเสียมรรยาทไปหน่อย แต่หนูขอร้องล่ะค่ะ ให้หนูได้ทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่ที่ได้ช่วยเหลือผู้คนมากกว่านี้ด้วยเถอะค่ะ”

         ท่านสังฆราชตื่นตกใจเล็กน้อย เมื่อจู่ๆผมก็โพล่งออกไปแบบนั้น แต่เรื่องนั้นผมไม่สนหรอกเพื่อขนมหวานอันแสนยิ่งใหญ่ที่รอผมอยู่ที่ข้างนอกนั่น ผมต้องการงานที่อยู่ข้างนอกยาวๆ! จะได้อยู่กับขนมนานๆ!

         “ช่างประเสริฐ  ประเสริฐที่สุด แม้ท่านจะมิพร้อมด้วยร่างกาย แต่ความตั้งใจที่ต้องการช่วยเหลือสาวกผู้น่าสงสารทั่วทุกสารทิศนั้น ทำให้จิตใจของข้าปลาบปลื้มยินดีเหลือล้น”

         ท่านสังฆราชไม่เพียงแต่จะว่ากล่าว แต่ท่านกลับทำตาปลื้มปิติยินดียิ่งกว่าเดิม เหมือนว่าคำพูดของผมจะทำให้ท่านพอใจน่าดู

         และผมเองก็พอใจ

         หึๆ แบบนี้แปลว่าเริ่มยอมให้ผมรับภารกิจพวกนี้แล้วสินะ เอาล่ะขนมหวานจ๋า รอออโรร่าคนนี้ให้ดีนะ ออโรร่าจะไปหาพวกเจ้าแล้ว

         “แต่น่าเศร้า…”

         อ๊ะ…..

         “ที่ตอนนี้ข้าและเหล่าคณะบิชอปทั้งหลายต่างลงความเห็นว่าท่านได้ปฏิบัติหน้าที่ของนักบุญมามาก ทั้งยังเคยชินกับชีวิตความเป็นอยู่ของที่นี่แล้ว ดังนั้น…”

         พูดมาแบบนี้รู้สึกถึงลางที่ไม่ค่อยดี บอกว่าชินกับมหาวิหารและก็ชีวิตนักบุญแล้วเพราะงั้นจุดประสงค์หลักที่ผมมาที่นี่ก็เพื่อ….เฮ้ย อย่าบอกนะว่า….

         “เพราะฉะนั้นพวกเราจึงเห็นพ้องต้องกันว่าถึงเวลาที่ท่านนักบุญจะได้เรียนรู้วิชาที่พวกเราเหล่าสาวกได้รับมอบมาจากพระเจ้าผู้สูงส่งเสียที”

         ม่ายยยย ไม่เอา ผมยังไม่อยากเรียน ผมอยากอืดดดดดดดด

         ฮึกๆ กระซิกๆ

         ชีวิตของผมนั้นช่างเศร้านัก ทำงานไปเรียนไป ไม่นึกเลยจริงๆ อุตส่าห์เกิดใหม่ในโลกแฟนตาซีแถมยังมียศสูงส่ง แทนที่จะได้นั่งกินนอนกินจนอืดเป็นหมาลอยน้ำ แต่กลับยังต้องมานั่งเรียนเหมือนเดิมงั้นเหรอ

         งานนี้…งานนี้ต้องรีบปฏิเสธ ยิ่งผมที่ไม่ชอบเรียนด้วยแล้ว ให้มาเรียนวิชาของเจ้านั่นมันก็ยิ่งแล้วใหญ่

ไอ้พระเจ้าบ้าเอ๊ย  ใครมันจะไปอยากได้ความรู้ของแกกัน..งานงอก

“ตัวข้าขอน้อมรับความรู้อันยิ่งใหญ่ของพระองค์ท่านผู้ชาญฉลาดเหนือผู้ใดด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง”

         โอ้ไม่นะ ซวยแล้วไงเรา

         ผมประมาทเกินไป ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ไม่มีเรื่องให้ผมบ่นพระเจ้าแม้แต่เรื่องเดียว ทำให้ผมเผลอลืมเรื่องคำสาปนี้ไปซะสนิทและความประมาทนั้นมันก็เล่นงานผมเข้าอย่างจัง

         “ท่านนักบุญ ท่านช่างเป็นนักบุญที่ประเสริฐเหนือผู้ใดที่ข้าเคยพบอย่างแท้จริง ทั้งๆที่เด็กวัยเช่นท่านล้วนหันหน้าหนีจากความรู้อันทรงค่า แต่ท่านกลับอ้าแขนแล้วรับมันด้วยความยินดี ทั้งยังศรัทธาในความรู้ของพระองค์ขนาดนี้ ข้าไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกออกมาเช่นไร”

         ท่านสังฆราชที่โดนกดเปิดสวิตซ์ประจำตัว ได้เริ่มสาธยายความรู้สึกออกมาไม่หมดไม่สิ้น จนผมยังเริ่มเสียวๆและหวาดกลัว

         “ด้วยความศรัทธาอันแสนยิ่งใหญ่ประดุจแสงอันเจิดจ้าที่ส่องสว่างบนฟากฟ้าที่เห็นได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ก็ทำให้ตัวข้าตระหนักดีถึงความพร้อมในการเรียนรู้ของท่าน การจะใช้หลักสูตรแบบคนทั่วไปนั้นคงไม่เหมาะ”

         งานงอกแล้วไง นี่บอกว่าหลักสูตรทั่วไปไม่เหมาะก็แปลว่ากะจะลัดขั้นลัดตอนถีบผมไปเรียนหลักสูตรขั้นยากเลยสินะ……นี่มันเคราะห์ซ้ำกรรมซัด!

         “เช่นนั้นมาเรียนสิ่งที่เราจะได้ใช้กันเลยดีกว่า น้ำมนต์อย่างไรเล่า!”

         เปิดมาก็ของยากเลยเหรอ! ช่วยเคารพในความขี้เกียจของผมด้วยเถอะ!

         “ยินดีต้อนรับท่านนักบุญสู่ห้องทดลองการทำน้ำมนต์ของพวกเรา เหล่านักบวชวารีศักดิ์สิทธิ์ครับ”

         นักบวชกว่าสิบคนได้โค้งหัวต้อนรับผมซึ่งถูกท่านบิชอปพาเข้ามา พวกเขาแต่ละคนใส่ชุดคล้ายๆนักบวชทั่วไป แต่ที่คอมีอุปกรณ์สวมใส่เพิ่มเติมเป็นรูปขวดสีทองที่มีไม้กางเขนอยู่ตรงกลาง

         ง่ายดีเนอะ

         ผมย้ายตัวเองมาอยู่ที่โต๊ะเรียนซึ่งมีอยู่นับร้อยตัว แต่ตอนนี้ดันมีผมแค่คนเดียวที่นั่งอยู่ ถ้าจะบอกว่าอารมณ์ตอนนี้เป็นยังไงก็….โคตรเปล่าเปลี่ยว

         แค่ให้เรียนวิชาลัดหลักสูตรก็ว่าแย่แล้ว นี่ยังให้มานั่งเรียนแบบสุดไพรเวทกับเหล่าคุณครูนับสิบที่จ้องนักเรียนตาเป็นมันแบบนี้ บอกได้คำเดียว….โคตรแย่

         ห้องที่พวกเขาเรียกว่าห้องทดลองทำน้ำมนต์มีลักษณะเป็นห้องครึ่งวงกลม โดยตรงกลางของห้องเป็นคล้ายๆแท่นเวทีขนาดใหญ่พอให้คนนับสิบยืนได้อย่างสบายๆ แท่นที่กลางห้องถูกล้อมไปด้วยเก้าอี้สำหรับนั่งชมจำนวนมาก ซึ่งเก้าอี้นั่งเหล่านี้เรียงขึ้นเป็นชั้นๆแบบเดียวกับพวกห้องประชุมขนาดใหญ่

         ที่แท่นซึ่งยกสูงขึ้นมา มีอุปกรณ์จำนวนมากวางเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำที่กำลังต้มเดือด หินอัญมณีที่เรืองแสงสีทองและขาวจำนวนมาก และข้างๆกันนั้นก็มีน้ำต้มสมุนไพรจำนวนมาก ทำเอาผมสงสัยว่านี่มันห้องทำน้ำมนต์หรือห้องปรุงยาในโรงเรียนเวทมนตร์กันแน่

         แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือตัวโต๊ะที่ถูกวางไว้อยู่ด้านหลัง มันมีหนังหรือเนื้อที่ดูไม่ค่อยน่าพิสมัยเท่าไหร่วางไว้อยู่จำนวนหนึ่ง จากกลิ่นอายที่มันส่งออกมา คงจะเป็นของจากมอนสเตอร์ไม่ผิดแน่นอน

         “จากสายตาของท่าน ท่านคงสงสัยสินะขอรับว่าเหตุใดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้จึงมีสิ่งของไม่น่าพิสมัยเช่นพวกเนื้อหนังของมอนสเตอร์หรือปีศาจอยู่ได้”

         บิชอปที่เดินมาส่งผม คงสังเกตุว่าผมจ้องเจ้าโต๊ะตัวนั้นไม่วางตาจึงได้เดาออกว่าผมกำลังสงสัยเรื่องอะไรอยู่

         “เอ่อ ขอความกรุณาด้วยค่ะ”

         “ครับ คือตรงนั้นพวกเราเอาไว้ทดลองน่ะครับว่าน้ำมนต์ที่สร้างมานั้นใช้ได้ผลขนาดไหน เพราะปริมาณของแสงและสมุนไพรที่เราใช้นั้นมีผลต่างกันไปในปีศาจแต่ละตัวครับ”

         “เอ่อ ไม่ใช่ว่าน้ำมนต์เป็นน้ำที่ใส่พลังของพระองค์ท่านลงไปหรือคะ?”

         “โอ้เรื่องนั้นคือ…”

         ท่านบิชอปไม่พูดอะไรต่อ เขาค่อยๆถอยหลังไปจนผมรู้สึกผิดสังเกต แต่รังสีบางอย่างที่ลอยมาจากทางเวทีก็ทำให้ผมเริ่มพอจะเดาสาเหตุออก

         “เรื่องนั้นพวกผมจะอธิบายให้ท่านเข้าใจเองขอรับ นั่นจริงอยู่ที่น้ำมนต์ยามอดีตก็แค่น้ำที่ใส่พลังแสงของพระองค์ท่านลงไป แต่ว่านั่นเป็นแค่ความรู้ที่มาจากคนที่ไม่เข้าใจครับ เพราะขึ้นชื่อว่าน้ำมนต์ก็คือน้ำที่ใส่พลังของพระองค์ท่านเอาไว้ แต่แท้จริงแล้วหากเราพยายามแปลความหมายว่าพลังของพระองค์ท่านนั้นหมายถึงสิ่งใดบ้าง…อา มันก็คือทุกสิ่ง ธรรมชาติทั้งหมดทั้งมวลก็คือพลังของพระองค์ท่าน ดังนั้นแล้วน้ำมนต์จึงไม่ควรจำกัดอยู่แค่พลังแห่งแสง พลังอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่พระองค์ท่านได้เสกสรรก็ควรถูกนับรวมลงไป”

         เฮ้อ….สายสอบแกทเชื่อมโยงเต็มมาเพิ่มอีกคนแล้ว

         ผมได้แต่ทำหน้าระอาใจเมื่อเห็นนักบวชสายวารีศักดิ์สิทธิ์ชูไม้ชูมือโบกไปมาพลางอธิบายสรรพคุณและความเป็นมาของน้ำมนต์สายแกทเชื่อมโยงของเขา ราวกับพวกนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องอธิบายกัน

         สรุปผมจะหนีเจ้าพวกนี้ไม่พ้นจริงๆใช่ไหมเนี่ย ฮือ…..หัวหน้าเป็นไง ลูกน้องมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆด้วย

         “เช่นนั้นพวกเราขออนุญาตแสดงตัวอย่างให้ท่านดูนะครับ”

         เหล่านักบวชที่อยู่ด้านหน้าเริ่มกระจายตัวออกไปประจำอยู่ที่จุดต่างๆ แต่ละคนได้จัดเตรียมของตามหน้าที่ของตัวเองก่อนที่หัวหน้าของพวกเขาจะเดินไปอยู่ทางขวาสุดที่มีขวดน้ำขนาดใหญ่ตั้งบนตะเกียง

         โห นึกว่าจะนับถือเจ้าพระเจ้าจนไม่รู้เรื่องรู้ราววิทยาศาสตร์แต่นี่ก็ถือว่ามีความรู้กันดีนี่นา

         “เริ่มจากอย่างแรก หนึ่งในสิ่งที่สำคัญมาก นั่นคือน้ำบริสุทธิ์ครับ ยิ่งบริสุทธิ์มากเท่าไหร่พลังที่สูญเสียไประหว่างการสร้างก็จะน้อยลองเท่านั้นครับ”

         น้ำในขวดแก้วขนาดใหญ่ได้ถูกกลั่นลงมาเป็นหยดน้ำที่ค่อยๆหยดลงไปในขวดแก้วที่อยู่ด้านใต้ เมื่อขวดหนึ่งเต็มแล้ว อีกขวดก็ถูกนำมารองต่อ จนเมื่อได้ประมาณห้าขวด นักบวชคนที่ยืนประจำจุดก็หยิบมันส่งต่อให้คนข้างๆที่มีหินพลังแสงอยู่กับตัว

         “นี่ถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของตัวน้ำมนต์ครับ ยิ่งหากท่านใส่พลังลงหินศักดิ์สิทธิ์นี่มากเท่าไหร่ ผลต่อพวกสิ่งมีชีวิตประเภทผีหรือผีดิบก็ยิ่งมากเท่านั้นครับ”

         นักบวชทั้งห้าคนที่ประจำอยู่จุดตรงนั้นเริ่มทำการใส่พลังของตัวเองเข้าไปที่หินศักดิ์สิทธิ์ เมื่อหินก้อนนั้นได้รับพลังเวทมันก็เริ่มเรืองแสงรองๆ ตัวน้ำที่ได้รับพลังจากหินที่ใส่ลงไปก็เริ่มส่องแสงจางๆ โดยขวดที่ได้รับพลังมากกว่านั้นจะเห็นได้ว่าส่องสว่างมากกว่า

         เดี๋ยวนะ นี่น้ำมนต์หรือน้ำยาของนักเล่นแร่แปรธาตุ? ปรกติแล้วน้ำมนต์มันต้องเป็นน้ำที่เกิดจากการบริกรรมคาถาหรือพิธีศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่หรือไง?

         “เอ่อคือ หนูรู้สึกว่าการสร้างแบบนี้มันแปลกๆนะคะ”

         “เข้าใจครับว่าท่านนักบุญคงสงสัยเรื่องสิ่งที่พวกข้าทำกัน”

         นักบวชตรงหน้าเริ่มทำหน้าเศร้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ราวกับตำหนิตัวเอง

         “เนื่องจากพิธีกรรมเช่นนั้นต้องใช้นักบวชมีพลังและตบะเพียงพอจึงจะสามารถบริกรรมคาถาได้ครับ ช่างน่าเศร้าที่ในศาสนจักร ของเรามีคนที่พอทำเช่นนั้นได้ มีเพียงไม่ถึงร้อย แต่ความต้องการของตลาด….เอ่อ…ความต้องการของปวงประชาที่ต้องการน้ำมนต์ไปใช้จัดการปีศาจร้ายนั้นสูงขึ้นทุกวัน พวกเรามิอาจทนที่จะเห็นพวกเขาเหล่านั้นต้องทนทรมานจากการถูกข่มเหงโดยปีศาจได้เพราะฉะนั้น…”

         เดี๋ยวนะ เมื่อกี้ผมได้ยินคำว่าตลาดใช่ไหม! บอกผมทีว่าเมื่อกี้ผมฟังไม่ผิด โอ้แม่เจ้า นี่ศาสนจักรหรือบริษัทเอกชน มีส่งออกน้ำมนต์ขายด้วยเว้ย! แถมเหตุผลที่ให้มามันเหตุผลการค้าทั้งนั้นเลยนี่หว่า อย่าบอกนะว่าวิธีที่ทำอยู่นี่คือ….

         “เพราะฉะนั้นพวกเราจึงได้ค้นพบสิ่งที่ใช้แทนกันได้ครับ นั่นคือเจ้าหินนี่ หินซึ่งมีอำนาจแห่งพระองค์ท่านสถิตย์อยู่ เพียงแค่ร่ายมนต์และสวดให้แด่พระองค์ท่าน แม้จะเป็นนักบวชชั้นกลางที่พลังไม่เยอะมากก็ยังสามารถสร้างน้ำมนต์ได้ครับ ถึงแม้ผลที่ได้จะมิเท่าที่น้ำมนต์ที่ผ่านพิธีโดยนักบวชชั้นสูงแต่ก็สามารถใช้ทดแทนสำหรับการตอบสนองป้อนเข้าตล….สำหรับช่วยเหลือปวงประชาผู้ทุกข์ยากได้ครับ”

         เจ้านักบวชหัวหน้าพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ พลางชูหินในมือขึ้นแล้วมองมันประดุจดั่งมีพระเจ้ามายืนอยู่ตรงหน้า

         ว่าแต่เดี๋ยวนะ เมื่อกี้ผมได้ยินว่าตลาดใช่ไหม นี่สรุปพวกนายส่งน้ำมนต์ออกขายจริงๆใช่ไหม! ไอ้แนวคิดเมื่อกี้นี้น่ะ มันแนวคิดลดคุณภาพแต่เพิ่มปริมาณชัดๆ! ไอ้แนวคิดแบบนี้น่ะ….ไอ้แนวคิดแบบนี้

         นี่มันน้ำมนต์ Mass product ชัดๆ!

         ชัดเลยทุกท่าน ไอ้สิ่งที่พวกเขากำลังสอนผมอยู่นี่ไม่ใช่อะไรเลยนอกจากน้ำมนต์ของเก๊ที่ไม่ได้ผ่านการทำพิธีแบบที่โฆษณาให้พวกชาวบ้านรับทราบกัน แบบนี้มันหลอกลวงชัดๆเลยนี่หว่า!

         ว่าแล้ว น้ำมนต์บ้าที่ไหนมีเสริมออปชั่นใส่สมุนไพรโน่นนี่ลงไป ที่แท้ใช้หลักสูตรก็อปแล้วเอาไปโมดิฟายน์ต่อชัดๆ…..โอ้แม่เจ้า นี่มันบ้าอะไรเนี่ย

         “ใส่พลังเสร็จเรียบร้อย เชิญท่านนักบุญดูผลของมันขอรับ”

         เมื่อว่าจบ นักบวชทั้งห้าคนก็ได้เดินไปหยดน้ำมนต์ที่อยู่ในมือของตัวเองลงไปที่เนื้อเน่าเปื่อยตรงด้านหลัง

         ติ๋ง

         น้ำที่หยดลงไปทั้งห้าหยดได้แสดงผลของมันออกมา ทันทีที่หยดน้ำสัมผัสกับเนื้อ เจ้าเนื้อที่เน่าเปื่อยก็เริ่มที่จะละลายราวกับโดนลาวา โดยขนาดของส่วนที่ละลายก็เป็นไปตามส่วนของพลังที่ถูกใส่ลงไป

         “อา เสร็จเรียบร้อย และในที่สุดเราก็มาถึงช่วงที่เลิศเลอที่สุดในการทำน้ำมนต์ ช่วงที่แสดงถึงความรักของพระเจ้าที่มอบให้แด่มวลมนุษย์ อา พลังแห่งธรรมชาติที่ถือกำเนิดจากพระองค์ท่านผู้ยิ่งใหญ่”

         ผมถึงกับกุมขมับกับการเชื่อมโยงสไตล์สุดแถของเจ้านักบวชคนนี้  แถมยิ่งกุมหนักกว่าเดิมเมื่อท่านนักบวชมองไปที่สมุนไพรด้วยสายตาอันแสนน่ากลัวที่หากแต่งงานกับสมุนไพรได้ เจ้านี่อาจเป็นคนแรกที่ไปยื่นลงทะเบียน

         “เชิญท่านลองดีกว่า นี่คือน้ำสมุนไพรซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างกันมากมาย มีผลกับมอนสเตอร์ต่างกันออกไป”

         บอกผมทีเถอะว่าเจ้าหมอนี่ไม่ใช่นักบวช แต่เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่แฝงตัวมาแล้วแถกับท่านสังฆราชเสร็จน่ะ ไม่ว่าจะตะแคงดูยังไงสุดท้ายมันก็ไม่ใช่พิธีทำน้ำมนต์แล้ว นี่มันเล่นแร่แปรธาตุชัดๆ!

         เจ้าหัวหน้านักบวชวารีศักดิ์สิทธิ์ไม่รอช้า เมื่อรู้ว่าเวลาแสนสนุกของตัวเองมาถึง เขารีบวิ่งเข้าไปผสมน้ำสมุนไพรสุดรักของเขาลงไปในหลอดน้ำมนต์อย่างสนุกสนานปานถูกสัตว์ที่ไหนไม่รู้เข้าสิง

         “ไม่ๆเจ้านี่ยังไม่ดี ท่านนักบุญไม่ควรดูของง่ายๆแค่นี้ ท่านที่เลิศเลอประดุจแสงสว่างซึ่งสาดส่องลงมาจากพระองค์ ไม่ควรดูของง่ายๆแบบนี้ ไม่ๆ เจ้านี่ยังไม่ได้ เจ้านี่เหรอ ไม่! ต้องไอ้นี่!”

         ยิ่งเห็นก็ยิ่งสยอง! นี่บอกผมที ว่าตอนผมนอนมันคงจะไม่คลานมาใต้เตียงผมเพื่อดึงเล็บดึงผมไปทำน้ำมนต์สูตรใหม่ของมันใช่ไหม!

         “นี่ครับ ด้วยน้ำมนต์ที่ผสมด้วยสูตรพิเศษของกระผม เนื่องจากจุดประสงค์ที่สร้างมันขึ้นมาคือการพิฆาตปีศาจร้าย ผมจึงได้ใส่ส่วนผสมพิเศษที่ทำให้เมื่อโยนขึ้นกางอากาศแล้วน้ำมนต์จะแตกออกมาเป็นละอองฝนซึ่งสามารถกินบริเวณกว้างพอที่จะสังหารปีศาจจำนวนมากได้ครับ!”

         เมื่อพูดจบ หัวหน้านักบวชวารีศักดิ์สิทธิ์ได้ใส่พลังเวทของตัวเองกระตุ้นน้ำมนต์ในมือของตัวเองไปเล็กน้อย เมื่อมันทอแสงออกมามากขึ้นเขาก็ปามันขึ้นไปด้านบน

         เวลาผ่านไปไม่กี่อึดใจ ขวดน้ำมนต์เล็กๆก็แตกออกก่อนที่มันจะสาดออกมาเป็นสายฝนที่กินบริเวณไม่กว้างมากตามปริมาณของน้ำที่มีอยู่…..

         นี่มันน้ำมนต์หรือระเบิดลูกปรายฟะ!

         น่ากลัว ศาสนจักรนี่ช่างน่ากลัว นี่พวกนายไม่มีใครสงสัยเลยรึไงว่าการสร้างสิ่งที่เหมือนอาวุธแบบนี้น่ะ มันไม่ใช่หน้าที่ของสาวกที่ศรัทธาพระเจ้าเลยนะ!

         “เช่นนั้นเชิญท่านนักบุญได้เลยครับ”

         ไม่ นายไม่ต้องมาเชิญผมเข้าร่วมกลุ่มก่อการร้ายของพวกนายเลยนะ ไม่เห็นหรือไงว่าสิ่งที่พวกนายทำน่ะมันไม่ได้เรียกว่าน้ำมนต์หรือของศักดิ์สิทธิ์แล้ว นี่มันอาวุธสงครามชัดๆเลยนะ อาวุธสงคราม

         “เอ่อ ขอถามอะไรได้ไหมคะ?”

         “ด้วยความยินดีครับ”

         “คือของที่ระเบิดรุนแรงและไม่ค่อยสง่างามเช่นนี้ เรียกมันว่าน้ำมนต์จะดีจริงๆเหรอคะ…?”

         ผมถามด้วยเสียงสั่นๆ ทว่าไม่ใช่สั่นเพราะกลัวในความรุนแรงของสิ่งที่พวกเขาสร้าง แต่กลัวในที่เหตุผลที่เขาจะตอบผมต่างหาก

         “ขอแค่เป็นของเหลวแล้วมีพลังศรัทธาแห่งพระองค์ท่านแฝงอยู่ ก็เรียกว่าน้ำมนต์ได้แล้วครับ”

         นั่น!

         สมองต้องเหลือน้อยแค่ไหนถึงจะสามารถคิดตรรกวิบัติได้ขนาดนี้กัน ขอถามหน่อยเถอะท่านหัวหน้านักบวชวารีศักดิ์สิทธิ์ ท่านรับประทานอะไรหลังอาหารสามมื้อ….กาวใช่ไหม!

         แต่เมื่อถูกสายตาคาดคั้นมากเข้า ผมที่กลัวว่าจะได้ยินอะไรที่ไม่ชวนรื่นเริงเท่าไหร่ก็เลยยอมเดินไปที่ทดลองแต่โดยดี

         ทางพวกนักบวชคนอื่นที่เห็นผมเดินมาทางเวที พวกเขาก็แยกย้ายกันออกไปทางที่นั่งชม แต่ระหว่างทางที่เดินสวนกับผม ผมบังเอิญได้ยินที่พวกเขาซุบซิบกันพอดี

         “ท่านนักบุญจะสร้างน้ำมนต์อะไรออกมากันนะ”

         “ท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ มันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าเป็นน้ำมนต์ที่สาดแค่ครั้งเดียวก็สามารถทำให้จอมมารตัวแตกตายได้เลยน่ะ”

         “ไม่ๆ ต้องเป็นน้ำมนต์ที่ปาขึ้นฟ้าแล้วระเบิดแรงขนาดสลายอาณาจักรปีศาจจนไม่เหลือแม้แต่เศษซากสิถึงจะถูก”

         นี่พวกนายเห็นผมเป็นตัวอะไรกันฟะ! แล้วที่ผมจะสร้างน่ะมันน้ำมนต์นะเว้ย แต่ที่พวกนายพูดมาทั้งหมดน่ะ มันระเบิดนิวเคลียร์ชัดๆ

         “พวกนายอย่าว่าอย่างงั้นสิ ท่านนักบุญเป็นคนที่รักสงบนะ เพราะงั้นสิ่งที่ท่านจะสร้างต้องเป็นการรักษาสิ”

         ดีมากเจ้านักบวชหัวโล้น อย่างน้อยสมองของนายก็ยังไม่ถูกกาวกลืนกิน บอกมันไปเลยสิ บอกไปเลยว่าน้ำมนต์ที่แท้จริงคืออะไร

         “น้ำมนต์ที่ท่านสร้างน่ะต้องเป็นน้ำมนต์ที่ราดครั้งเดียวก็สามารถชำระล้างจิตใจอันหยาบช้าได้อย่างง่ายดายไม่ใช่เหรอ และด้วยพลังของท่านแล้ว แค่หยดเดียวคงชำระจิตใจของขุนพลปีศาจให้กลายเป็นองค์รักษ์แห่งพระผู้เป็นเจ้าได้แน่นอน”

         มันจะมโนเกินไปแล้วเว้ย นี่น้ำมนต์นะไม่ใช่เครื่องล้างสมอง พวกนายเอาส่วนไหนของร่างกายมาคิดกันว่าน้ำมนต์สาดปีศาจแล้วมันจะได้ผลแบบนั้นกัน! ถ้าพลังมันจะมากขนาดนั้น ไอ้ปีศาจที่โดนสาดมันก็คงกลายเป็นปุ๋ยก่อนจะได้กลับตัวกลับใจแล้ว!

         “เชิญเลยครับท่านนักบุญ ถ้าหากมีปัญหาพวกเราก็ยินดีช่วยท่านเสมอ”

         ช่วยให้มันพินาศสินะ!

         ผมได้แต่คิดบ่นในใจก่อนจะเดินไปเทน้ำซึ่งถูกกลั่นมาจากขวดแก้ว จากนั้นก็เอามันมาวางไว้ที่จุดสำหรับป้อนพลังศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นก็ร่ายเวท……

         ลืมไปเลยว่าถ้าอยากใช้พลังเวทตัวผมต้องสรรเสริญเจ้าพระเจ้า ดังนั้นหินที่ต้องใช้เวทเป็นตัวกระตุ้นนี้ตัวผมคงใช้งานไมได้แต่นั่นก็ช่างปะไร เพราะยังไงผมก็ร่ายคำสวดแล้วบัฟน้ำแบบไม่ต้องใช้หินน่าจะง่ายกว่า

         เอาล่ะ เริ่มเลยแล้วกัน

         ผมยกมือของตัวเองขึ้นจากนั้นก็ชี้ไปทางน้ำมนต์ซึ่งอยู่ตรงหน้า จากนั้นก็ค่อยๆทำการร่ายคำสวดออกมา

         “พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พลังของท่านนั้นหาผู้ใดเปรียบ ขอพลังของท่านผู้ซึ่งเป็นเจ้าแห่งธาตุและมวลชีวิตทั้งปวง โปรดปันพลังอันยิ่งใหญ่ของท่านให้แด่ข้าผู้แสนต่ำต้อยเพื่อเสริมพลังอันแสนบริสุทธิ์ของท่านให้กับวารีเหล่านี้ด้วยเถอะ…อ๊ะ”

         เหมือนจะนึกได้ว่าผมเผลอทำอะไรพลาดไป ผมก็ได้ลืมตาขึ้นมาแล้วมองไปที่ภาพตรงหน้า

         ตอนนี้แสงสว่างจากร่างของผมได้แผ่ออกไปปกคลุมเหล่าขวดน้ำทั้งหมดที่วางเอาไว้ ไม่ใช่แค่ขวดที่ผมเล็ง แม้แต่ขวดที่ใส่สมุนไพรก็ยังถูกแสงของผมปกคลุมไปด้วย

         งานงอกแล้วไง เผลอพูดไปว่าธาตุทั้งมวล ไม่ได้พูดแค่แสง แล้วยังพูดว่าวารีเหล่านี้ มันก็เลยเล่นเสริมให้กับขวดทุกขวดเลย….โอ้ไม่นะ ดูขวดพวกนั้นสิ

         ขวดแรกที่ใส่น้ำธรรมดารอเสริมพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นได้สำเร็จดีเกินความคาดหมาย เพราะจากที่เป็นแค่น้ำใสๆธรรมดา ตอนนี้มันได้สว่างยิ่งกว่าหลอดนีออน สว่างจนเอาไปตั้งแทนหลอดไฟคนทั่วไปก็คงแยกไม่ออก

         แต่ในความสำเร็จมันก็มีความพินาศแถมมาด้วย เพราะเวทที่ผมร่ายไปมันไม่ได้เสริมแค่ประสิทธิภาพของพวกน้ำมนต์ที่อยู่ตรงหน้า แต่เจ้าพวกน้ำสมุนไพรข้างๆทั้งหมดมันก็เสริมไปด้วย

         น้ำที่เป็นสีแดงชมพูดอ่อน ตอนนี้มันช่างเข้มข้นประดุจเลือดของสิ่งมีชีวิต ส่วนน้ำสีฟ้าสวยตอนนี้ก็เข้มจนกลายเป็นน้ำทะเล ส่วนน้ำที่ผสมสมุนไพรจำนวนมากจนเป็นสีเทา ตอนนี้มันช่างหน้าตาเหมือนกับน้ำของบ่อระบายที่ดำมืดจนน่ากลัวเสียเหลือเกิน

         เอ่อ…ถ้าเผลอผสมไปหมดนี่ วิหารจะเบิดไหมครับ

         “ผสมเลยท่านนักบุญ ด้วยพลังของท่านจะต้องได้น้ำมนต์ที่ตูมตามแน่นอนครับ!”

         เงียบไปเลยนะเจ้านักบวชโอตาคุระเบิด!

         เอาเถอะ ไหนๆมันก็ร้องขอมาทั้งที งั้นผมจะจัดให้!

         “โอม ขอพระองค์ท่านทรงสร้างเกราะอันยิ่งใหญ่ปกป้องตัวข้าจากอันตรายทั้งปวง”

         ผมพูดร่ายสร้างเกราะขึ้นมาเบาๆ เพราะกลัวเหลือเกินว่าน้ำที่ผมกำลังจะผสมต่อไปมันจะระเบิดอัดหน้าเอาได้

         เอาล่ะ แค่นี้ต่อให้มันระเบิด มันก็เป่าแค่พวกแกเท่านั้นล่ะนะ เจ้าพวกนักบวชเสพย์ติดการระเบิด

         “อ๊ะ”

         สงสัยผมจะคิดเพลินเกินไปทำให้เผลอผสมน้ำทั้งหมดเข้าด้วยกันจนหลอดแก้วในมือของผมตอนนี้นั้นกลายเป็นสีชวนสยองไปแล้ว….

         เอ่อ ถ้าไม่บอกว่าชาติก่อนมันเคยเป็นน้ำมนต์ ผมคงคิดว่านี่คือน้ำบ่อส้วม….

         ติ้ง

         เนื่องจากเผลอเอียงขวดมากไป ทำให้น้ำมนต์หยดหนึ่งได้ไหลออกมาจากปากขวด และเมื่อมันกระทบกับพื้นก็ทำให้ผลของสิ่งที่ผมสร้างขึ้นแสดงความน่ากลัวของมันออกมา

         ซ่า~

         พื้นหินอันแสนสวยงามตอนนี้ได้เริ่มแตกละลายออกเป็นฟองประดุจถูกกรดฤทธิ์แรงกัดกร่อน จากนั้นก็เริ่มแตกออกเสียงดัง

         เอ่อ….นี่ผมสร้างบ้าไรขึ้นมาเนี่ย

         จากเท่าที่ดูส่วนผสมที่มั่วซั่วเมื่อครู่แล้ว ผมว่าส่วนของน้ำมนต์คงหายไปแล้วล่ะ ตอนนี้ที่เหลืออยู่ในหลอดนี้คงมีแค่ความอันตรายของน้ำสมุนไพรที่ถูกบัฟล้านเท่าซะแล้วล่ะมั้ง

         เนื่องด้วยความกลัวต่อสีอันแสนจะไม่โสภา ผมจึงได้รีบเอากระดาษมาครอบขวดเพื่อไม่ให้ใครเห็นสีอันแสนน่ากลัว แล้วค่อยหาจังหวะไปเททิ้งที่ไหนทีหลัง

         ปัง

         “เรื่องด่วนจากท่านสังฆราชครับ ขอให้ท่านนักบุญไปด่วน”

         จู่ๆก็มีคนรีบเปิดประตูเข้ามา เมื่อผมได้ยินว่ามีงานทำให้ผมรีบหันไปด้วยสีหน้าสงสัย

         “งานอะไรเหรอคะ?”

         “ปราบผีที่บ้านผีสิงครับ”

         ผะ….ผี ผีงั้นเหรอ! เดี๋ยวสิ ถึงผมจะไม่กลัวอะไรง่ายๆก็เถอะ แต่เรื่องผี…แต่เรื่องผีน่ะมัน….งือ ตะ..ต้องรีบ

         “งั้นสบายมากท่านผู้ส่งสาร ท่านนักบุญเพิ่งทำน้ำมนต์ขั้นสุดยอดที่ผ่านพิธีกรรมสุดยอดมาแล้ว ดังนั้นไม่มีปัญหา!”

         ก่อนตอบน่ะ ถามสุขภาพผมสักคำไหมท่านนักบวช!

         “งั้นดีเลยครับ เชิญท่านนักบุญขึ้นรถม้าครับ”

         น้ำมนต์…จะใช้น้ำมนต์นั่นปราบผีเรอะ….ถ้าบอกให้เอาไประเบิดบ้านจะไม่ว่าสักคำเลยนะ ไม่ได้แล้ว ต้องทำใหม่

         “คือหนูขอสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้ไหมคะ?”

         “สร้างใหม่อะไรกันท่าน เมื่อครู่ข้าเห็นแล้วนะขอรับ ท่านน่ะได้ทำให้น้ำทุกอย่างกลายเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์แล้วผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ดังนั้นไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่านี้แล้วครับ!”

         ถ้านายเห็นแบบนั้นล่ะก็ แนะนำให้ไปตัดแว่นใหม่จะดีกว่านะ! นี่ถามจริงเถอะ ไอ้น้ำสีแดงข้นเหมือนเลือดกับดำปึดเหมือนน้ำส้วมน่ะมันเรียกของศักดิ์สิทธิ์จริงเรอะ

         “เชิญครับ”

         เมื่อถูกแรงกดดันจากทุกๆฝ่าย ผมที่ยังมึนๆอยู่ก็ดันเผลอตามน้ำตกลงไปโดยลืมปฏิเสธ แต่ก็มีสิ่งนึงที่ผุดขึ้นมาในใจผม….

         ผีมันแพ้น้ำกรดเปล่าหว่า?

        —————————————————————————-

 ก็จบไปแล้วก็ตอนเบาๆสบายๆนะครับ ก็มีเรื่องอยากบอกรีดทั้งหลาย….

         เพลาๆกาวบ้างนะ!

        

 

 

        

        

 

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

Status: Ongoing
ตายไปต่างโลกไม่พอ ดันโดนเสกให้เกิดเป็นสาวน้อยน่ารักอีก หนักกว่านั้นไอ้พระเจ้าเฮงซวยดันสาปให้ทุกคำพูดที่จะด่ามันกลายเป็นสรรเสริญมัน เลยทำเอาชาวบ้านเข้าใจผิดว่าผมเป็นนักบุญซะงั้น เรื่องราวของสาวน้อยออโรร่าที่ถูกพระเจ้าให้พร(?) ไม่ว่านางจะพูดสิ่งใดก็ออกมาเป็นคำสรรเสริญพระเจ้าที่ออกมาจากจิตใจอันแน่วแน่ซึ่งแม้แต่เหล่าคนบาปทั้งหลายก้ยังต้องซึ้งในความศรัทธาของนาง (เรอะ) เอาล่ะ เรื่องราวน่ารักสดใสปนกาวเป็นถังขอเปิดอ้อมอกต้อนรับทุกท่านให้สูดกาวไปร่วมกันกับเหล่าตัวละครทั้งหลายที่ไม่รู้ว่าเมามาจากไหนกันเถอะ! ที่จริงเป็นเรื่องที่ลงในเด็กดีนานแล้วแต่มารีไรท์เพื่อแก้คำต่าง ๆ ครับ ส่วนตอนล่าสุดก็อัพเดทเรื่อย ๆ ในเด็กดี จะพยายามแก้ตอนเก่าให้ทันตอนใหม่ครับผม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท