ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ – บทที่ 25 ออโรร่าน้อยกับวิญญาณหมีอันแสนน่าพรั่นพรึงทั้งสอง

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

 

               “เหล่าผู้รับใช้แห่งข้า เจี๋ยนพวกมันรายตัวซะเลย”

               สิ้นเสียงคำสั่งดังลั่นบ้านแตกของผีหมี เหล่าลูกน้องและตัวบอสใหญ่ต่างพุ่งตัวกรูกันไปทางที่ผมวิ่งจากมา โดยเหลือไว้เพียงผมที่ยืนทึ่งกับผลงานที่ตัวเองทำไป

               “นี่มันเกินคาดกว่าที่ฉันคิดเอาไว้อีกค่ะ”

               ถึงมันจะดีเกินความคาดหมายแต่ก็ยังมั่นใจไม่ได้ว่าพวกผีที่รับคำสั่งจะโจมตีถูกฝ่ายหรือเปล่า เพราะถึงผมจะย้ำไว้แล้วว่าพวกอัศวินเป็นพวกเดียวกันกับผมแต่ขึ้นชื่อว่าผีแค้น มันจะเล่นใครก็ย่อมเล่นได้ แถมอีกอย่าง ก่อนที่ผมจะเผ่นมา พวกอัศวินกับผีประจำบ้านน่าจะตีกันไปแล้ว ดังนั้น…

               บรึ้มมมมม

               เสียงโครมครามดังออกมาจากทางที่พวกผีพุ่งไป ผมจึงรีบเดินไปด้วยขาสั่นๆ เพราะแม้ตอนนี้พวกผีจะกลายเป็นพวกเดียวกับผมแล้วแต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่บรรยากาศสุดหลอนของบ้านไปแม้แต่น้อย ยิ่งประกอบกับรูพรุนๆที่ผมสร้างขึ้นมาแล้ว มันยิ่งดูเฮี้ยนกว่าเดิม

               ผมรีบวิ่งตามไปเพราะกลัวว่าจะมีปัญหา แต่ดูเหมือนผมจะคิดมากเกินไป…

               สภาพการต่อสู้ในปัจจุบันเรียกได้ว่าดูแปลกๆ เพราะไม่ใช่แค่เป็นผีสู้กับคนหรือคนสู้กับยมฑูต แต่ดันมีผีสู้กับผี….คืออันที่จริงเรียกว่าผีสั่งสอนผีน่าจะถูกต้องมากกว่า

               “เฮ้ยพวกลูกน้องเวร นี่พวกแกกล้าทำร้ายอัศวินแห่งศาสนจักรอย่างงั้นเหรอ! รู้ไหมว่าสิ่งนี้นับเป็นความผิดมหันต์เลยนะ!”

               ถึงแม้จะเป็นวิญญาณแค้นในบ้านผีสิง แต่ผมลืมไปได้ยังไงว่าสุดท้ายเขาคนนี้ก็คือนักบวชชั้นสูงของศาสนจักรอยู่ดี แถมการตายของเขาก็ตายจากฝั่งขุนนางไม่ใช่ฝั่งศาสนจักรดังนั้นหากคิดดูดีๆผีตนนี้ก็เป็นพันธมิตรกับคนของ…

               “ต้องขอโทษด้วยครับ ที่พวกเราไปทำร้ายคนของศาสนจักรเข้า”

               ศาสนจักร…..

               “ไม่ใช่เรื่องนั้น ที่ผิดน่ะเพราะพวกแกไปทำร้ายเพื่อนของสาวน้อยน่ารักผมขาวคนนั้นต่างหาก”

               “รู้ไหมว่าถ้านางมาเห็นว่าพวกเราไปทำร้ายเพื่อนของนางเข้าแล้วจะเป็นอย่างไร เจ้าก็เห็นน้ำตาตอนนั้นไม่ใช่เหรอ? ข้าน่ะไม่อยากเห็นมันอีกแล้ว น้ำตาหลั่งรินออกมาจากแววตางดงามน่ารักนั่น โอ…แค่คิดแล้วข้าก็ปวดใจ เพราะฉะนั้นห้ามทำอะไรเพื่อนของนางเด็ดขาด! จงจำเอาไว้ คนชั่วคือคนที่ทำให้เด็กสาวร้องไห้!!!!”

               ขอถอนคำพูด ไอ้ผีนี่มันเป็นพันธมิตรกับแค่เหล่าหมีทั้งปวงทั่วโลกนี่หว่า คุณตำรวจ คุณตำรวจอยู่ไหน ที่นี่มีคน…เอ้ยมีผีโรคจิตอยู่ รีบจับมัน รีบจับมันเข้าคุกด่วนนนน

              

               ไหนใครกันนะบอกผมว่าเจ้าผีบ้านี่มันเป็นผีลูกศิษย์คนโปรดของท่านสังฆราช ไม่ทราบว่าท่านหน้าสูบกัญชาก่อนไปเลือกคนมาเป็นศิษย์หรืออย่างไรถึงได้รับเจ้าหมีโลลิคอนตัวนี้เข้ามาได้ แล้วไหนจะยังเป็นที่เคารพรักของเหล่าปวงประชาอีก ประชาชนแห่งเรสเวนที่ศรัทธาในเจ้าบ้านี่ต้องทำงานอยู่ในโรงงานกัญชาแน่นอนถึงได้มารักใคร่เจ้าหมีโลลิคอนตัวนี้ได้!

               “นั่นมันวิญญาณท่านฟรานซิส ท่านกำลังมาเพื่อช่วยพวกเรา เมื่อตายจากไปด้วยความแค้นท่านก็ยังช่วยพวกเรา อา ช่างประเสริฐ ประเสริฐจริงๆ นี่ล่ะตัวอย่างแห่งเหล่าสาวกของศาสนจักร”

               ตัวอย่างกับผีพวกแกสิ ไม่ทราบว่าหูดับไปชั่วครู่กันเหรอยังไง เมื่อกี้พวกนายก็ยังได้ยินไอ้คำว่าสาวน้อยคือความยุติธรรมออกจากปากเฮียแกอยู่เลยไม่ใช่เหรอ? นี่ไม่สงสัยกันบ้างหรือยังไง?

               “ว่าแต่เมื่อครู่ข้าได้ยินว่าสาวน้อยคือความยุติธรรมจากปากของท่านฟรานซิสนี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน”

               เหมือนฟ้ายังมีตาจนประทานความจริงให้กับเหล่าคนที่สมองบินออกจากหัวไปไกลแสนไกล ในที่สุดก็มีอัศวินบางคนเริ่มสงสัยสักที นั่นล่ะๆพวกนายควรรู้ตัวเองได้แล้วว่าคนที่พวกนายศรัทธาน่ะมันเป็นแค่หมีโลลิค่อนตัวหนึ่ง

               “หือ…นั่นท่านนักบุญนี่นา ใช่แล้ว สาวน้อยคือความยุติธรรม….ท่านฟรานซิสจะต้องหมายถึงตัวท่านนักบุญแน่นอน ท่านจะต้องหมายถึงท่านนักบุญที่นำมาซึ่งความยุติธรรมแห่งโลกนี้แน่นอน!!”

               “โอ้ ใช่แล้ว!”

               ไปหมดแล้วสมงสมอง เจ้าพวกอัศวินพวกนี้พอมีคนเปิดความคิดแผลงๆ ไอ้พวกที่เหลือมันก็คล้อยตามแบบไม่คิดสงสัยสักนิด

               ไม่ไหว ไม่ไหวแล้ว โลกนี้มันบ้าอะไรกันไปหมด นักบวชก็เป็นโลลิคอน พระเจ้าก็ผีบ้า นี่มันยังหา……กรรมเวร

               “อา โลกนี้ช่างประเสริฐยิ่งนัก กระทั่งพระเจ้ายิ่งเปี่ยมล้นด้วยเมตตา สาวกแห่งพระองค์ท่านทั้งหลายที่เห็นความจริงอันประจักษ์ตรงหน้า ตัวข้านี้ช่างยินดี ยินดียิ่งนัก”

               ยินดีกับผีมันเซ่ โอ้ย ผมลืมไปได้ไงนะว่าคำสาปบ้าๆนี่มันยังทำงานอยู่น่ะ แล้วมันเล่นกลับคำพูดของผมให้เป็นสรรเสริญตั้งแต่คนยันโลกอันแสนเมากัญชา งานนี้บอกได้คำเดียว เละ!

               “โอ้ ท่านนักบุญ ท่านนักบุญจริงๆด้วย เหตุที่วิญญาณแค้นของท่านฟรานซิสกลายเป็นวิญญาณที่พิทักษ์เหล่าคนของศาสนจักรอีกครานั้นต้องเป็นเพราะวาจาอันเปี่ยมล้นด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่แท้”

               สมเป็นหัวหน้าของพวกอัศวินกระสอบทราย ลูกน้องว่าเสนอความคิดเมาแล้ว หัวหน้ามันยิ่งเสนอความคิดที่เมากาวยิ่งกว่าออกมาได้

               ไม่ทราบว่าพวกนายเอาที่ไหนมาคิด ผีฟรานซิสยังพูดอยู่เลย ทั้งไอ้น้ำตาสาวน้อย ทั้งสาวน้อยคือความยุติธรรม ไม่ว่าจะดูไงมันก็ไม่ใช่วิญญาณพิทักษ์ศาสนาแต่เป็นวิญญาณโรคจิตชัดๆ

               เอาเหอะ คิดไปก็ปวดหัว อะไรมันจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิดไปเถอะ ผีพวกนี้หันมาช่วยก็เป็นเรื่องดี งานจะได้เสร็จไวๆ ผมจะได้เผ่นไปกินขนมสุดอร่อยกับเขาเสียที

               ส่วนเจ้าพวกยมฑูตสอบตกที่แม้แต่ผีมันยังมองไม่เห็นนั้น สิ่งเดียวที่ผมพอทำให้ได้คงเป็นสวดส่งวิญญาณให้ล่ะนะ

               “เอ้า กุศลา ธรรมมา กุศลาธรรมา”

               เนื่องด้วยไม่รู้จะสวดอะไรก็เลยจัดการสวดบทส่งศพให้พวกมันไปเลย ซึ่งความบ้ามันก็ดันเกิดขึ้นอีกเพราะพวกอัศวินที่มันได้ยินผมสวดบทสวดนั้นดันหันหน้ามาอ้าแขนรับเฉยเลย

               “นั่น ท่านนักบุญกำลังสวดอวยพรให้เรา เหล่าอัศวินผู้พิทักษ์แห่งหน่วยที่สองทั้งหลาย ทุกคนโปรดอ้าแขนรับพรอันศักดิ์สิทธิ์จากท่านนักบุญกันเถอะ”

               นี่พวกแกบ้าไปแล้วเรอะ? นี่ผมสวดบทส่งศพนะเว้ยไม่ได้สวดบทอวยพร พวกเอ็งจะมาอ้าแขนรับทำเตี่ยอะไร? อยากตายกันนักใช่ไหม?…ไม่สิ บางทีพวกมันอาจทำถูกแล้วก็ได้….ใช่

               ถือซะว่าผมสวดส่งให้สมองของพวกมันที่ตายไปแล้วยังไงล่ะ!!!

               ตุบๆ

               “เหวอ ไหงตัวข้าถึงลอยได้ล่ะ?”

               “เฮ้ย นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันฟะ”

               เหล่ายมฑูตทั้งหลายถูกวิญญาณในบ้านหลายสิบตนฉุดกระชากลากออกไปข้างนอกบ้านก่อนจะตามมาด้วยเสียงดังโครมครามข้างนอกบ้านซึ่งหากตามไปดูคงไม่ดีต่อสุขภาพทางสายตาและสุขภาพจิตเท่าไหร่

               “นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าพวกศัตรูที่น่ากลัวที่แม้แต่ดาบที่เคลือบด้วยน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ของท่านนักบุญยังจัดการไม่ได้ สามารถถูกจัดการได้อย่างง่ายดายด้วยวิญญาณแห่งบ้านหลังนี้”

               ไม่วายพวกนี้ยังมาพูดถึงเหตุการณ์อันน่าปวดหัวเมื่อครู่ ยิ่งฟังเท่าไหร่ผมก็ยิ่งอยากเอาหัวโขกกำแพงเพราะพวกนี้มันไม่แม้แต่จะเอะใจเลยว่าดาบของพวกมันตอนนี้เหลือแค่ด้ามเพราะโดนน้ำกรดละลายแถมยัง…

               “ต้องเป็นเพราะท่านนักบุญได้ชำระล้างความแค้นของเหล่าวิญญาณแล้วแปรเปลี่ยนให้ทุกตนกลายเป็นวิญญาณอันแสนบริสุทธิ์เพื่อมาช่วยพวกเราอย่างแน่แท้”

               แถมยังจับแพะไปชนแกะได้หน้าตาเฉยอีก!

               “ที่ท่านนักบุญวิ่งหายไปเมื่อตอนนั้นก็เพราะไปอัญเชิญเหล่าวิญาณมาช่วยพวกเรานี่เอง ช่างน่านับถือในทั้งจิตใจและพลังของท่านนักบุญจริงๆ”

               “นั่นสิๆ”

               แถมไม่มีใครคิดสงสัยสักนิด!

               ขอร้องล่ะท่านสังฆราช หากมีภารกิจคราวหน้าที่ต้องมีใครมาคุ้มกัน ช่วยส่งใครที่มันเต็มเต็งกว่านี้มาให้ผมที เพราะก่อนผมจะตายจากภารกิจ ผมจะหัวแตกตายจากเจ้าพวกบ้าปัญญาอ่อนพวกนี้ก่อนน่ะสิ

               “เหมือนสถานการณ์จะสงบแล้วสินะ ช่างน่ายินดีจริงๆ”

               เมื่อเห็นว่าพวกยมฑูตผู้น่าสงสารถูกเหล่าผีลากไปรุมกระทืบนอกบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อัศวินแต่ละนายต่างถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกพร้อมจับมือแสดงความยินดีราวกับพวกเขาทำภารกิจเสร็จสิ้น

               ว่าแต่เดี๋ยวนะ!

               พวกนายจะมายินดีอะไรกัน ที่พวกนายทำไปทั้งหมดก็คือรื้อค้นทำลายของบ้านท่านฟรานซิสกับเป็นกระสอบทรายให้พวกยมฑูตฝึกหัดพวกนั้นซ้อมเล่นไม่ใช่หรือไง แถมหนักกว่านั้นยังทำลายข้าวของราชการอย่างดาบที่พกมาอีก ไม่ว่าดูยังไงๆพวกนายมันก็ทำภารกิจล้มเหลวแบบสุดๆเลยไม่ใช่เหรอ?

               “อืม สถานการณ์ทั้งหมดสงบแล้ว เช่นนั้นข้าขอเชิญพวกเจ้าออกจากบ้านไปได้หรือไม่?”

               ระหว่างที่พวกอัศวินหน่วยสองกำลังแสดงความยินดีกันอยู่ วิญญาณท่านฟรานซิสก็ลอยมาอยู่ด้านหลังของพวกเขาก่อนพูดขึ้นมา ซึ่งโคตรจะแปลกที่ไม่มีใครตกใจสักคน นี่ถ้าเป็นผมคงได้วิ่งร้องบ้านแตกอีกแน่นอน

               “ได้ครับท่าน ต้องขออภัยด้วยจริงๆที่ต้องมาสู้กันจนทำให้บ้านของท่านเป็นรอยเช่นนี้ พวกผีร้ายพวกนั้นก็เหลือเกินจริงๆ หากไม่ได้ท่านพวกเราคงเอาไม่อยู่ แต่ยังไงเห็นท่านไม่ใช่ผีร้ายอย่างที่พวกฝั่งอาณาจักรกล่าวหาพวกข้าก็ดีใจ”

               เฮ้ย นี่มันตีเนียนนี่หว่า เห็นกันชัดๆอยู่ตั้งแต่ตอนเข้ามาเลยไม่ใช่เหรอไงว่าพวกนายเล่นค้นข้าวของในบ้านของท่านฟรานซิสซะเละเป็นโจ๊กจนจำเค้าเดิมไม่ได้น่ะ นี่มันปาขี้ชัดๆ ชั่วมาก!

               “เช่นนั้นพวกข้าขอตัว”

               อัศวินหน่วยสองทุกคนต่างโค้งคำนับให้กับวิญญาณของฟรานซิส ทว่าแม้คนอื่นจะเดินออกไปกันหมดแต่หัวหน้าหน่วยนั้นยังคงยืนรั้งท้ายไม่เดินไปไหนคล้ายว่าเขามีเรื่องอะไรบางอย่างอยากถาม

               “ท่านฟรานซิส ข้าจำได้ว่ายามท่านตายท่านไม่ได้แก่เป็นชายชราเฉกเช่นที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าพวกเรา มันเกิดเหตุอันใดขึ้นเหรอ?”

               อ้าว นี่ไม่ใช่หน้าเดิมอยู่แล้วงั้นเหรอ….ว่าแต่ไม่สิ เหมือนนึกอะไรขึ้นได้

               ถ้าจำไม่ผิด ฟรานซิสเป็นลูกศิษย์ท่านสังฆราชดังนั้นอายุก็น่าจะน้อยกว่ากัน 10-20 ปี แถมตอนตายก็หลายปีแล้ว ดังนั้นหากคำนวณอายุแล้ว หน้าตาที่อยู่ตรงหน้าก็ควรเป็นคุณลุงมากกว่าจะเป็นคนแก่แบบที่แสดงให้พวกผมเห็น

               “เป็นเจตน์จำนงค์ของข้าเอง ไม่ได้เป็นคำสาปร้ายหรือสิ่งใดหรอก พวกเจ้าวางใจได้”

               “รับทราบแล้วขอรับ เช่นนั้นข้าจะนำเรื่องของท่านไปรายงานแก่ท่านสังฆราช ท่านจะได้วางใจ”

               “ไปดีมาดีนะพวกเจ้า”

               ในเมื่อท่านเจ้าบ้านส่งแขกแบบนี้แล้ว ก็คงถือว่าภารกิจของพวกผมสำเร็จแล้ว และเมื่อภารกิจสำเร็จ สิ่งที่รอผมอยู่ก็คือ….ของหวาน!

               มาการองของโปรด รอออโรร่าน้อยคนนี้หน่อยนะ จะไปหาแล้วววว

               “ว่าแต่ข้าขอคุยกับท่านนักบุญเป็นการส่วนตัวก่อนจะได้ไหม?”

               ผมที่กำลังติดสอยห้อยตามพวกอัศวินเพื่อกลับก็ถึงกับหยุดชะงักทันทีเมื่อได้ยินอะไรแปลกๆ ซึ่งแน่นอนว่ามันเหมือนคำขอร้องปรกติ แถมหน้าตาของเขายังดูเป็นชายแก่หวังดีคล้ายอยากคุยระบายความทุกข์ใจ ทว่า…

               สำหรับเจ้าวิญญาณหมีอันแสนน่าพรั่นพรึงคนนี้นั้น การที่เขาเรียกให้ออโรร่าน้อยผู้แสนน่ารักคนนี้มาคุยด้วยคงไม่ใช่การปรับทุกข์ แต่เป็นตอบสนองความสุขของตัวเองล้วนๆ!

               ผมรีบหันไปจ้องหัวหน้าอัศวินด้วยสายตาอ้อนวอนเขาประมาณว่าอย่าปล่อยผมทิ้งไว้กับไอ้วิญญาณหมีโลลิค่อนตัวนี้เด็ดขาด แต่อนิจจาช่างน่าเศร้า….

               “ข้าเข้าใจแล้วท่านฟรานซิส ท่านคงอยากหวังพึ่งพลังของท่านนักบุญเพื่อนำพาท่านไปสู่สวรรค์เช่นนั้นสินะ”

               ดวงตาของฟรานซิสหหรี่ลงเหมือนกับชายแก่ที่กำลังรอคำสุขสุดท้ายของชีวิต ทว่าในมุมมองของผมแล้วนั่นมันตาของจิ้งจอกร้ายที่แผนชั่วกำลังบรรลุผลต่างหาก

               “สวรรค์…นั่นสินะ คงเป็นอย่างที่เจ้าพูด”

               วิญญาณโรคจิตพูดพร้อมเงยหน้าขึ้นด้านบนคล้ายกำลังซึ้งใจ พวกอัศวินเห็นแบบนั้นต่างพยักหน้าอย่างเห็นใจแล้วหันมาหาผม

               “เรื่องนี้เราต้องรบกวนท่านด้วยนะครับ ท่านนักบุญ”

               ว่าแล้วเจ้าหัวหน้าหน่วยอัศวินก็ก้มตัวโค้งหัวของตัวเองเป็นเชิงขอร้องก่อนจะรีบพุ่งตัวหนีออกจากบ้านไปโดยทิ้งผมที่ยืนอึ้งเอาไว้กับวิญญาณที่อันตรายยิ่งกว่าวิญญาณแค้น

               เฮ้ยยยยย พวกนายจะมาทำแบบนี้กับผมไม่ได้นะ รู้ไหมว่าสวรรค์ที่มันหมายถึงไม่ใช่สวรรค์ที่มีพระเจ้าของพวกนายอยู่ แต่เป็นสวรรค์ที่เรียกว่าซังเตต่างหาก!

               กลับมาก่อน อย่าปล่อยผมไว้กับเจ้าวิญญาณหมีโลลิคอนนี่คนเดียววววว

               “ท่านนักบุญตัวข้าช่างดีใจเหลือเกินที่ได้พูดคุยกับสาวน้อย…เอ้ย ได้พูดคุยกับผู้ที่ได้รับความรักจากพระเจ้าโดยแท้”

               เมื่อกี้นายหลุดคำว่าสาวน้อยใช่ไหม ห๊ะ! นั่นไง สรุปว่าที่มันอยากให้ผมมาคุยด้วยก็เพราะอยากอยู่กับสาวน้อยสองต่อสองแบบไม่เก็บอาการนี่หว่า

               ซวยแล้ว ซวยๆ  ออโรร่าน้อยยิ่งน่ารักแบบห้ามใจไม่อยู่ด้วย ขนาดคนธรรมดายังกรี๊ดกร๊าดเหมือนมีดารามาอยู่ต่อหน้า ยิ่งตอนนี้ที่อยู่ตรงหน้าเป็นหมีโลลิคอนด้วยแล้วงานนี้ออโรร่าน้อยจะต้องตกอยู่ในอันตรายแน่นอน

               ต้องรีบ…

               ควับ

               ยังไม่ทันออกขาวิ่ง เจ้าผีโลลิคอนก็คว้าตัวผมไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่มือโปร่งแสงของเจ้าผีสัมผัสตัวผมความหนาวเย็นยะเยือกได้แผ่นซ่านเข้ามาจนทำเอาผมตัวสั่นไปด้วยความกลัว

               ฮือ…ฮือออ ผะ…ผี ผีมันจับตัวผมอะ ใครก็ได้ช่วยผมด้วย

               ถึงตอนนี้เห็นหน้าแล้วจะเริ่มพอทำใจรับได้เพราะคิดว่าเป็นพวกเดียวกัน แต่ไอ้สัมผัสตัวแบบนี้น่ะ….มันสยองขวัญสุดๆไปเลยอะ

               และแล้วความคิดทั้งหมดของผมก็สลายหายไปกลายเป็นปุ๋ยและถูกแทนที่ด้วยความกลัวจนไม่สามารถคิดอะไรได้อีก แผนที่กะจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ล้างบางเจ้าผีตัวนี้ให้หายไปจากโลกซะเพื่อความปลอดภัยต่อเด็กบนโลกทั้งมวลเป็นอันจบกัน

               ผมหลับตามันตลอดทางในใจก็สวดมนต์บทขับไล่วิญญาณมันซะทุกบทเพื่อให้เจ้าผีนี่มันสลายหายไป แต่เจ้ากรรมดันซวย ผมลืมใส่พลังลงไปซะงั้น….

               เสียงกลไกบางอย่างดันขึ้นมาตามด้วยเสียงของแผ่นหินขนาดใหญ่ที่ถูกเปิดออก ผมรู้สึกว่าร่างของผมค่อยๆลดระดับลงอย่างช้าๆก่อนจะถูกวางลงกับพื้นอย่างนุ่มนวล

               “ลืมตาได้แล้ว ท่านนักบุญผู้งดงาม”

               ผมค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆก่อนมองรอบๆตัว ทำให้เห็นบรรยากาศที่เปลี่ยนไปจากเดิม

               ผนังสวยงามที่ถูกทาด้วยสีสันลวดลายตอนนี้กลับเป็นห้องผนังปูนเปลือยทาสีขาวเรียบๆเท่านั้น ทำให้ผมเดาว่านี่อาจเป็นห้องลับที่ไหนสักที่ในบ้านที่เก็บความลับของนักบวชฟรานซิสไว้อย่างแน่นอน

 ส่วนข้าวของที่ดูเกะกะวางไม่เป็นที่เป็นทางที่อยู่ด้านนอกพร้อมด้วยรูพรุนตามผนัง ถูกแทนที่ด้วย………ภาพวาดของเด็กสาวจำนวนมาก

               ใช่ รูปวาดของเด็กสาวจำนวนมาก ทุกๆรูปนั้นเป็นเด็กสาวน้อยที่อายุแทบไม่เกินสิบกว่าปี ทุกคนต่างเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันแสนสดใสแถมมันยิ่งสดใสขึ้นเมื่อบรรยากาศพื้นหลังของพวกเธอถูกแต่งแต้มด้วยสีชั้นดี ไม่เพียงแค่ที่หน้าหรือรอยยิ้มที่ทำมาละเอียด จะทั้งส่วนมือหรือทรวดทรง ทุกส่วนถูกวาดขึ้นอย่างประณีต

               “อา สรวงสวรรค์ของข้า”

               นักบวชฟรานซิสจ้องมองพวกรูปภาพเหล่านั้นด้วยสายตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุข ประดุจว่ามีพระเจ้ามายืนอยู่ตรงหน้าเขา

               โรคจิต ไอ้นี่มันโรคจิตตัวพ่อเลยนี่หว่า ตำรวจ ตำรวจอยู่ที่ไหน เอาคบไฟมาเผาบ้านของไอ้โรคจิตนี่ที!

               “ท่านฟรานซิสท่านไปไหนมาน่ะ เรายังพูดเรื่องของเดล่า……นั่นมันสาวน้อย!”

               เสียงดังสนั่นมาจากที่บริเวณตรงกลางของห้องทำให้ผมหันไปมองตามก็พบกับชายวัยกลางคนที่อยู่ในสภาพร่างวิญญาณกำลังใช้พลังของตัวเองบังคับพู่กันให้ขยับไปมาเพื่อวาดรูปตามที่ต้องการอยู่ ทว่าทันทีที่เขาเห็นผมกับวิญญาณโลลิค่อนเดินเข้ามา ตาสีฟ้านั่นก็เบิ่งโพลง ก่อนทิ้งข้าวของในมือแล้วพุ่งตัวเองเข้ามาหาผมด้วยความรวดเร็วปานจรวด

               ใบหน้าของเขานั้นเป็นใบหน้าของชายหนุ่มอายุประมาณสามสิบย่างเข้าสี่สิบ เป็นคุณลุงรูปงามที่ต่อให้อายุเยอะแค่ไหนแต่ด้วยใบหน้าที่หล่อเกินคนทำให้ไม่ต้องสงสัยว่าเหล่าสาวๆยังคงตามกรี๊ดกร๊าดอยู่ดี ผมของเขาไว้เป็นทรงผมยาวถึงบ่าแล้วผูกเป็นเปียเล็กๆแบบที่พวกขุนนางยุคสมัยก่อนชอบไว้กัน

               ถ้าหากมองดูดีๆที่ชุดของเจ้าผีตัวนี้ที่เป็นชุดคลุมยาวปิดทั่วตัวเหมือนจอมเวทแล้ว ตรงอกซ้ายของเขามีตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์ประทับเอาไว้อยู่

               คนของราชวงศ์เหรอ?

               “โอ้ว….โอ้ว ดวงตากลมโตสีฟ้าครามใสประดุจดั่งท้องฟ้าอันงดงามที่ทอแววความใสซื่อนี่มันอะไรกัน แล้วไหนจะยังใบหน้าอันแสนสดใสอ่อนเยาว์ประดุจดอกไม้เพิ่งผลิบานที่น่ารักเกินทานทนนี่อีก แล้วผิวนี่มัน….ผิวขาวนวลประดุจไข่มุกจากท้องทะเลลึกนี่ด้วย ความสูง…ความสูงขนาดตัวสมส่วนที่ทอประกายความน่ารักน่าปกป้องนี่ก็ยิ่งแล้วใหญ่! สมบัติ สมบัติล้ำค่า นี่มันสมบัติล้ำค่าจากพระเจ้า!!!”

               ส่วนแกก็เป็นตัวอันตรายจากพระเจ้า ไอ้ผีหมีจากแดนนรก!!!

               ความสงสัยของผมทั้งหมดระเบิดไปทันที เมื่อได้ยินประโยคชวนคลื่นไส้ดังขึ้นมา

 นี่ ตนก่อนว่าหนักแล้ว ไอ้ตอนนี้มันยิ่งหนักกว่าเดิม ทันทีที่มันพุ่งเข้ามาหาตัวผมมันก็คุกเข่าที่ลอยได้ของตัวเองก่อนใช้สายตากรอกไปด้วยความรวดเร็วประดุจความเร็วแสงเพื่อสำรวจทุกส่วนของออโรร่าผู้น่ารัก พร้อมบรรยายสรรพคุณอันเลิศเลอที่มีอยู่เต็มตัวของออโรร่า

               ตำรวจ ตำรวจอยู่ไหน เอาระเบิดมาบรึ้มบ้านที่เป็นแหล่งรวมของไอ้พวกโรคจิตด่วน!

               “นี่คือท่านนักบุญ”

               “จริงอย่างท่านว่า เด็กคนนี้คือนักบุญที่มาโปรดชีวิตอันเหือดแห้งไม่ได้เห็นดอกไม้อันแสนงดงามซึ่งผลิบานใหม่ที่โลกภายนอกมาหลายสิบปี”

               คนล่ะนักบุญแล้วเว้ย!!!

               “ข้าเข้าใจท่านเดลอน ว่าสาวน้อยท่านนี้ช่างล้ำค่าจนสามารถเทียบเช่นนั้นได้ แต่ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องเช่นนั้น คือท่านผู้นี้คือนักบุญตัวจริงเสียงจริงจากพระองค์ท่าน”

               “โอ้ ไม่ใช่แค่สาวน้อยผุ้แสนสวยธรรมดาแต่เป็นศิลปะอันแสนงดงามของแท้ที่พระองค์มอบให้พวกเรา ท่านฟรานซิสท่านช่างเปรียบเปรยได้ดีจริงๆ  ตัวข้าที่เป็นผู้รู้จักกับความงามที่แท้จริงนั้นรู้สึกละอายยิ่งนัก”

               “ไม่เลยๆ ท่านพูดเกินไป ข้าที่ได้เรียนรู้ความงดงามที่แท้จริงของเหล่าดอกไม้ที่เพิ่งผลิบานนั้นไม่อาจเทียบเคียงท่านได้สักนิด แต่ไม่ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่คำเปรียบเปรยแต่เป็นคำพูดตรงๆต่างหากล่ะ”

               ฝีมือแกเองเรอะ!

               ว่าอยู่ว่าท่านสังฆราชคงไม่ได้รับศิษย์มามั่วๆ ที่แท้มันก็มีตัวการที่มาแพร่ความคิดอันแสนน่ากลัวจนวิญญาณของท่านฟรานซิสผิดเพี้ยนเช่นนี้

               “แต่น่าเสียดายที่ข้าเสียชีวิตจนมิสามารถไปเชยชมเหล่าดอกไม้ที่กำลังใกล้บานได้เฉกเช่นยามเมื่อมีชีวิต”

               อ้าวเฮ้ย สรุปว่าเป็นมาตั้งแต่ก่อนตายแล้วงั้นเหรอไอ้นักบวชโรคจิต

               “คือ….คือนี่มันอะไรกันงั้นเหรอคะ? หนูงงไปหมดแล้วค่ะ”

               ผมที่รู้สึกว่าประโยคสนทนามันชักจะน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆเลยขัดไว้ก่อน น่าจะเป็นการดีต่อสุขภาพจิตมากกว่า แต่นั่นมันคือความคิดที่ผิดมหันต์

               “โอ้ โอ้ เสียงนุ่มนวมดุจแก้วใสที่ก้องกังวานไปถึงจิตใจของข้านี้มันอะไรกัน แค่เพียงได้ยินก็ทำเอาจิตใจที่แห้งผากของข้ามีชีวิตชีวาขึ้นมาจนรู้สึกเหมือนกำลังคืนชีพได้แบบนี้”

               ลงหลุมไปเถอะเอ็ง

               โอเค ผมยอมรับแล้วว่าเจ้าหมอนี่มันตัวอันตรายโดยแท้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะหน้าตารูปร่างหรือน้ำเสียง เจ้าผีหมีโลลิคอนขั้นเทพคนนี้มันเอาหมด

               “จะว่าไปข้ายังไม่ได้แนะนำตัวเลยสินะครับ ตัวข้าอดีตจอมเวทแห่งราชสำนัก เดลอน ออสวาร์ล ครับ”

               เฮ้ย นอกจากศาสนจักรแล้ว ราชสำนักยังมีผีบ้าแบบนี้แฝงตัวอยู่อีก ไม่ไหวแล้ว ใครก็ได้ไปเรียกเจ้าหน้าที่คัดคนมาที ผมว่าราชการของที่นี่มันเกินเยียวยาแล้ว!

               “เอ่อ จอมเวทแห่งราชสำนักงั้นเหรอคะ?”

               ผมถามทวนไปเพราะอยากให้สิ่งที่ตัวได้ยินนั่นเป็นแค่เรื่องโกหก

               “ถูกต้องแล้วครับ แต่ที่จริงนั่นแค่งานบังหน้า อันที่จริงข้าเป็นจิตรกรครับ เป็นจิตรกรวาดภาพดอกไม้งามที่กำลังจะผลิบานของอาณาจักรแห่งนี้เฉกเช่นท่านนักบุญตัวน้อยผู้น่ารักครับตรงหน้ากระผมอย่างไรล่ะครับ”

               สรุปมันเป็นแค่ไอ้โรคจิตชอบวาดรูปเด็กสาวสินะ!

               “อา แต่ก็ช่างน่ายินดีจริงๆที่วิชาเวทที่ฝึกมาทำให้ข้าสามารถจับพู่กันได้แม้ยามที่ข้าตายไปแล้ว ไม่เสียทีที่ใช้งบการค้นคว้าของอาณาจักรไปเพื่อวิจัยเรื่องนี้เลยจริงๆครับ”

               เสียดิ เสียสุดๆไปเลยไม่ใช่เหรอไง? เงินภาษีของชาวบ้านชาวช่องต้องมาเสียให้กับงานอดิเรกแปลกๆของไอ้บ้าตัวเดียวนี่นะ แล้วไหนจะยังความสามารถของแกอีก เอามาใช้ทำไรไม่ทำ เอามาตอบสนองกิเลศกับตัณหาของตัวเองล้วนๆแบบนี้ เหล่าจอมเวทที่สั่งสอนนายมาได้ร้องไห้เป็นสายเลือดแน่

               ควับ

               มือที่โปร่งใสของวิญญาณโรคจิตคว้ามือของผมก่อนลูบอย่างเบามือก่อนจะประทับจูบลงแบบขุนนางชั้นสูงเวลาทักทายสตรี หากเป็นคนทั่วไปผมคงไม่รู้สึกแปลกอะไร แต่ไอ้นี่มันทั้งเป็นผีแล้วก็ยังเป็นหมีขั้นน่ากลัวขนาดฟรานซิสยังชิดซ้าย ทำเอาขนทุกเส้นของผมลุกพรึ่บแทบจะจังหวะเดียวกัน

               “อา ผิวของท่านนักบุญช่างนวลขาวจนมิอาจลืมไปได้จริงๆ หากเทียบแล้วแม้แต่แคโรลีนที่ข้าไม่คิดว่าจะมีใครเทียบความงามของผิวได้แล้วนั้นยังชิดซ้ายไปเลย”

               ถามจริงเถอะ นี่พวกนายเก็บกดกันมากใช่ไหม ถึงได้ทำตัวแบบไม่เก็บอาการเลยแบบนี้ หรือเพราะเป็นผีแล้วเลยไม่คิดจะแคร์สายตาใครเขาน่ะ!

               ว่าแต่แคโรลีนนั่นใคร เด็กสาวน้อยที่ตกเป็นเหยื่อของพวกนายใช่ไหม โอ้แคโรลีนน้อยช่างน่าสงสารยิ่งนัก

               “ถ้าเช่นนั้นท่านนักบุญอันเป็นสมบัติแห่งพระเจ้าที่ส่งมาให้ความหวังแก่จิตใจของเดลอนที่แห้งเหี่ยวผู้นี้ เพื่อเป็นการบันทึกความงดงามของตัวท่านมิให้เสื่อมคลายไปตามการเวลาแล้ว มิทราบว่าข้าขออนุญาตวาดรูปของท่านได้หรือไม่ครับ แน่นอนว่าจะไม่มีอันตรายอะไรทั้งนั้น”

               นั่นไงมันไอ้โรคจิตคนนี้มันคิดจะเอาออโรร่าน้อยเป็นเครื่องระบายอารมณ์ของมัน ให้ผมเดานะ มันจะต้องวาดรูปแล้วเอามือถูๆกับรูปภาพของออโรร่าน้อยที่งดงามรัวๆประดุจคนเอามือขูดหวยไม่ผิดแน่…ไม่ได้ ไม่มีวัน เพื่อปกป้องความบริสุทธิ์ของออโรร่าน้อยไม่ให้ต้องมนทิน ผมจะไม่ยอมเด็ดขาด

               “แต่ระหว่างนั้นอาจมีจับต้องตัวเพื่อจัดท่าเล็กน้อยก็อย่าเขินอายไปเลยนะครับ”

               นั่นไง ไอ้โรคจิตนี่มันอาศัยการวาดภาพเป็นข้ออ้างเพื่อแอ้มจับร่างกายของสาวน้อยชัดๆเลยนี่หว่า งานนี้ปล่อยไว้ไม่ได้

               ไปตายซะเอ็ง

               “แกะผู้หลงทางเอ๋ย….ไปที่ชอบๆนะคะ!”

               ผมรวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์ไว้ที่เท้าของตัวเองก่อนจะถีบส่งร่างวิญญาณของเจ้าเดลอนกระเด็นไปจนติดกับกำแพง

               ปรกติร่างวิญญาณจะกระเด็นแบบนี้ไม่ได้ แต่หากเคลือบพลังศักดิ์สิทธิ์ไว้ที่ของอย่างใดอย่างหนึ่งเรื่องก็สามารถจับต้องวิญญาณได้สบายๆ แถมยิ่งกว่านั้นถ้าพลังศักดิ์สิทธิ์แรงพอจะสามารถชำระวิญญาณให้ขึ้นสวรรค์หรือไปผุดไปเกิดได้ด้วย ดังนั้นสำหรับเจ้าผีร้ายตัวนี้ผมใส่พลังศักดิ์สิทธิ์เต็มที่แบบไม่เก็บไว้ให้เหลือแม้แต่หยดเดียว

               “ท่านเดลอน ร่างท่านๆ ร่างท่านกำลังจะสลายไป!”

               นักบวชฟรานซิสที่เห็นว่าร่างของเดลอนกำลังจะสลายไปเพราะถูกพลังส่งวิญญาณของผมจัดหนักจัดเต็มก็ลอยเข้าไปหาอย่างตกใจ สวนทางกับเดลอนที่กำลังทำหน้าเหมือนคนกำลังเบ่งขี้

               “ไม่ ข้าจะหายไปไม่ได้ ต่อหน้าข้ามีสาวน้อยที่เหมือนสมบัติของพระเจ้าอยู่ หากข้ายังไม่ได้วาดรูปนาง ไม่ว่าปีศาจหรือพระเจ้าก็เอาตัวข้าไปไม่ได้ ว้ากกกกกก”

               เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

               สิ่งที่เหลือเชื่อได้เกิดขึ้น ร่างของเดลอนที่ควรจะสลายกลายเป็นละอองแสงนั้นกลับเข้มข้นยิ่งกว่าเดิมจนแทบจะเห็นร่างกายของเขาได้ชัดแบบที่ไม่ต้องใช้เวทก็ยังเห็นได้

               มันต้องโลลิคอนหนักขนาดไหน ถึงปฎิเสธได้กระทั่งความตายแบบนี้

               “ท่านนักบุญ ข้าขอร้องล่ะครับ ขอข้าวาดรูปท่านเถอะ!”

               “ช่วยไปเกิดใหม่ด้วยเถอะค่ะ!

               ผมกระโดดถีบมันไปอีกรอบ แต่น่าเศร้าผลมันก็อย่างเดิมคือแทบไม่เป็นผลและทุกอย่างจึงจบลงที่ผมต้องยอมมาเป็นแบบให้โดยตกลงไว้ว่าห้ามจับต้องอะไรผมทั้งนั้น!

               ฮือออ ผมอยากตายยยยยย

*———————————————–

               

จบแล้วครับสำหรับตอนเบาๆพักสมอง พักกาวแต่มาเสพโลลิคอนแทน!

              

              

 

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

Status: Ongoing
ตายไปต่างโลกไม่พอ ดันโดนเสกให้เกิดเป็นสาวน้อยน่ารักอีก หนักกว่านั้นไอ้พระเจ้าเฮงซวยดันสาปให้ทุกคำพูดที่จะด่ามันกลายเป็นสรรเสริญมัน เลยทำเอาชาวบ้านเข้าใจผิดว่าผมเป็นนักบุญซะงั้น เรื่องราวของสาวน้อยออโรร่าที่ถูกพระเจ้าให้พร(?) ไม่ว่านางจะพูดสิ่งใดก็ออกมาเป็นคำสรรเสริญพระเจ้าที่ออกมาจากจิตใจอันแน่วแน่ซึ่งแม้แต่เหล่าคนบาปทั้งหลายก้ยังต้องซึ้งในความศรัทธาของนาง (เรอะ) เอาล่ะ เรื่องราวน่ารักสดใสปนกาวเป็นถังขอเปิดอ้อมอกต้อนรับทุกท่านให้สูดกาวไปร่วมกันกับเหล่าตัวละครทั้งหลายที่ไม่รู้ว่าเมามาจากไหนกันเถอะ! ที่จริงเป็นเรื่องที่ลงในเด็กดีนานแล้วแต่มารีไรท์เพื่อแก้คำต่าง ๆ ครับ ส่วนตอนล่าสุดก็อัพเดทเรื่อย ๆ ในเด็กดี จะพยายามแก้ตอนเก่าให้ทันตอนใหม่ครับผม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท