“ขออนุญาตครับ”
เบื้องหน้าของข้าคือประตูไม้ขนาดใหญ่ที่สูงเกินข้ากว่าหนึ่งช่วงตัวคน ที่ใจกลางถูกสลักด้วยตราสัญลักษณ์ของศาสนจักรอันแสนคุ้นตาซึ่งถูกรายล้อมด้วยเหล่ารูปสลักของวีรบุรุษผู้ปกป้องศาสนจักรในแต่ละยุคสมัย
แม้จะดูเหมือนเพียงประตูไม้ธรรมดา ทว่าความแข็งแกร่งของมันที่ถูกร่ายอาคมขนานแรงเอาไว้หากไม่ใช่นักรบหรือนักเวทชั้นสูงแล้วคงยากที่จะทำให้มีรอยเกิดขึ้นเหนือบานประตู ด้วยคุณลักษณะและรูปร่างของมันคงบอกได้ดีถึงความสำคัญของบุคคลที่อยู่ข้างใน และวันนี้ตัวข้าก็มาพบกับบุคคลที่ว่านั่น
“เข้ามาได้”
เสียงทุ้มต่ำดังออกมาจากในห้องก่อนที่บานประตูจะเปิดออกมาด้วยตัวของมันเอง เผยห้องขนาดใหญ่รูปร่างวงกลมที่ถูกประดับประดาอย่างกับราชวัง
เหนือหัวข้าขึ้นไปคือเพดานซึ่งถูกแต่งเติมด้วยรูปภาพของเหล่าเทพบนสรวงสวรรค์อันถูกวาดด้วยฝีมือของเหล่าจิตรกรชั้นเยี่ยมจนทำให้บรรยากาศของห้องดูราวกับเข้ามาในดินแดนซึ่งเป็นประตูต้อนรับสู่สวรรค์ก็ไม่ปาน
หากมองไปโดยรอบๆ ก็จะเห็นรูปปั้นของเหล่าทวยเทพซึ่งวางเรียงล้อมรอบจนเหมือนกับว่าผู้ที่เข้ามาภายในห้องนี้กำลังถูกเหล่าทวยเทพออกมาต้อนรับ
หึ เป็นห้องที่ทำให้ขนลุกทุกทีที่เข้ามาจริงๆ หากไม่นับห้องทำงานทางการของท่านสังฆราชแล้วก็คงเป็นห้องนี้ล่ะกระมั้งที่ทำให้รู้สึกเช่นนี้ได้
“ขอต้อนรับสู่ประตูแห่งลอสไทม์ เหล่าผู้ปกปักษ์ศาสนจักรอันศักดิ์สิทธิ์”
น้ำเสียงที่ฟังดูนุ่มนวลทว่าแฝงไปด้วยอำนาจอันลึกล้ำจนทำให้ไม่ว่าใครที่ได้ยินก็คงรู้สึกอดไม่ได้ที่จะคุกเข่าลงให้กับอำนาจที่ว่านั่น
“ตัวข้า หัวหน้าอัศวินศักดิ์สิทธิ์หน่วยที่สองขอรายงานตัวครับ”
ข้าเดินไปที่ใจกลางห้องซึ่งมีบุคคลอันยิ่งใหญ่ผู้นั้นยื่นอยู่ก่อนคุกเข่าลงแล้วโค้งหัวลงอย่างช้าๆๆ ตามธรรมเนียม จากนั้นก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นเพื่อมองหนึ่งในบุรุษผู้ทรงอำนาจที่สุดในศาสนจักรซึ่งเป็นรองเพียงแค่ท่านสังฆราชเท่านั้น
เขาเป็นชายร่างสูงปานกลางซึ่งตอนนี้ร่างกายของเขาถูกปกคลุมด้วยผ้าคลุมสีขาวยาวชั้นดีโดยที่กลางหลังและไหล่สองข้างของผ้าคลุมถูกขลิบด้วยสีทองเป็นรูปสัญลักษณ์ของศาสนจักร
ใบหน้าของเขาถูกปกปิดไว้ด้วยหน้ากากโลหะประจำตำแหน่งซึ่งสลักเป็นรูปใบหน้าของเทพแห่งความยุติธรรมโดยมีลวดลายอันแสนงดงามทว่าก็แฝงไปด้วยอำนาจที่เปี่ยมล้น แต่นั่นก็ยังไม่สู้กับแววตาสีทองคมซึ่งดูราวกับสามารถมองทะลุเข้าไปได้ถึงจิตใจของทุกคนและพร้อมที่จะขุดคุ้ยทุกความชั่วร้ายและความผิดของบุคคลผู้นั้นที่หมายคิดจะกระทำต่อศาสนจักร
“อืม ภารกิจครานี้เป็นเช่นไรบ้างท่านอัศวิน”
“ครับ จากการเข้าไปตรวจค้นที่บ้านพักของท่านเอลลาสฟรานซิสนั้นไม่พบอะไรที่ดูน่าสงสัยอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว ทว่าระหว่างนั้นก็ดันไปบังเอิญพบเข้ากับหน่วยพิเศษของทางราชวงศ์เข้า ก็เกือบแย่เหมือนกันครับ”
“หือ เกือบแย่? ท่านหัวหน้าอัศวินท่านดูจะพูดถ่อมตนเกินไปหน่อยล่ะมั้ง แม้พวกหน่วยของราชวงศ์จะเก่งกาจดังที่คนทั่วไปกล่าวขาน ทว่าเรื่องสู้กันแบบตรงๆ ไม่มีลอบกัดหากไม่นับหน่วยที่หนึ่งแล้วเห็นว่าคงมิมีผู้ใดเหนือกว่าพวกท่านได้หรอก”
“เห้อ เรื่องนี้พูดไปก็น่าอาย พวกข้าตอนแรกก็คิดเช่นนั้น แต่ว่าตอนต่อสู้กันจริงๆ ขนาดพวกเราที่ใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ที่เสริมฤทธิ์โดยน้ำมนต์ของท่านนักบุญยังแทบทำอันใดศัตรูไม่ได้ นี่ถ้าไม่ได้ท่านนักบุญอัญเชิญเหล่าวิญญาณผู้พิทักษ์มาช่วย เห็นที่พวกข้าเองคงมิรอด”
เรื่องนี้พูดแล้วก็ยังเจ็บใจกับฝีมือของพวกข้าเองไม่หาย เพราะขนาดมีพลังเสริมจากท่านนักบุญซึ่งเปลี่ยนดาบของพวกเรากลายเป็นพลังบริสุทธิ์แล้วก็ยังไม่อาจสู้กับพวกนักฆ่าของศัตรูได้ หากให้เดา เสื้อที่พวกมันใส่คงต้องเป็นวัตถุดิบพิเศษอย่างแน่นอน
“อืม แปลว่าทางนั้นเองก็เตรียมคิดจะเปิดศึกกับทางเราไม่ผิดแน่ เห็นทีคงต้องรีบเตรียมการให้ดีขึ้นกว่าเดิม ว่าแต่พูดถึงอาวุธศักดิ์สิทธิ์ตอนนี้สิ่งที่ว่านั่นเป็นอย่างไรบ้าง”
เมื่อถูกถามถึง ข้าจึงหยิบดาบประจำตัวที่ตอนนี้เหลือเพียงด้ามขึ้นมาแสดงให้บุรุษตรงหน้าเห็น แม้ไม่เห็นสีหน้าแต่จากดวงตาของเขาแสดงได้ชัดเจนถึงความสงสัย
“น่าเศร้าใจ ดาบศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรานั้นคงจะแข็งแกร่งไม่เพียงพอต่อพลังอันมากล้นของท่านนักบุญ มันจึงได้สลายกลายเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์โดยไม่สามารถกลับสู่รูปเดิมได้”
“อืม นับว่านางมีพลังเหนือกว่าที่ข้าคาดไว้มาก”
อย่างที่ท่านผู้นี่พูด แม้แต่ตัวข้าที่เป็นอัศวินยังทึ่งในความสามารถ เพราะจริงอยู่ที่นักบุญทุกคนล้วนมีพลังมหาศาลแต่ว่าด้วยอายุเพียงแค่นี้กับผลงานจำนวนมากที่ทำนั้นเกินกว่าที่นักบุญในประวัติศาสตร์คนไหนจะสามารถทำได้ ยิ่งมีเรื่องการชำระวิญญาณของท่านเอลลาสฟรานซิสยิ่งแล้วใหญ่ เพราะการเปลี่ยนวิญญาณแค้นของบุคคลที่มีพลังมหาศาลให้กลายเป็นวิญญาณผู้พิทักษ์นั้นแม้จะเป็นนักบุญก็มีเพียงหยิบมือ แถมบุคคลเหล่านั้นกว่าจะทำได้ก็ต้องฝึกปรืออย่างยาวนาน นี่นับว่า…..
“นี่นับว่าเป็นลางที่ดีของศาสนจักรเราโดยแท้”
น้ำเสียงทรงอำนาจดังขึ้นมาด้วยอารมณ์ปิติยินดีไม่ต่างจากความรู้สึกของข้าในยามนี้ ไม่สิ ไม่ว่าใครในศาสนจักรต่างก็ล้วนยินดีทั้งนั้น ยิ่งเป็นช่วงนี้ยิ่งแล้วใหญ่
“ตั้งแต่เหตุการณ์ของเอลลาสฟรานซิสเมื่อหลายสิบปีก่อน ศาสนจักรของเราก็เผชิญกับวิกฤติศรัทธาอันใหญ่หลวงกว่าครั้งไหนๆ จนทำเอาสมดุลอำนาจที่โน้มเอียงมาทางเราตลอดแทบจะเสียไปจนไม่เห็นทางที่จะนำกลับมา”
บุรุษในผ้าคลุมยกมือขึ้นมาบีบด้วยอารมณ์ที่คั่งแค้น นี่หากเขาไม่ได้สวมถุงมือเอาไว้คงมีเลือดซึมออกด้วยความรุนแรงที่กดลงไปเป็นแน่
“แต่พระเจ้าท่านช่างมีเมตตา ท่านได้ส่งพระผู้ช่วยแห่งศาสนจักรมาหาเรา ท่านได้ส่งนักบุญในตำนานมาให้แก่พวกเรา เพียงไม่กี่ปีที่นางปรากฏมาก็ทำให้วิกฤติแห่งศรัทธานี้สูญสลายไป”
ชายหน้าข้ากางมือออกก่อนที่จะปรากฏแสงอันเจิดจ้าส่องสว่างลงมาจากเพดานด้านบน ราวกับเป็นแสงจากทวยเทพที่ส่งสัญญาณบอกพวกเราถึงนิมิตหมายอันดี
“นี่ต้องเป็นประสงค์ของพระองค์ นี่ต้องเป็นสัญญาณของพระองค์ สัญญาณที่จะบอกว่าถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะทวงคืนสิ่งที่ควรเป็นของเราทั้งหมดกลับคืนมา”
น้ำเสียงที่เปี่ยมล้นด้วยความปิติยินดีดังสะท้านไปทั่วห้องใหญ่ราวกับเป็นเสียงของการประกาศสงครามอันศักดิ์สิทธิ์
“เช่นนั้นคงถึงเวลาที่เราจะต้องเดินหมากขั้นตัวต่อไปแล้วท่านหัวหน้าอัศวิน…..”
“ขอรับ”
“ระหว่างดำเนินแผนขั้นต่อไปของพวกเรานั้นขอท่านจงดูแลนางให้ดี จริงอยู่ที่นางจะเก่งกาจและเปี่ยมล้นด้วยศรัทธาและความรักที่มีต่อพระเจ้าและผู้คนบนโลก ทว่าจากที่ข้าเห็น นางนั้นช่างใสซื่อบริสุทธิ์ดุจผ้าขาวที่แปดเปื้อนได้โดยง่าย โดยเฉพาะพวกราชวงศ์ที่ในหัวนั้นมีแต่ผลประโยชน์ โลภในอำนาจ แผนการหมั้นขององค์ชายที่คิดช่วงชิงท่านนักบุญไปจากเรานับว่าชั่วช้าสามาญยิ่ง ดังนั้นเห็นทีข้าคงจำต้องเป็นส่วนหนึ่งในการชี้นำนางไปสู่หนทางที่ถูก”
“รับทราบครับ………อินควิสตาร์ รูดอล์ฟ”
“ทั้งหมดเพื่ออาณาจักรแห่งพระองค์”
“ขอรับ เพื่ออาณาจักรแห่งพระองค์”
—–oooooooooooooo——oooooooooooooo———–ooooooooooo——
“ข้าช่างเป็นกังวลกับข่าวยามรุ่งเช้านี้จริงๆ ท่านดยุค”
“เอ่อ ข้าน้อยต้องขออภัยด้วย ข้าเองก็นึกไม่ถึงว่าเหตุการณ์มันจะเป็นเช่นนี้”
ตัวของข้านั้นรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกความกลัวเข้าครอบงำต่อชายที่อยู่ตรงหน้า แม้ประโยคที่พูดนั้นช่างดูธรรมดา แม้น้ำเสียงที่พูดนั้นคล้ายราวเศร้าโศกเสียดาย ทว่าแรงกดดันของมันช่างมหาศาลราวกับมีภูเขามาทับร่างของข้าเอาไว
“ทั้งๆ ที่โอกาสที่ยากเกินกว่าจะคว้ามาได้นั้นอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่แล้วสิ่งที่พวกเราทำมาทั้งหมดก็พังพินาศด้วยสาวน้อยเพียงคนเดียว มันทำให้ข้ารู้สึกเศร้าใจจริงๆ”
ข้าเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นแผ่นหลังของชายผู้ซึ่งพูดคุยกับข้า ด้วยแสงสว่างที่ทอมาจากนอกหน้าต่างทำให้ไม่สามารถเห็นใบหน้าในยามนี้ได้ ทว่ารังสีแห่งความกดดันจากอำนาจที่เหนือล้ำยิ่งกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนจนตัวข้านั้นสั่นเทาไม่หยุด
“อำนาจของนางนั้นสูงล้ำยิ่ง ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าหน่วยพิเศษซึ่งเก่งอันดับต้นๆ ของพวกเราที่ส่งไปยังตายจนหมดสิ้น ข้าได้ข่าวมาว่านางได้ร่ายเสริมพลังให้กับพวกอัศวินศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นจนสามารถเรียกวิญญาณผู้พิทักษ์ออกมาเพื่อจัดการกับเหล่าผู้กล้าของเราครับ”
“เสริมพลัง? เรียกวิญญาณผู้พิทักษ์? ดูเกินกว่าเด็กสาวคนหนึ่งจะทำได้ ทว่าก็ไม่เกินเลยหากบอกว่านางคือนักบุญ”
“แถมสิ่งที่เราค้นหามาโดยตลอดสิบปีที่บ้านหลังนั้น….ความลับซึ่งเก็บงำโดยนักบวชผู้ยิ่งใหญ่แห่งศาสนจักรซึ่งถูกกล่าวโดยผู้ที่รอดตายมาได้ว่าสามารถทำให้ศาสนจักรถึงคราพินาศนั้นกลับหายไปราวกับไม่มีตัวตน”
“เรื่องนี้คงเป็นฝีมือของเจ้านั่นไม่ผิดแน่……เรื่องเริ่มยุ่งยากขึ้นมาแล้วสินะ”
น้ำเสียงอันนิ่งสงบแต่เปี่ยมล้นด้วยความสุขุมรอบคอบได้พูดขึ้นมาขณะที่บุคคลตรงหน้าทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนหยิบอัศวินสีดำบนโต๊ะของตัวเองเดินไปกินบิชอปสีที่บุกเข้ามา
กึก
“นักบุญที่เหนือยิ่งกว่านักบุญใดๆ ในคราบของเด็กสาวอันแสนใสซื่อบริสุทธิ์ หึ พวกศาสนจักรคงดีใจตัวสั่นไปเลยล่ะสิ…..นี่ต้องเป็นแผนของเจ้านั่นไม่ผิดแน่”
“ครับ ต้องใช่แน่ๆ ครับ”
“เช่นนั้นเห็นทีพวกเราคงต้องดำเนินแผนการขั้นถัดไปแล้วล่ะท่านดยุค…”
“ขอรับองค์ชาย คาร์ล พวกข้าจะไม่ทำให้ผิดหวัง”
“ดีมาก ทั้งหมดนี้เพื่อความรุ่งโรจน์แห่งเรสเวน”
“ทั้งหมดเพื่อความรุ่งโรจน์แห่งเรสเวน”
———————————————จบบทนำ กำเนิดสาวน้อยผู้ถูกเรียกขานว่านักบุญ————————————–
จบไปแล้วกับบทนำด้วยบทที่ดูจริงจังที่สุดที่เคยมีมาในเรื่องนี้ครับ ฮา หวังว่าทุกท่านจะสนุกกันนะครับผม