“ทุกคนพร้อมนะ”
“ครับ!”
หน่วยอัศวินทุกคนต่างขานรับหัวหน้าของพวกเขาด้วยเสียงที่ดังกึกก้องจนบ้านแทบสั่น ทำเอาผมสงสัยพวกนี้ว่ามันปัญญาอ่อนกันหรือเปล่า!? ทำอะไรประเจิดประเจ้อแบบนี้เดี๋ยวผีมันก็มาหาพวกนายหรอก!
ฮือออ ทำไมผมต้องมาปราบผีกับพวกสมองไม่เต็มอย่างพวกอัศวินแก๊งค์นี้ด้วย ที่สำคัญกว่านั้น ทำไมพวกบ้านี่ถึงไม่กลัวกันเลยฟะ รู้ไหม ผีที่พวกนายต้องไปปราบมันไม่ใช่ผีนักเลงหน้าปากซอยแต่เป็นผีของนักบวชขั้นสูงระดับเอลลาสเลยนะ!?
ผมได้แต่บ่นในใจไปมาเพราะอัศวินหน่วยสองแต่ละคนนอกจากจะไม่ทำให้ผมหายกังวลแล้ว พวกเขายังทำให้ผมกังวลยิ่งกว่าเดิมอีก รู้ไหมว่าทำไม?
นอกจากจะเสียงดังโวยวายประดุจอยากเรียกผีให้มาหา ระหว่างทางที่เดินเข้ามาผมเห็นข้าวของถูกรื้อค้นเสียหายซะจนไม่เหลือสภาพเดิม แบบนี้ไอ้ผีแค้นที่มันแค้นเพราะถูกฆ่ามันจะไม่ของขึ้นยิ่งกว่าเดิมอีกเหรอไง!?
จะทำอะไรก็เกรงใจคนที่กลัวผีหน่อยได้ไหม รู้ไหมว่าผีแค้นเพราะบ้านถูกพังน่ะมันโหดขนาดไหน!?
คิดแบบนี้ผมก็ไปนึกถึงหนังผีที่เพื่อนบ้ามันลากผมไปดูมา เนื้อเรื่องก็ประมาณว่าพวกตัวเอกดันเผลอไปทำข้าวของบ้านเขาเสียหาย ผีเลยแค้นจับไล่เจี๋ยนพวกตัวเอกรายตัวจนสุดท้ายตัวเอกของเรื่องก็ตายในสภาพอนาถที่สุด….หัวจุ่มส้วมตาย
ไม่! หนูออโรร่าคนนี้ต้องไม่ตายในสภาพอุบาทว์แบบนั้น ถ้าจะให้ตายอย่างน้อยก็ขอทุ่งดอกไม้สิ…ไม่ดิ ไม่ตายน่ะดีแล้ว!
ตึง!
ฮือออ กลัวอ่ะ ขอขนมมาดึงความสนใจได้ไหม? ขอแค่เลย์สักแผ่นสองแผ่นมาให้กำลังใจหน่อยก็ได้
ผมค่อยๆ ขยับตัวถอยห่างออกจากแก๊งค์อัศวินที่ตอนนี้กำลังพร้อมจะไปให้ผีเชือดตายกลายเป็นผีประจำบ้านร้าง
“ว่าไงสบายดีไหม?”
“กรี๊ดดด…ผะ…!”
ผมเผลอร้องออกมาเมื่อได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ ข้างหู เสียงนั้นมันเป็นเสียงแหบพร่าราวกับลำโพงแตกๆ ที่เปิดด้วยเสียงอันแสนเบา แต่เมื่อประกอบกับสถานการณ์ปัจจุบันทำให้ความกลัวของผมทวีขึ้นถึงขีดสุด ขนทุกเส้นลุกตั้งขึ้น ความหนาวเย็นวิ่งผ่านไปทั่วสันหลัง
แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ร้องออกมา ปากของผมก็ถูกปิดเอาไว้ด้วยมือหนาที่เต็มไปด้วยน้ำสีแดงฉาน….อ..อย่าบอกนะว่านี่มันเลือด
ว้ากกกก
ผมรีบดิ้นอย่างสุดแรงเมื่อรู้ว่าอะไรมันมาจับตัวและปิดปากผมอยู่ แต่ด้วยแรงที่แตกต่างกันเกินไประหว่างร่างของเด็กน้อย 6 ขวบ กับวิญญาณร่างสูงใหญ่ ทำให้ดิ้นยังไงก็ดิ้นไม่หลุด
โอมๆๆๆ คุณผีเจ้าที่อย่าทำอะไรผมเลย ผมเป็นแค่เด็กน้อยตาดำๆ เท่านั้นนะ ถ้าอยากเชือดคนที่มารบกวนก็ไปเชือดพวกอัศวินบ้าพวกนู้น ไม่ใช่ผม ผมบริสุทธิ์
หงึกๆๆๆ
ร่างของผมสั่นไม่หยุดพลางคิดว่าภาพของผีตัวนี้มันจะสยองขนาดไหน ยิ่งคิดภาพก็ยิ่งน่ากลัว และยิ่งน่ากลัว ขาและแขนของผมมันก็ยิ่งอ่อนแรง
ด้วยความกลัวมหาศาลที่ทะลักจนถึงขีดสุด ทำให้ผมเริ่มน้ำตาไหลออกมาแบบช่วยไม่ได้
“ฮ่าๆ โอเคๆ เลิกแกล้งนายแล้วก็ได้ นี่น่ะแค่ซอสมะเขือเอง”
เสียงแหบพร่าได้เปลี่ยนกลับไปเป็นเสียงของผู้ชายที่มีโทนเสียงอันแสนชวนน่ากระโดดถีบยอดหน้าและดูจากน้ำเสียงแล้ว เขาเหมือนจะสนุกกับสภาพของผมในตอนนี้เสียเหลือเกิน
เมื่อมือของเขาปล่อยออก ร่างกายของผมก็เป็นอิสระ และเพราะรู้ตัวแล้วว่าตัวตนของผีที่ว่านั่นมันคือใครผมก็รีบพลิกตัวกับก่อนยกเท้าขึ้นหมุนตัวพยายามกระโดดเตะใส่เผื่อว่ามันจะฟลุ๊คโดนหน้าอันแสนกวนบาทาของเจ้าพระเจ้าขี้แกล้งคนนี้
แต่น่าเศร้า สงสัยจะเป็นเพราะความกลัวจากเมื่อครู่ที่มากไปหน่อย ทำให้ขาข้างที่ใช้เป็นฐานดันอ่อนแรงขึ้นมาซะอย่างงั้น และแน่นอนผลก็คือ
“ว้ายยยย”
ล้มยังไงล่ะ!
“ฮ่าๆ ไม่ระมัดระวังตัวเลยนะ เอ้า”
ทันทีที่พระเจ้าดีดนิ้ว ร่างกายเล็กๆ ของผมก็ลอยขึ้นมาก่อนจะกลับมายืนได้ดั่งเดิม แต่ก็นะ ขามันยังสั่นอยู่เลยอ่ะ
“หึยยย นี่นายแกล้งฉันมันสนุกนักใช่ไหม?”
ผมยกมือขึ้นเหวี่ยงไปมาเผื่อว่ามันจะไปโดนตัวเจ้าพระเจ้าให้มันหายแค้นสักหน่อย แต่เพราะเวทที่ตรึงร่างของผมอยู่ทำให้ผมไม่สามารภขยับไปไหนมาไหนได้
“แน่นอนว่าสนุกสิ”
ฮึยยยย หนอยแน่ หลุดไปเมื่อไหร่ล่ะก็เจอดีแน่!
“เอาเถอะ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนั้นช่างมันไปก่อน”
พระเจ้าเดินเข้ามาใกล้ก่อนจับที่หัวของผมแล้วเขย่ามันอย่างสนุกมือ ส่วนผมก็ได้แต่บ่นในใจอย่างเดียว
เล็กๆ น้อยๆ บ้านแกสิ นี่รู้ไหมว่าเรื่องผีมันน่ากลัวขนาดไหน ถ้าผมต้องกลัวจนผมหงอกใครจะรับผิดชอบ!
“เอาน่าๆ วันนี้ฉันอารมณ์ดีเลยมีเรื่องจะมาบอกนายที่ไม่รู้เรื่องอะไรเท่าไหร่”
เรื่องที่ผมยังไม่รู้งั้นเหรอ? เรื่องอะไรหว่า?
“ก็เกี่ยวกับเรื่องผีที่นายต้องมาปราบไง ก็อยากอธิบายอะไรให้รู้สักนิดหน่อยเพราะจำได้ว่านายยังไม่ได้อ่าน”
พระเจ้าพูดไปพลางหยิบหนังสือที่ไม่รู้ว่าไปเอามาตั้งแต่ตอนไหน จากนั้นเขาก็เปิดหาหน้าที่ต้องการแล้วกางออกก่อนจะยื่นให้ผมดู
ผมหรี่ตาของตัวเองอย่างช้าๆ พลางอ่านไปตามวรรคของหนังสือที่ตัวเล็กจนแม้แต่คนสายตาปรกติอย่างผมยังรู้สึกว่าอ่านยาก
ไหนดูสิ อืมมม การที่จะมองเห็นวิญญาณได้นั้น ต้องใช้เวทเสริมเข้าไปที่ตาของตัวเองก่อน มิเช่นนั้นจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งเหนือธรรมชาติแบบนี้ได้
“ไง เข้าใจยัง?”
เหยยย นี่มันหนึ่งในเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตผมนับตั้งแต่เกิดมาในโลกใบนี้ รองลงมาจากขนมหวานเลยนี่หว่า เยี่ยมมมม แบบนี้ขอแค่ไม่เอาเวทไปใส่ตาก็ไม่เห็นอะไรที่มันน่าจะสยดสยองแล้ว ถึงจะเหลือของลอยไปลอยมา อย่างน้อยมันก็ไม่เห็นผีหน้าแหวะๆ มีดาบเสียบคา…..เดี๋ยวนะ
เจ้าพระเจ้านี่มันจะเป็นคนดีแบบนี้จริงเหรอ?
เมื่อตระหนักได้ถึงความจริงอันแสนน่ากลัวข้อนี้ ผมก็ค่อยๆ เหลือบตาของตัวเองขึ้นมองบุคคลอันตรายตรงหน้า และสิ่งที่ผมเห็นก็คือ ผู้ชายหน้าตาหล่อเกินจะบรรยายที่ใบหน้าของเขากำลังแสยะยิ้มอย่างสะใจ เมื่อรู้ว่าแผนชั่วขั้นถัดไปของตัวเองนั้นกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า
หรือว่า….
หน้าของผมเริ่มซีดเผือดเมื่อเริ่มคิดออกแล้วว่าในอนาคตอันใกล้นี้ผมกำลังต้องเจอกับอะไร
ไม่ๆ ..อย่านะพวก ไม่ มันต้องไม่ใช่แบบนี้
“ทำไมทำหน้าซีดแบบนั้นล่ะท่านนักบุญผู้เป็นดั่งแสงของฉัน นี่ฉันกำลังจะให้พรที่สุดยอดกับนายเลยรู้ไหม?”
ดูมัน มันมีแซะผมด้วย!
พระเจ้าดึงมือข้างที่จับหัวของผมกลับจากนั้นแสงสว่างจางๆ ก็เริ่มก่อเป็นรูปทรงกลมที่บริเวณปลายนิ้วชี้ของเขา
“เนื่องจากวิชานี้เป็นวิชาที่ต้องใช้สมาธิพอตัว ดังนั้นการที่นายจะเห็นผีได้ยาวตลอดภารกิจอาจจะลำบากไม่ใช่น้อย เพราะงั้นฉันจึงจะให้พรอันเลิศเลอกับนายเป็นการมองเห็นผีโดยไม่ต้องใช้เวทไปตลอดหนึ่งวันเต็มๆ ยังไงล่ะ!”
โนววววววววว ถ้าจะทำกันแบบนี้ เอาหัวผมไปจุ่มชักโครกเลยยังดีซะกว่า!
ผมตะโกนกรีดร้องในใจขนาดที่สามารถทำให้สมองของผมแทบสั่นสะเทือนจนกระเด็นตกไปอยู่ที่ส้นเท้า ในใจก็แต่บ่นเจ้าพระเจ้าบ้านี่โดยทำอะไรไม่ได้
“เอาล่ะน๊า~”
พระเจ้าที่เริ่มทำตัวไม่สมกับเป็นพระเจ้าได้ยื่นนิ้วของเขามาพร้อมๆ กับบรรยากาศสุดสยองราวว่าผมกำลังถูกฆาตกรโรคจิตปิดฉากในท้ายเรื่อง
ฮือออ ไม่เอา ไม่อ้าวววววว
“รับพรของข้าไปซะ!”
พลั๊ก!
หัวของผมถูกนิ้วของพระเจ้าดีดเข้าจนเกิดเสียงดัง ความเจ็บเบาๆ ก็ผ่านเข้ามาที่หน้าผากและหายไปอย่างรวดเร็วเหลือทิ้งไว้เพียงแค่รอยแดงจางๆ เท่านั้น
“เอาล่ะ ให้พรเสร็จแล้ว เพราะงั้นขอให้สนุกนะ”
สนุกกับผีสิ!
สิ้นเสียงของพระเจ้า ร่างกายของเขาก็หายไปพร้อมกับเสียงฝีเท้าจำนวนมากที่วิ่งมาทางผม จากเสียงเกราะที่ดังลั่นบ้านแตกขนาดนี้ มันคงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพวกอัศวินหน่วยสอง
“พวกเราได้ยินเสียงของท่านมาจากทางนี้ มิทราบว่าเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ครับ?”
หัวหน่วยเมื่อเจอผมก็รีบมองซ้ายขวาแล้วสำรวจรอบๆ ตัวผมเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของผม ดังนั้นเพื่อไม่ให้มีอะไรที่น่าสงสัยผมควรทำตัวให้ปรกติไว้ก่อนน่าจะดีกว่า เพราะถ้าทำตัวกระโตกกระตากมันจะเข้าแผนของพระเจ้าที่หวังให้เรื่องมันพินาศกว่าเดิม
“ไม่มีอะไรค่ะคือแค่…..แค่พระเจ้าท่านประทานพรมาให้กับหนูเท่านั้นเองค่ะ”
ผมรู้นะว่านายกะให้ผมแอบบ่นนายเพื่อจะให้โดนคำสาปตีกลับคำพูดของผมกลายเป็นคำสรรเสริญแปลกๆ จนทำให้สถานการณ์ตอนนี้มันย่ำแย่ลงกว่าเดิม เพราะงั้นเปิดก่อนได้เปรียบ ชิงสรรเสริญเบาๆ พอเป็นพิธี แค่นี้ก็กันปัญหาเรื่องคำสาปได้แล้ว
“พร! พระองค์ท่านทรงให้พรกับท่านนักบุญ”
จู่ๆ หัวหน้าอัศวินเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูด เขาก็โพล่งขึ้นด้วยความตื่นเต้นและรีบหันไปหาลูกน้องของตัวเองแล้วชูดาบขึ้นฟ้าแบบที่พวกแม่ทัพทำกันก่อนจะสั่งเคลื่อนทัพ
“หน่วยอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่สองทุกท่าน บัดนี้พระเจ้าท่านได้ทรงให้พรแก่ท่านนักบุญ นั่นหมายความว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กำลังอวยพรให้ภารกิจครั้งนี้ของพวกเราเสร็จสิ้นด้วยดี ดังนั้นพี่น้องทั้งหลายจงบุกสังหารผีโดยมิต้องเกรงกลัวอีกต่อไป!”
“เฮ! พวกเราลุย”
สิ้นเสียงปลุกใจของหัวหน้าอัศวิน อัศวินทุกนายต่างตะโกนโห่ร้องออกมาอย่างฮึกเหิมและรีบวิ่งกระจายตัวกันออกไปทันทีโดยทิ้งผมให้ยืนอย่างอึ้งๆ
อ๊ะ!
นี่มันหมายความว่าอย่างไร ทั้งๆ ที่ผมคิดว่าแค่คำพูดอันแสนธรรมดาที่ไม่น่าโดนพระเจ้าบิดเบือนมันจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาแน่ๆ แล้วทำไม….แล้วทำไมมันถึงได้หนักกว่าเดิม!
ตอนนี้แก๊งค์อัศวินไม่ใช่แค่รื้อค้นบ้านแบบไม่เกรงใจเจ้าของ แต่เล่นโหดกันขนาดเรียกได้ว่ากะทำลายบ้านทิ้ง เพราะไม่ว่าจะการพังประตูที่ล็อค เอาดาบไล่ฟันของที่เกะกะขวางทางตัวเอง หรือกระทั่งร่ายยิงเวททำลายกำแพงตรงนู้นทีตรงนี้ที นี่ไม่เกรงกลัวเลยหรือว่าถ้าผีเจ้าของบ้านมาเห็นแล้วจะของขึ้นขนาดไหนน่ะ!
เฮ้ย นี่ใครเอายาม้าไปให้พวกนายทานกัน มันถึงได้คึกกันขนาดนี้ ว่าแต่พวกนายเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์จริงๆ อย่างงั้นเหรอ? ไอ้การรื้อค้นบ้านคนอื่นแถมเล่นทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าแบบนี้มันไม่เรียกว่าอัศวินแล้ว นี่มันอันธพาลชัดๆ!
ฮือ งานนี้ผีเจ้าของบ้านมันคงไม่จบแค่ฆ่าผมทิ้งแน่นอน มันต้องจัดหนักจัดเต็มด้วยการทรมานเอาหัวผมไปจุ่มโถชักโครกที่มีคนอุจจาระทิ้งไว้แน่นอน
และอีกเรื่อง ตอนนี้ที่ผมเริ่มขาสั่นหนักอยู่นั้นไม่ใช่แค่เพราะการกระทำของเจ้าพวกอัศวินบ้าพวกนั้น แต่ยังมีดวงตาพิเศษที่พระเจ้าแกล้งสาปใส่มาด้วย
ภาพการมองเห็นของผมตั้งแต่ที่พระเจ้าดีดหน้าผากนั้นมันได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากบ้านร้างธรรมดาๆ ที่มีแค่บรรยากาศอันน่ากลัว แต่ตอนนี้กลับมีไอสีดำๆ แปลกๆ ที่ค่อยๆ คืบคลานออกมาตามพื้น แถมยังมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เมื่อครู่นี้ที่พวกอัศวินไปทำลายข้าวของ
ไม่ผิดแน่….
นี่มันแรงแค้นของเจ้าของบ้าน!
ฮือออ งานนี้ผมต้องรีบเผ่น!
เมื่อสรุปสิ่งควรกระทำได้ผมก็มองซ้ายมองขวาว่าแถวนี้ไม่มีใครอยู่ก่อนจะจัดท่าตัวเองเพื่อเตรียมวิ่งออกไปทางประตู แต่เหมือนดวงจะไม่เข้าข้าง
“กรี๊ดดดดดด”
ทันทีที่ผมกำลังจะออกวิ่ง จู่ๆ ก็มีเงาดำอะไรบางอย่างวิ่งตัดหน้าผมไปจนทำให้ผมที่ตั้งตัวไม่ทันถึงขั้นกรีดร้องแบบห้ามไม่ได้
ผะ…ผี…ผีมาแล้ว!!!
“ท่านนักบุญอยู่ในอันตราย รีบไปคุ้มกันเร็ว!”
พวกอัศวินที่ได้ยินผมกรีดร้องก็รีบวิ่งกลับมาอีกรอบ จนผมสงสัยว่าทำไมมันไม่ทิ้งคนคุ้มกันผมให้สักสองถึงสามคนก็ยังดี พวกนายเป็นอัศวินสายองครักษ์ไม่ใช่หรือไง หรือว่าคึกจัดจนลืมหน้าที่ของตัวเองไปแล้ว!?
“วิญญาณร้ายได้ปรากฏตัวออกมาแล้ว ทุกนายเตรียมพร้อมเข้าต่อสู้!”
พวกอัศวินที่วิ่งกลับมาได้เห็นกับเหล่าเงาสีดำที่วิ่งตัดผ่านผมไป พวกเขาจึงชักดาบของตัวเองออกมาตั้งท่าระวังตัว และเริ่มจัดเรียงแถวตัวเองเป็นรูปลิ่มเหมือนพวกทหารที่เตรียมบุกทะลวง
“หึ เจ้าวิญญาณร้ายที่เต็มไปด้วยความแค้น บาปที่ทำให้ท่านนักบุญต้องกรีดร้องนั้นมหันต์นัก เตรียมเจอการลงทัณฑ์จากพวกเราเหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ได้เลย”
หัวหน้าหน่วยตะโกนบอกเหล่าผีที่คั้นกลางระหว่างผมกับพวกเขา ซึ่งผีพวกนี้ก็มีบางอย่างที่แปลกไปจากที่ผมคิดไว้ เพราะนอกจากร่างกายจะลอยไม่ได้หรือไม่มีเลือดอาบเต็มตัวแบบในหนัง พวกมันยังไร้ซึ่งกลิ่นอายของแรงแค้นแบบเจ้าของบ้านที่ตอนนี้มันช่างเยอะจนจะมาเตะก้นผมอยู่แล้ว
แต่จะให้อธิบายถึงลักษณะของมันก็คงบอกได้ยากเพราะพวกมันเป็นแค่ผีใส่ผ้าคลุมดำและสวมใส่หน้ากากหัวกะโหลกเท่านั้น….
หรือว่ายมฑูต!?
“นักบุญ?”
เมื่อยมฑูตได้ยินคำว่านักบุญ พวกมันกว่าสิบตนก็เริ่มยกมีดในมือของตัวเองขึ้นมาจากนั้นก็หันซ้ายหันขวาไปรอบด้านเหมือนกับหาบางสิ่ง
แน่นอน สิ่งที่พวกมันหานั้นคงไม่ใช่อะไรนอกจากผมที่โชคดีหลบอยู่ตรงมุมเลี้ยวซึ่งมีกำแพงเป็นตัวบังให้อีกที ดังนั้นจึงถือว่าผมอยู่ในภาวะที่ปลอดภัย
ที่ต้องทำก็เหลือแค่รอให้พวกนี้ตีกันแล้วอาศัยจังหวะนั้นหนีไปซะก็สิ้นเรื่อง
ว่าแต่ยมฑูตยกมีดมาตอนได้ยินชื่อผมแบบนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกมันเล็งฆ่าผมแน่นอน….
นี่ผมไปสร้างเวรสร้างกรรมกับใครมากันแน่ จะทั้งผีทั้งยมฑูตมันถึงได้ตามหลอกตามหลอนผมในวันเดียวกันแบบนี้ นี่พวกแกนัดกันมาใช่ไหม!?
แต่เอาเถอะ ยังไงผมก็ยังอยู่ในที่ปลอด….
“หึ หันซ้ายหันขวาทำเป็นไม่เห็นแบบนี้ วิญญาณร้ายอย่างพวกแกคงเกรงกลัวท่านนักบุญกันน่าดูล่ะสิท่า ถ้างั้นก็จงดูให้เต็มตา ถึงรัศมีอันเจิดจรัสของท่านนักบุญที่เพียงแค่พวกวิญญาณร้ายอย่างพวกแกมองแวบเดียวก็จะสลายกลายเป็นผง…..ท่านนักบุญน่ะ”
ภัย….
“อยู่ด้านหลังพวกแกยังไงล่ะ!”
กับผีอะเซ่!
ไม่ทันที่ผมจะดีใจให้มันสุด เจ้าโซแลร์มันก็ได้ทำสิ่งที่ผมไม่อยากจะเชื่อที่สุด มันได้เอาดาบของมันชี้ไปที่ด้านหลังของพวกยมฑูตก่อนจะบอกที่ซ่อนของผมอย่างชัดเจน
แล้วจะไปบอกที่ซ่อนมันทำไม! นี่บ้าไปแล้วเหรอไง พวกนายได้รับภารกิจให้มาคุ้มครองผมนะไม่ใช่พาผมมาฆ่า! นี่จงใจใช่ไหม บอกมาซะ นี่พวกแกจงใจใช่ไหม?
หลังพวกยมฑูตรู้ว่าผมหลบอยู่ด้านหลัง พวกมันก็ถีบตัวถอยหลังจนผนังที่บังตัวผมใช้ไม่ได้อีกต่อไป เมื่อเห็นแล้วว่าผมอยู่ตรงไหน มีดในมือก็ถูกชักออกมาเพื่อเตรียมปลิดชีพเป้าหมายตรงหน้า
“อ้าว ทำไมเห็นท่านนักบุญแล้วยังไม่หายไปอีก? ผีร้ายพวกนี้ช่างแปลกยิ่งนัก”
ที่แปลกน่ะมันสมองพวกนายต่างหาก เพียงแค่เห็นก็สามารถทำให้สลายไปได้? เอาส่วนไหนของร่างกายมาคิด ถ้าเกิดมีคนทำแบบนั้นได้จริง เจ้าพวกนักบวชที่โบสถ์ก็ไม่ต้องมานั่งทำน้ำมนต์ให้เมื่อยแล้ว
“ช่างเถอะ ถ้าไม่ได้ผลแบบนี้….พวกเราคุ้มครองท่านนักบุญ”
ทันทีที่โซแลร์ตะโกนขึ้น เหล่าอัศวินนับสิบก็ได้วิ่งฝ่าทะลวงเข้ามาที่แนวของยมฑูตชุดดำจนพวกมันกระโดดแยกตัวออกจากกันเพื่อหลบพวกอัศวินที่พุ่งเข้าใส่
“ไม่ต้องห่วงนะครับท่านนักบุญ พวกเราไม่ปล่อยให้ใครมาทำอันตรายใดๆ กับท่านแน่นอน”
โซแลร์ที่สามารถฝ่าวงล้อมของพวกยมฑูตได้มายืนกั้นระหว่างผมกับศัตรูที่เพิ่งปรากฏ เขาพูดด้วยเนื้อหาที่เท่ประดุจเป็นพระเอกของหนังที่มาช่วยนางเอก แต่ขอโทษเถอะ…
ไม่ปล่อยให้ใครมาทำอันตรายบ้าบออะไรของแก เมื่อกี้แกยังชี้เป้าให้พวกยมฑูตมาฆ่าผมอยู่เลยไอ้พวกทัพพี
ผมได้แต่บ่นพวกสติไม่เต็มในใจ เพราะอย่างน้อยตอนนี้พวกเขาก็ยังเป็นความหวังของผมในการสู้กับยมฑูตที่น่าจะเป็นวิญญาณขั้นสูง……เดี๋ยวนะ
“เอาล่ะพวกเรา เตรียมพร้อมลุยกับพวกวิญญาณชั่วร้าย จงหยิบน้ำมนต์ขึ้นมาเพื่อเริ่มพิธีสร้างดาบศักดิ์สิทธิ์ซะ”
สิ้นเสียงประกาศอันแสนดังประดุจคำร่ายท่าไม้ตาย พวกอัศวินเอื้อมมือไปด้านหลังก่อนจะพยายามคว้าสิ่งที่เหน็บอยู่ตรงเอว แต่พอสะบัดมือไปมาอยู่ประมาณ 3-4 รอบ ก็เหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ว่าพวกเขานั้น…..
วางน้ำมนต์ไว้อยู่ที่บ้าน!
ด้วยความหลงผิดไปเชื่อเจ้านักบวชกาวศักดิ์สิทธิ์ ทำให้พวกนั้นดันมาบ้าจี้ฝากความหวังไว้กับโฆษณาชวนเชื่อของน้ำมนต์ของผม ที่ไม่ว่าจะตะแคงดูด้านไหนมันก็ไม่น่าจะใช้ปราบผีได้
“นั่นสินะ…พวกเรานี่ก็โง่จริงๆ”
โซแลร์พูดบ่นขึ้นมา ทำให้ผมถอนหายใจอย่างยินดีว่าอย่างน้อยพวกนี้มันก็น่าจะเหลือเศษของสมองมาใช้คิดอะไรเป็นเหตุเป็นผล
“พระเจ้าท่านอวยพรพวกเราผ่านทางท่านนักบุญแล้วนี่นา ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ น้ำมนต์มันจะไปสู้ได้ยังไง พี่น้องทุกท่าน บุกมันไปตรงๆ นี่ล่ะ!”
ขอถอนคำพูด! ไอ้พวกนี้มันไม่มีสมองเหลือแล้ว!
พวกอัศวินเปลี่ยนท่าดาบของตัวเองเป็นยกขึ้นชี้ใส่ศัตรูเพื่อเตรียมพร้อมเข้าปะทะกับเหล่ายมฑูตที่ตอนนี้เริ่มยกมีดสั้นในมือของพวกมันเตรียมพร้อมรับการโจมตี
เอาฟะ ในเมื่อพวกมันจะบ้าอย่างงี้แล้วผมคงต้องทำอะไรสักอย่าง เพราะขืนปล่อยไปให้มันเอาดาบเปล่าไปฟันผี รับรองทั้งผมทั้งพวกแก๊งค์อัศวินไร้สมองคงไม่ได้เดินออกจากบ้านนี้อีกเป็นแน่แท้
เมื่อคิดได้แบบนั้นผมก็เริ่มรวบรวมความกล้าและเตรียมตัวจะใช้พลังของตัวเองเสริมความแข็งแกร่งให้กับดาบของพวกเขา เพราะถึงจะไม่ใช่น้ำมนต์แต่ด้วยเวทของผมแล้ว รับรองแรงกว่าน้ำมนต์แน่นอน
“เดี๋ยวท่าน เพื่อความปลอดภัยเรามาใช้น้ำมนต์ของท่านนักบุญกันเถอะ”
ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้ก้าวเท้าออกตัว จู่ๆ อัศวินนายหนึ่งยกขวดที่ใส่น้ำสีคุ้นๆ อย่างดำน้ำส้วมขึ้นมาพร้อมตะโกนเรียกความสนใจทั้งหมดไปอยู่ที่ของในมือ เล่นทำเอาตาผมแทบหลุดออกจากเบ้าเมื่อเห็นสีของน้ำที่โคตรสะดุดตา
มันไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไง!?
ผมรีบเอามือไปคว้าตรงบริเวณที่เหน็บขวดยาเอาไว้แต่ก็พบว่ามันไม่อยู่ที่ตรงนั้น
หรือว่า!
ผมนึกออกขึ้นมาได้ว่าตอนที่พวกยมฑูตวิ่งตัดหน้า ผมตกใจจนเผลอล้มไป และคงเป็นช่วงนั้นที่ขวดน้ำกรดของผมกลิ้งหล่นลงไป
ซวยแล้วไง ถ้าขืนพวกเขาเอาไปใช้ล่ะก็งานงอกแน่ๆ ต้องรีบห้าม
แต่แล้วช่างน่าเศร้า ไม่ทันที่ผมจะได้ร้องห้าม โซแลร์ก็ยิ้มออกมาก่อนพยักหน้าให้อัศวินที่ถือขวดน้ำกรดของผม
“นั่นสินะ พวกเราต้องอยู่ในความไม่ประมาท ดังนั้นแล้วการใช้น้ำมนต์คงนับเป็นการดีที่สุด”
ไอ้ที่พวกนายพูดมานั้นล่ะที่มันโคตรจะประมาทที่สุดเลยนะรู้ไหม!
พวกอัศวินพยักหน้าให้กัน จากนั้นก็นำดาบมาประสานรวมกันไว้ตรงกลาง ปล่อยให้อัศวินที่ถือน้ำกรดคูณความแรงล้านเท่าราดลงไปที่จุดซึ่งดาบทุกเล่มมาบรรจบกัน
“ในนามแห่งสาวกผู้ถือดาบอันศักดิ์สิทธิ์อันถือกำเนิดจากเมตตาและความแข็งแกร่งอันสูงส่งของพระองค์ท่านผู้ยิ่งใหญ่ ขอพลังแห่งท่านซึ่งสถิตย์ในวารีกลายเป็นพลังที่จะปราบเหล่าผีร้ายให้หมดไปจากโลกที่เปี่ยมล้นด้วยเมตตา”
เหล่าอัศวินได้พูดคำร่ายประดุจกำลังจะใช้ท่าไม้ตาย ทำให้ผมสงสัยเหลือเกินว่าระหว่างที่พวกเขากำลังทำท่าโชว์หล่ออยู่แบบนี้ พวกเขาไม่กลัวว่าศัตรูจะมาตบตอนกำลังร่ายอยู่หรืออย่างไร?
เมื่อคิดแบบนี้แล้วผมก็เหลือบตาของตัวเองไปมองเหล่ายมฑูตซึ่งตอนนี้กำลัง…….
กำลังลับมีดของตัวเองรอ!!!!
เหล่ายมฑูตที่น่าจะโหดเหี้ยมและอำมหิตนั้นกลับกลายเป็นเหล่าผีผ้าคลุมใจดีที่ปล่อยให้พวกผีบ้ามาร่ายเวทกันอย่างสบายใจเฉิบโดยที่พวกเขาไม่ทำอะไรนอกจากลับมีดของตัวเองรอ
แบบนี้ก็ได้เหรอ!? พวกนายเป็นตัวร้ายในหนังไอ้มดแดงหรือยังไงถึงมารอพวกตัวเอกเก๊กท่าไม้ตายเนี่ย
นี่ยมฑูตยังเป็นได้ขนาดนี้……โลกใบนี้มันบ้าไปแล้ว!
“ดูนั่นสิ ดาบของพวกเรา ดาบของพวกเรา!”
อัศวินแต่ละคนต่างแตกตื่นเมื่อเห็นว่าดาบของพวกเขาตอนนี้กำลังเริ่มสลายหายไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่กี่วินาทีดาบที่คมกริบของพวกเขาตอนนี้เหลือเพียงแค่ด้ามดาบ
ในที่สุดพวกมันก็รู้แล้วสินะว่าน้ำที่พวกมันราดไปไม่ใช่น้ำมนต์แต่เป็นน้ำกรด เห็นกันจะๆ ตาแล้วใช่ไหมว่าไอ้คำโฆษณาของเจ้านักบวชวารีศักดิ์สิทธิ์ที่วันๆ นั่งสูดแต่กาวน่ะมันเชื่อไม่ได้
“นี่มัน….”
นั่นล่ะ ในที่สุดพวกนายก็ตาสว่างกันสัก…..
“ต้องใช่แน่ๆ …..น้ำมนต์ขั้นสุดยอด!”
เอ๋….เมื่อกี้ว่าไงนะ!?
“ต้องใช้แน่ๆ น้ำมนต์นี่…. น้ำมนต์นี่ต้องเป็นน้ำมนต์ขั้นสุดยอดที่ผ่านการสวดภาวนาด้วยใจอันบริสุทธิ์ของท่านนักบุญจนทำให้ดาบของพวกเราอาบไปด้วยความบริสุทธิ์อันแรงกล้าจนไม่อาจเห็นตัวตนได้”
ที่ไม่มีตัวตนน่ะ มันสมองของพวกนายต่างหาก เห็นดาบหลอมไปต่อหน้าต่อตา นี่ยังจะคิดว่ามันเป็นฤทธิ์ของน้ำมนต์อีกเหรอ ถามจริง!
“แย่ล่ะสิ…..น้ำมนต์ที่ของพวกมันต้องแรงกล้ามากแน่ๆ ทุกคนระวังตัวให้ดี”
นี่พวกแกก็เอากับเขาด้วยเหรอ ไอ้พวกยมฑูต!?
เหล่ายมฑูตแสนใจดีที่ยืนลับมีดรออย่างใจเย็น เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับดาบ พวกเขาต่างสะดุ้งตื่นตกใจราวกับเห็นของที่แสนน่ากลัว
“หึๆ วิญญาณร้ายอย่างพวกแกจะต้องโดนดาบศักดิ์สิทธิ์นี้กำจัดไปซะ ย้ากกก”
อัศวินศักดิ์สิทธิ์ทุกคนกู่ร้องอย่างห้าวหาญ พวกเขาทะยานตัวเข้าใส่เหล่ายมฑูตซึ่งมีจำนวนที่ใกล้เคียงกัน หากการต่อสู้นี้คือการต่อสู้แบบปรกติมันจะต้องเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดและกินเวลาแน่นอน เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็น่าจะเป็นยอดฝีมือของฝ่ายตัวเอง
แต่ช่างน่าเศร้า นี่มันไม่ใช่การต่อสู้ปรกติ เพราะดาบที่เปรียบเหมือนความภูมิใจและความแข็งแกร่งของอัศวินนั้น ตอนนี้ได้ถูกหลอมละลายไปด้วยความโง่เง่าของพวกเขาเรียบร้อย เพราะฉะนั้นสภาพตอนนี้ก็เหมือนเอาปีโป้ไปตีก้อนหิน ต่อให้ฝีมือจะดียังไงสุดสภาพก็น่าจะเละอยู่ดี
ควับ ปัง
ดาบถูกเหวี่ยงเข้าใส่แต่โชคร้ายไปหน่อยที่วันนี้พวกเขาพกสมองออกมา ทำให้ดาบที่ไร้ใบได้ฟันผ่านร่างของศัตรูไปเหมือนฟันลม ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นทำเอาพวกอัศวินงงกันเป็นไก่ตาแตก
“จังหวะนี้ล่ะพวกเรา!”
เหล่าคุณยมทูตได้สลัดความใจดีเมื่อครู่ทิ้งไป พวกเขารีบอาศัยจังหวะที่พวกอัศวินกำลังยืนงงอยู่รีบซัดมีดฟันเข้าใส่เกราะของพวกอัศวิน ซึ่งจุดนี้ผมก็ไม่เข้าใจว่าจุดอื่นที่บางกว่ามีให้ฟันทำไมไม่ฟัน ไปฟันกันทำไมตรงชุดเกราะ
นี่พวกนายเป็นตัวร้ายเกรดบีหรือไงกัน!
นับเป็นโชคดีที่ถึงพวกนี้จะไร้สมองแต่เกราะของพวกเขาก็ยังหนากว่า ทำให้แรงอันมหาศาลของพวกยมฑูตที่อัดเข้าใส่ทำได้แค่ดันให้ร่างของพวกเขากระเด็นถอยหลังเท่านั้น
ด้วยดาบที่ไร้ซึ่งพิษสงใดๆ ทำให้ตอนนี้อัศวินทุกนายได้ถูกตีกลับมาด้วยสีหน้าที่ผิดหวัง พวกเขาบางคนกำด้ามดาบแน่น ส่วนบางคนก็ทุบไปที่กำแพงประดุจเป็นพระเอกเอ็มวีเพลงอกหัก
“โว้ย นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นเนี่ยทั้งๆ ที่ดาบของพวกเราถูกอาบด้วยน้ำมนต์ขั้นสุดยอดของท่านนักบุญแล้วทำไม…แล้วทำไมมันถึงจู่โจมมันไม่ได้?”
นั่นล่ะ พวกนายจงรู้ความจริงได้แล้วว่าดาบของพวกนายละลายไปหมดแล้ว
“หรือว่าเพราะดาบของพวกเรามันได้ถูกจิตอันบริสุทธิ์ของท่านนักบุญแปรเปลี่ยนให้เป็นจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ที่สามารถทำรายวิญญาณร้ายได้อย่างสมบูรณ์?”
ห๊ะ
“ต้องใช่แน่ๆ ครับท่านโซแลร์ คงเป็นเพราะพวกเราใส่จิตใจลองไปไม่พอจึงมิอาจรวบรวมจิตวิญาณแห่งดาบได้ ช่างน่าเศร้าใจยิ่งนัก..”
เออช่างน่าเศร้าใจ น่าเศร้าใจกับพวกนายยังไงล่ะ จิตวิญญาณแห่งดาบอะไรที่พวกนายพูดถึงน่ะตอนนี้มันไม่ได้ลอยอยู่แถวนี้หรอก มันบินไปอยู่กับเจ้าคนที่พวกนายนับถือแล้ว
“อย่างงี้นี่เอง….พวกเราช่างโชคดียิ่งนัก”
เหล่ายมฑูตพูดออกมาอย่างโล่งอก พลางสำรวจตัวเองด้วยความโล่งใจ การกระทำของพวกเขาในยามนี้มันช่างล้ำเกินกว่าที่ผมจะสามารถเข้าใจได้…
นั่นตบมุกให้ใช่ไหม นั่นพวกนายกำลังตบมุกให้พวกไร้สมองพวกนี้ใช่ไหม!?
“ไม่เป็นไรทุกท่าน พวกเราต้องลองใหม่ ตั้งจิตให้ดีแล้วบุกกกกก”
เหมือนจะยังไม่เข็ด อัศวินหน่วยสองตั้งดาบของตัวเองขึ้นพร้อมหลับตาเพียงชั่วครู่เพื่อรวบรวมพลังจิตจากนั้นพวกเขาต่างวิ่งเข้าบุกใส่พวกชุดดำที่ยืนรออยู่
เคร้ง เคร้ง
“เอื้อ”
น่าเศร้า แม้จะรวมจิตแค่ไหน แต่สิ่งที่ไม่มีก็คือไม่มี ดังนั้นมันจึงไม่แปลกอะไรที่พวกเขาจะถูกสวนกลับได้อย่างรวดเร็ว
“พวกเราช่างอ่อนแอนัก……ทั้งๆ ที่ได้พลังอันยิ่งใหญ่มาอยู่ในมือแต่กลับใช้งานมันไม่ได้……ไม่เป็นไร พวกเรายังสู้ต่อได้”
ยังจะเอาอีกเหรอ!?
“ในนามแห่งอัศวินศักดิ์สิทธิ์หน่วยที่สองที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งและอดทนที่สุด แม้จะมิสามารถใช้อาวุธที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้แต่พวกเราก็ยังสู้ต่อได้…..ใช่ ด้วยมือสองข้างของสาวกผู้ศรัทธานี่ไงล่ะ”
โซแลร์และลูกน้องเก็บดาบของพวกเขาลงฝัก จากนั้นเขาจึงชูกำปั้นขึ้นมาด้วยความมั่นใจราวกับหลุดมาจากหนังสือการ์ตูนโชเน็น ซึ่งหากเป็นแบบนั้นตอนนี้มือของพวกเขาคงมีไฟลุกพรึ่บๆ แน่นอน
“ในนามกำปั้นของทวยเทพ พวกเราจะขอพิพากษาวิญญาณร้ายอย่างพวกแกเอง ย้ากกก”
ตุบๆ พลั๊ก!
“เอื้อ!”
ด้วยความแตกต่างด้านอาวุธและความไม่ชินที่ต้องเปลี่ยนอาวุธกระทันหันทำให้พวกเขาถูกดันกลับมาอย่างง่ายดาย
โอ้ย จะเป็นลม! ถามจริง ไอ้ความสามารถป้องกันที่ชาวบ้านชมนักชมหนาของพวกนายอัศวินหน่วยสองน่ะ มันมีไว้เพื่อมาเป็นกระสอบทรายใช่ไหม?
ไม่ไหวแล้ว ผมทนไม่ไหวแล้ว ใครก็ได้ เอาผมออกไปจากที่นี่ที!
ตู้มมมมมม
ไม่รู้ว่าเพราะคำขอของผมหรืออะไร แต่กำแพงที่อยู่ระหว่างพวกผมและยมฑูตก็ได้แตกออกและปรากฏร่างของวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ตะโกนกรีดร้องโหยหวน
วิญญาณที่ปรากฏออกมาตรงกับสิ่งที่วิญญาณควรมีทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นร่างกายที่ลอยได้ เลือดที่เปื้อนเต็มหน้าหรือบางคนยังมีอาวุธปักอยู่ตามตัวบ่งบอกสาเหตุของการตายด้วย และที่สำคัญคือรังสีของความแค้นที่พุ่งออกมาอย่างแรงกล้าผิดกับพวกยมฑูตตรงหน้าผม และนั่นคือสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าพวกมันคือ…
“แค้นนนน แค้นเหลือเกินนนน”
“กรี้ดดดด ผีจริงมาแล้วววว”
————————————————————————
ครับ จบไปแล้วกับหนึ่งตอนที่….อืม ตามนั้นล่ะ
///ซูดดดดดดดดดดด
ปล.ยาดมครับอย่าคิดมาก