“ออโรร่าน้อยลูกพ่อ!”
เสียงตะโกนดังไปทั่วบ้านเรียกสติของผมที่กำลังฝึกดาบอยู่ที่สนามให้หันไปมองตามเสียง ซึ่งอันที่จริงเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำตั้งแต่นางได้จากไป แต่ถึงจะบอกว่าเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ ยังไงผมก็ไม่ชินเสียที
“ดูท่าหนังสือพิมพ์ของเมืองหลวงจะมาถึงแล้วสินะ”
ผมปาดเหงื่อที่ชุ่มเต็มหัวออกแล้วเดินนำดาบไม้ไปเก็บเข้าที่ก่อนจะเดินไปหาท่านอาจารย์ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเสียงดังโวยวายจนรู้สึกเกรงใจเพื่อนข้างบ้าน
“ไรน์ฮาร์ดดดด ดูนี่สิ ดูหน้าของออโรร่าน้อยของฉันสิ!”
ท่านอาจารย์วิ่งเข้ามาหาผมพร้อมชี้ไปที่รูปของออโรร่าที่ถูกติดไว้อยู่ในหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่ง แถมขนาดของคอลัมป์ยังใหญ่กว่าคอลัมป์อื่นๆ
รูปในหนังสือพิมพ์เป็นรูปของออโรร่าที่กำลังยืนโบกมือให้กับเหล่าสาวกในเมืองหลวงที่เป็นพื้นหลังในรูป ทุกคนต่างยิ้มแย้มแจ่มใส ผิดกับนางที่แม้ใบหน้าจะยิ้มแย้มแต่ดวงตากลับหมองหม่นราวกับมีเรื่องทุกข์ใจ
…..พวกนั้นใช้นางไปทำอะไรกันแน่นะ?
“โอ ออโรร่าลูกพ่อ พอลูกไม่อยู่ด้วยแบบนี้แล้วใจของพ่อมันช่างรู้สึกว่างเปล่าจนไม่อาจจะอดตาหลับขับตานอนได้แม้แต่คืนเดียวเลยนะ รู้ไหมว่าพ่อรู้สึกคิดถึงรอยยิ้มของลูกแค่ไหน…..พูดถึงรอยยิ้มที่สดใสงดงามแล้ว พ่อล่ะอดห่วงไม่ได้จริงๆ ว่าจะมีเจ้าขุนนางสกปรกคนไหนมันคิดจะเอามือชั่วๆ ของมันมาทำมิดีมิร้ายให้ออโรร่าผู้บริสุทธิ์ของพ่อต้องแปดเปื้อนหรือเปล่า”
ผมที่กำลังรวบรวมความคิดก็ชะงักเพราะสติถูกคำพร่ำเพ้อของอาจารย์ดีดกระเด็นออกไปสุดล้า ว่าแต่ช่วงนี้ผมรู้สึกว่าอาจารย์ชักจะเป็นหนักขึ้นทุกทีแล้วนะ
“ต้องใช่แน่ๆ เพราะออโรร่าน้อยของฉันน่ารักขนาดนั้น น่ารักขนาดที่แค่ยิ้มน้ำแข็งก็ยังต้องละลาย ดังนั้นตอนนี้มันจะต้องมีองค์กรลับที่หวังจะครอบครองตัวออโรร่าอยู่เป็นแน่ พวกมันต้องรวมหัวกันมาพูดเรื่องชั่วช้าไม่ดีไม่งามให้ออโรร่าของฉันต้องแปดเปื้อนแน่ จากนั้นก็เริ่มจับออโรร่าไปที่บ้านร้างแล้ว…อ้ากกกก ตายซะพวกแก ตายไปซะ”
เอาอีกแล้ว…. ไอ้การฆ่าคนในจินตนาการที่มาบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ของอาจารย์ นี่ถ้านับรวมครั้งนี้ก็เห็นทีคงจะเกินร้อยศพแล้วล่ะมั้ง ไม่รู้ทำไมผมถึงเริ่มเสียวสันหลังวาบๆ แล้วอีกอย่างพอเหตุการณ์มันมาเป็นแบบนี้ มันก็ต้องจบลงด้วย…
“ไรน์ฮาร์ด แกก็ด้วยสินะ แกก็คิดจะเข้าร่วมกับเจ้าพวกนั้นด้วยสินะ ก็ใช่สิ แกหวังอยากชิงออโรร่าน้อยของฉันไปนี่นา!”
นั่น! เดาไว้ไม่มีผิด พอเรื่องมันมาถึงขั้นนี้ทีไร อาจารย์ท่านชอบลากผมเข้าไปในเรื่องราวสุดมโนของท่านทุกที และเพราะแบบนั้นผมจึงต้องพบกับรังสีฆ่าฟันอันแสนจะกดดันประดุจถูกภูเขาทับเกือบทุกสัปดาห์ จนผมชักจะเริ่มสงสัยแล้วว่านี่เป็นการฝึกรับแรงกดดันจากอาจารย์หรือเปล่า
“ไม่ครับอาจารย์ ไม่เลยครับ ตัวผมนั้นหวังดีต่อออโรร่าเสมอมา เธอเป็นผู้มีพระคุณของผมนะครับ ไม่มีทางที่ผมจะคิดอะไรไม่ดีไม่งามต่อเธอแน่นอน”
ผมรีบแก้ตัวอย่างรวดเร็ว ด้วยแรงกดดันและสายตาอันโหดเหี้ยมของท่านอาจารย์แล้ว หากผมตอบช้าหรือเงียบไปล่ะก็ รับรองได้ว่าท่านฟันจนผมกลายเป็นชิ้นๆ แน่
“ว่าไงนะ ไม่คิดงั้นเหรอ?”
“ใช่ครับ ไม่คิด…อ๊ะ”
เหมือนไอ้แบบนี้เคยเกิดขึ้น…ซวยแล้ว
“นี่แกจะบอกว่าออโรร่าน้อยของฉันไม่มีเสน่ห์อย่างงั้นเหรอ? แกดูสิ ดูว่าออโรร่านั้นเจิดจรัสขนาดไหน?”
ว่าแล้วท่านอาจารย์ก็พุ่งเข้ามากระชากคอเสื้อผมเขย่าไปมาก่อนจะชี้ไปที่ฝาบ้านซึ่งเต็มไปด้วยภาพของออโรร่าที่ตัดจากหนังสือพิมพ์
“ไม่ครับ เธอมีเสน่ห์จริงๆ ครับ แต่เรื่องนั้น…”
ไม่เข้าใจจริงๆ ทั้ง ๆ ที่ปรกติเวลาสอนหรือออกนอกบ้าน ท่านอาจารย์ก็ดูเป็นนักรบมากประสบการณ์ที่ใจดี มีเสน่ห์ ฉลาด และพูดคุยรู้เรื่องแท้ๆ แต่พอมาเป็นเรื่องออโรร่าทีไร เหตุใดถึงนิสัยกลับตาลปัตร พลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้า เหตุผลที่เคยมีเหมือนถูกป่นละเอียดกลายเป็นพริกไทย ความฉลาดและความใจดีสูญสลายหายไปกับสายลมและถูกแทนที่ด้วยความบ้าคลั่งที่แม้แต่จอมปีศาจยังต้องเกรงกลัว
กว่าจะพูดคุยกันรู้เรื่อง ผมต้องพูดนู่นนี่ หาเหตุผลมาอธิบายอยู่หลายอย่างกว่าท่านจะใจเย็นลง แล้วกลับมาเป็นอาจารย์ผู้แสนจะใจดีเช่นเดิม
อันที่จริงก็ต้องขอบคุณท่านนะ หลายเดือนที่ผ่านมาผมรู้สึกได้เลยว่าฝีมือของผมนั้นแข็งแกร่งขึ้นมาก มากพอที่จะสามารถปกป้องออโรร่าได้จากอันธพาลหรือทหารของจักรวรรดิที่อาจจะมาทำร้ายนางได้ในอนาคต
แต่ถึงอย่างงั้นก็เถอะ ให้มารองรับอารมณ์ที่พร้อมปะทุทุกเมื่อจนรู้สึกเหมือนเดินในทุ่งกับดักแบบนี้ทุกๆ อาทิตย์ก็ไม่ไหวเหมือนกัน
ผมได้แต่ถอนหายใจก่อนจะเดินดูภาพที่ติดไว้ของออโรร่าซึ่งเต็มไปด้วยข่าวการปฏิบัติภารกิจของนางในฐานะนักบุญ
มีหลายเรื่องที่ทำเอาผมตกใจอยู่ไม่น้อย ทั้งเรื่องที่นางออกไปร้องเพลงศักดิ์สิทธิ์เพื่อรักษาเหล่าผู้ถูกเพลิงไฟทำลายบ้านเรือน หรือจะไปช่วยเหลือเหล่าผู้ตกทุกข์ได้ยากในเขตเมืองหลวง
ใครจะไปนึกล่ะ เพียงแค่เสียงร้องเพลงก็สามารถรักษาแผลที่แม้แต่นักบวชชั้นสูงยังยากที่จะรักษา แถมจากคำร่ำลือ ได้ข่าวว่าเธอร้องเพลงเป็นภาษาของเหล่าเทพที่ขนาดท่านสังฆราชก็ไม่สามารถเข้าใจได้ นับว่าน่าทึ่งจริง ๆ
“โอ้ ออโรร่าลูกพ่อ ทำไมล่ะลูก แม้แต่พ่อจ๋าลูกยังไม่เคยร้องไห้ฟัง แล้วทำไมล่ะ แล้วทำไม!!?”
เรื่องเสียงบ่นของคุณซิกค์น่ะช่างไปก่อนแล้วกัน เพราะคุณซิกค์แกเล่นบ่นพึมพำกับภาพทุกภาพตามเรื่องราวในข่าวซะจนผมรู้สึกว่าคุณพ่อประเภทไหนกัน ทำไมถึงได้เห่อลูกสาวได้ขนาดนี้
“โอ้ ออโรร่าลูกพ่อทำไมเจ้าช่างน่ารักขนาดนี้ ขนาดผีร้ายยังต้องยอมสยบต่อความน่ารักใส ๆ ของลูกพ่อ…. ไม่สิ ไอ้พวกผีร้ายนั่นมันเป็นตาแก่…. มันต้องเสแสร้งมาทำเป็นผีแสนดีก่อนหวังคิดทำมิดีมิร้ายต่อออโรร่าแน่ๆ … ต้องกำจัด!”
คุณซิกค์ตะโกนลั่นบ้านพร้อมชักดาบออกมาฆ่าผีร้ายในจินตนาการจนทำเอาผมได้แต่เหงื่อตกกับความคิดของท่านอาจารย์ ก็แหม ได้ข่าวว่าผีร้ายที่พูดถึงเป็นนักบวชชั้นสูงเลยนะ ไม่น่าจะคิดอะไรไม่ดีไม่งามแบบนั้นได้หรอก
ต้องยอมรับว่าภารกิจที่ยิ่งใหญ่สุดเห็นทีคงจะเป็นงานชำระวิญญาณร้ายในบ้านนักบวชชั้นสูงที่ร่ำลือกันว่าโหดร้ายและทรงพลังอำนาจที่สุด ถึงอย่างนั้นออโรร่าก็ยังสามารถแปรเปลี่ยนวิญญาณร้ายให้กลายเป็นวิญญาณผู้พิทักษ์
สุดยอดจริงๆ ออโรร่า นี่ผมคงต้องพยายามให้มากขึ้นแล้วสิ
“นี่ ไรน์ฮาร์ด ดูนี่สิ ใบหน้าของออโรร่าตอนอธิษฐานล่ะ น่ารักสุดๆ ไปเลยใช่ไหมล่ะ? โอ้ย ออโรร่าของพ่อ จะมุมไหนๆ ก็ดูน่ารักเสียจริง”
เอาอีกแล้ว…..นี่เพิ่งหยุดไปไม่ถึงนาที คุณท่านก็คลั่งอีกแล้ว
ผมได้แต่มองท่านอาจารย์แบบเหงื่อตก ก่อนจะค่อยๆ ถอยห่างเพราะรู้ว่าหากอยู่นานไป คุณท่านคงได้คลั่งมาเขย่าคอผมหักเสียก่อน
“ใบหน้ายามอธิษฐานเหรอ?”
ใบหน้าของนาง ยามที่อธิษฐานนั้นดูสงบนิ่งแต่ก็เปี่ยมล้นด้วยความงดงาม เปล่งประกายจนแม้มองผ่านรูปก็ยังรู้สึกได้ ไม่ว่าจะเห็นทีไร ผมก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ทุกที
แต่ว่าทำไมกัน ทำไมนางถึงได้อธิษฐานด้วยใบหน้าหมองหม่นเช่นนั้นกัน…..?
ออโรร่า นี่เธอกำลังเศร้าเรื่องอะไรอยู่กันแน่?
Oooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooo
ง่วง ง่วงจนจะไม่ไหวแล้ว!
“เอาล่ะเหล่าผู้ศึกษาหนทางแห่งพระเจ้าตัวน้อยทั้งหลาย ขอเชิญทุกท่านกล่าวบทสวดตามข้าพเจ้า”
เสียงนักบวชผู้สั่งสอนประจำศาสนาได้กล่าวกับพวกเด็กน้อยเพื่อนๆ ของผม ทุกคนต่างสวดตามที่ท่านอาจารย์สอนมา ตัวผมเองก็กล่าวตามแต่ในอีกรูปแบบหนึ่ง
ขณะที่ทุกคนกำลังกล่าวตามอย่างตั้งอกตั้งใจนั้น ผมก็หลับตาลงเอาหัวซุกกับมือที่ยกขึ้นกำเพื่อสวดภาวนา จากนั้นปากก็พูดไปมาแบบบ่นงึมงำในคอเพื่อให้คล้ายกับคนกำลังสวดภาวนาอย่างตั้งใจมากที่สุด
“ขอพระองค์ทรง…งึมงำ…ประทาน….ขนมให้…งึมงำ”
ผมล่ะ อยากทดลองเหลือเกินว่าถ้าตัวเองรวบรวมพลังไว้แล้วคิดให้มีขนมผุดขึ้นมาจากอากาศ มันจะมีขนมตกลงมาจากฟ้าให้ผมหรือเปล่า?
แต่ก็นะ ถ้าทำแบบนั้นได้มันก็ดูเกินไปหน่อย
“โอ้ ท่านนักบุญ ท่านกำลังสวดภาวนาด้วยคำสวดแบบใดหรือขอรับ? ข้าน้อยสงสัยจริงๆ”
ระหว่างที่ผมกำลังหลับอย่างสบาย….เอ่อ หมายถึงสวดภาวนาอย่างตั้งอกตั้งใจ ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“งึม….ขนม….มาการอง…..มาม่าทุบ…”
แต่น่าสงสารเสียจริง เนื่องจากวันนี้ผมถูกมาเรียลากขึ้นมาจากเตียงแต่เช้าเพื่อให้ผมมาเข้าร่วมเรียนการสวดภาวนา ดังนั้นไม่ต้องถามเลยว่าตอนนี้ผมจะง่วงขนาดไหน
“เอ่อ ท่านออโรร่าคะ คือ..”
“อย่าเลยหนูน้อย หากเจ้าเรียกท่านนักบุญจนท่านหลุดจากสมาธิในการสวดภาวนา เหล่าเทพบนสรวงสวรรค์และเหล่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายคงไม่ยกโทษให้เจ้าแน่”
ศิษย์ตัวน้อยข้างๆ ผมที่เห็นว่าผมถูกเรียกแล้วไม่หันไปหาผู้ที่เรียกซึ่งน่าจะเป็นนักบวชชั้นผู้ใหญ่จึงได้พยายามปลุกผม แต่เหมือนสมองความมโนของนักบวชนี้จะแปรผันตามยศ นอกจากจะไม่คิดว่าผมหลับแล้วเขายังเริ่มจินตนาการไปไกลถึงขั้นว่าผมกำลังสวดภาวนาอย่างตั้งใจจนไม่สนโลกภายนอก
“เอ๋?”
หนูน้อยที่หวังดีผู้น่าสงสาร เจ้าหล่อนกำลังมีตัวงองูพุ่งกระจายอยู่เต็มหัว เมื่อเจอคำพูดสุดเมาราวกับหลุดออกมาจากโรงงานสารระเหยของท่านนักบวชชรา
“เจ้าคงสงสัยสินะแม่หนูน้อย นั่นไม่ผิดเลยที่เจ้าจะไม่รู้ เพราะเจ้านั้นยังไม่ได้เรียนรู้ถึงความสำคัญแห่งสมาธิยามที่สวดภาวนา แต่ข้าจะสอนให้เอง”
น่าเศร้าจริงๆ เด็กน้อยที่ใสซื่อบริสุทธิ์ดุจผ้าขาวกำลังจะถูกป้ายสีเหนียวข้นขาวหรือกาวลงไปบนผ้าด้วยฝีมือของเจ้านักบวชผู้สมองบินไปไกลแสนไกล
ไม่นะ นายอย่าทำรายผ้าขาวด้วยสีจากกระป๋องสารระเหยนะ!
ถึงแม้ผมจะพูดแบบนั้น แต่ช่างน่าเศร้าเสียเหลือเกินที่ความง่วงของผมมันมากเกินกว่าที่ผมจะสามารถลากสติกลับมาเข้าร่างและหันไปตะโกนหยุดเจ้านักบวช เลยได้แต่ปล่อยให้นักบวชแต่งเติมสีที่ไม่พิศสมัยใส่เด็กน้อยต่อไป
“ในยามที่พวกเราเหล่าสาวกได้สวดภาวนา ระหว่างเรากับสรวงสวรรค์จะสร้างสะพานแห่งจิตขึ้นมาเพื่อส่งแรงศรัทธาแห่งเราไปหาเหล่าทวยเทพ”
เมื่อท่านนักบวชชั้นสูงชราเริ่มเปิดคลาสสอนพิเศษแบบไม่ปรึกษาเจ้าของคลาสคนปัจจุบัน เหล่าเด็กนักเรียนทุกคนต่างรีบสวดภาวนาบทที่สวดอยู่ให้เสร็จแล้วรีบวิ่งมานั่งฟังกันอย่างตั้งใจ
ว่าแต่พวกนายขอทีเถอะ ถ้าจะสอนอะไรก็ช่วยอย่าสอนแบบพูดเสียงดังข้ามหัวของคนอื่นไปมาจะได้ไหม รู้ไหมว่ารบกวนสมาธิของคนจะหลับจะนอนน่ะมันบาปขนาดไหน ขนาดที่ว่าต่อให้เป็นนักบุญที่สุดแสนจะใจดีอย่างออโรร่าน้อยคนนี้ก็ไม่มีทางที่จะยกโทษให้เด็ดขาด!
“ยิ่งเป็นท่านนักบุญแล้ว เพียงแค่คำอธิษฐานอันแสนสั้นและเรียบง่าย ก็สามารถสร้างสะพานขนาดใหญ่ที่แม้แต่เหล่าทวยเทพชั้นสูงยังต้องรีบมารับฟังจิตอันแสนบริสุทธิ์”
“สะพาน? จิตอันบริสุทธิ์งั้นหรือครับ?”
“ใช่ถูกต้อง หากพวกเธอหลับตาลงและตั้งจิตดีๆ ก็จะรู้สึกได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่มาล้อมรอบตัวของท่านนักบุญ นั่นคือจิตอันสูงส่งที่พยายามเชื่อมต่อกับสะพานของท่านนักบุญอย่างไรเล่า”
มั่ว มั่วไปใหญ่แล้ว สะพงสะพานอะไรของนายกัน ที่มีในหัวของผมตอนนี้มีแค่สะพานแสนสวยที่โปรยไปด้วยดอกไม้และมียูนิคอร์นวิ่งเล่นไปมาต่างหาก ไอ้เทพอะไรนั่นที่มาล้อมรอบอย่างเป็นสุขของนายคงมีอยู่เทพเดียว….
ไอ้เจ้าพระเจ้าที่พวกนายเคารพนักหนาไงเล่า รู้ไหมว่าไอ้สัมผัสที่พวกนายสัมผัสได้น่ะมันไม่ใช่จิตของเทพที่อยากมาเชื่อมสะพานอะไรทั้งนั้น ที่มีอยู่ก็มีแต่จิตอันแสนโหดร้ายทารุณที่แสยะยิ้มถูมือไปมาอย่างโฉดชั่วหวังให้ผมคนนี้เผลอพูดคำสรรเสริญอย่างไรเล่า…เฮ้ย
“สัมผัสอันยิ่งใหญ่ที่เชื่อมสะพานสู่เทพทั้งมวล ตัวข้านั่นขอมุ่งมั่นส่งจิตอันแสนบริสุทธิ์สู่จิตวิญญาณอันสูงส่ง งดงาม เปี่ยมล้นด้วยเมตตาเพียงหนึ่งเดียว…..อา ด้วยรอยยิ้มอันแสนเมตตาของพระองค์ตัวข้านั้นมิอาจหักห้ามใจที่จะกล่าวคำสรรเสริญสู่จิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่”
งานงอก ๆ นี่ขนาดคิดอ้อมแบบหลบออกบายพาสแล้วแท้ๆ ไหงเจ้าคำแอบด่าของผมมันยังส่งผลกระทบตีกลับแบบเดียวกับด่าตรงๆ อีกล่ะ ….หนอย เจ้า…ไม่ได้ ใจร่มๆ ไว้ออโรร่า อย่าให้เป็นไปตามแผนของเขา
ให้ตายสิ นี่ระดับของคำสาปมันอัพเกรดขึ้นงั้นเหรอ? หรือว่าผมตีความผิดไป งานนี้ต้องแอบไปเรียนรู้เพิ่มเสียแล้ว
“โอ้ นี่มัน นี่มันคำสวดอันใดกันนี่ วาจาที่ท่านนักบุญเอ่ยออกมานั้นพวกข้ามิเคยได้ยินมาก่อน ทว่ากลับรู้สึกตื้นตันใจกับสิ่งที่ท่านนักบุญทำจริงๆ”
“ยังไงคะ ท่านอาจารย์?”
“มินึกเลยว่าท่านนักบุญที่สงบเงียบอธิษฐานจะมุ่งจิตทั้งมวลไปสู่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเรา มิน่าพลังแห่งความบริสุทธิ์มันถึงเอ่อล้นออกมาได้เช่นนี้ ความรักของท่านนักบุญที่มีต่อพระองค์ท่านช่างมากมายจนแม้แต่ข้าที่อยู่รับใช้พระองค์มาอย่างเนิ่นนานยังต้องรู้สึกอับอายจริงๆ”
อันว่าสายน้ำไหลไปแล้วไม่มีวันย้อนกลับ ถึงผมจะหยุดไม่ให้มันมีคำพูดอะไรออกมาเพิ่มแต่เจ้าสิ่งที่ผมพูดออกไปแล้วนั้นคงยากที่จะหยุดผลกระทบของมัน….
“สะพาน…นี่ท่านนักบุญกำลังเชื่อมต่อสะพานไปสู่พระองค์ท่านงั้นเหรอคะ? นี่ตัวหนู นี่ตัวหนู…ฮึก ฮึก”
เฮ้ยยย เจ้าแก่บ้า นี่แกพูดอะไรลงไป ขืนนายพูดแบบนั้นไปสาวน้อยน่ารักที่นั่งข้างผมจะเข้าใจผิดว่าตัวเองทำบาปไปพอดีน่ะสิ ไม่นะเพื่อนร่วมห้องผู้น่าสงสารของผม อุตส่าห์หวังดีจะปลุกผมแต่ดันโดนยัดเยียดบาปโดยคนเมากาวไปเสียงั้น
“หนูต้องขอโทษ ขอโทษจริงๆ ค่ะ… ขอโทษที่ได้ทำบาปที่มิอาจอภัยได้ไป ท่านนักบวชคะ นี่หนู หนูจะทำอย่างไรดีคะ?”
ไม่ อย่าไปถามมันเด็ดขาดเลยนะ ไอ้สิ่งที่เธอจะได้จากเจ้านักบวชนี่น่ะ ไม่ใช่เส้นทางที่ให้คำตอบของปัญหา แต่จะกลายเป็นทางออกที่โรยไปด้วยใบสีเขียวห้าแฉกต่างหาก
“เรื่องนี้ช่างยากเย็นนัก….แม้แต่ข้าเองก็ยังต้องคิดหนัก!”
ใช่ต้องคิดหนัก…. คิดหนักถึงสิ่งบ้าๆ ที่แกก่อยังไงล่ะเฟ้ย!
รู้ไหมนายทำบ้าอะไรลงไป ลองคิดดูสิว่าแค่นี้ทุกคนก็แยกกันไม่ออกอยู่แล้วว่าผมนอนอยู่หรือสวดภาวนาอยู่ แล้วถ้าหากมีความเชื่อผิดๆ อย่างห้ามไปกวนผมตอนสวดภาวนาล่ะก็ รับรองผมได้นอนหลับคาที่สวดยันเช้าแน่ บอกตามตรงว่าสภาพแบบนั้นโคตรจะดูไม่จืดเลยนะ
ต้องรีบหยุด ต้องรีบหยุดเจ้าเรื่องพวกนี้ให้ได้
อา แต่ด้วยความง่วง…ด้วยความง่วงที่ครอบงำผม มันช่างยากเหลือเกินที่จะเปิดปากพูด ไม่สิ แม้แต่ลืมตายังยากเลย…. ฮือออ ความง่วงมันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ
“บางทีพวกเราอาจจะต้องรวมจิตกันเพื่อขอขมาต่อเหล่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ไม่สิ…ต่อพระองค์ท่านผู้ยิ่งใหญ่”
น้ำเสียงของนักบวชชั้นผู้ใหญ่เคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อย ๆ แสดงให้เห็นว่าเขาจริงจังกับเรื่องนี้ขนาดไหน… ใช่ จริงจังจนผมยังสงสัยว่าคนปลุกกันมันต้องจริงจังเบอร์นี้เลยเหรอ?
“นั่นสิครับ ว่ากันว่าเคยมีผู้ถูกคำสาปร้ายแรงจากการไปรบกวนนักบุญบางรุ่นระหว่างสวดภาวนาเข้า แม้ท่านนักบุญจะให้อภัยด้วยการสัมผัสที่ไหล่ แต่ก็ยังไม่ดีขึ้นแถมเลวร้ายลงกว่าเดิมอีก”
นั่นไม่ใช่ว่าไอ้คนที่สาปมันเป็นตัวนักบุญเองเหรอ!? ต้องใช่แน่ๆ ไอ้เจ้านักบุญนั่นมันต้องแอบหลับเลยเขินที่ถูกจับได้เลยสาปเพื่อกลบเกลื่อนความผิดแน่ๆ
ถามจริงเถอะ นี่พวกนายจบมาจากโรงเรียนเดียวกันใช่ไหม? แนวคิดบ้าๆ บอๆ ถึงได้สนับสนุนกันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยแบบนี้ ว่าแต่ขอถามอย่างนะ
พวกนายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าการรบกวนคนสวดภาวนามันเป็นบาป แต่ไอ้ที่พวกนายกำลังเปิดเทศนาสอนชาวบ้านชาวช่องข้ามหัวผมไปมาประดุจขายของแถวตลาดสด มันโคตรรบกวนสุดๆ เลยไม่ใช่หรือไง? รบกวนกว่าการสะกิดปลุกไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเท่า
นี่ไม่รู้สึกแบบนั้นบ้างเหรอ!?
“ถ้าคนเดียวขออภัยต่อพระองค์ไม่พอที่จะลบล้างคำสาป ถ้างั้นพวกเราคงต้องรวมจิตอธิษฐาน”
นี่พวกนายเป็นพวกตัวเอกในการ์ตูนโชเน็นหรือยังไง? มีรวมพลังกันด้วย แถมแค่นั้นไม่พอ ยังมารวมพลังด้วยการตั้งแถวราวกับเป็นเด็กน้อยเตรียมร้องเพลงสามัคคีชุมนุมก่อนที่ทั้งหมดจะ….
พรึ่บ
ทุกคนต่างนั่งลงกับพื้นพร้อมยกมือขึ้นสวดภาวนา
เดี๋ยวนะ เดี๋ยวๆ นี่พวกนายจะมาตั้งวงล้อมกันขนาดนี้คิดจะสวดขอหวยกับผมหรือไง?
“ทุกท่านโปรดกล่าวคำสวดเพื่อขอขมาต่อท่านนักบุญ”
เฮ้ย มันมีบทสวดภาวนาขอโทษนักบุญด้วยเหรอ? ใครมันบ้าจี้คิดขึ้นมาฟะ? ต้องเป็นเจ้านักบุญขี้งอนแอบหลับคนนั้นแน่ๆ …. ไม่นะ ไม่ ๆ ผมยังไม่อยากกลายเป็นที่ขอหวยนะ!
“พวกข้าเหล่าผู้มีบาปในใจ ด้วยความเขลาของตัวข้าที่ไร้ซึ่งปัญญา ไม่อาจเห็นความจริงต่อท่านผู้ทรงเปี่ยมด้วยรักอันเหลือล้นต่อพระเจ้า ผู้ที่เปี่ยมล้นด้วยความรักความเมตตาต่อทุกสิ่งบนผืนปฐพี เป็นรองเพียงแค่พระองค์ผู้ยิ่งใหญ่เหนือใครทั้งปวง……”
พอเถอะ!
แค่ได้ยินแบบนี้ผมก็อยากเอาตัวแทรกแผ่นดินแล้ว อยากเดินหนีจากเจ้าพวกสติไม่เต็มเต็งพวกนี้ไปให้พ้น ๆ ….แต่มันโคตรน่าเศร้า ที่ผมในตอนนี้ไม่สามารถทำได้ สาเหตุน่ะเหรอ?
เหน็บมันกินขาผม!
เหมือนถูกสวรรค์แกล้ง ผมต้องอยู่ในสภาพที่ถูกรุมล้อมสวดภาวนาใส่ประดุจเป็นต้นไม้พันผ้าหลากสีอยู่นานสองนานจนหาทางรอดมาได้ด้วยวิธีที่แสนง่ายดาย
หลับต่อโลด……
และแล้วชีวิตอันแสนปรกติสุขของผมก็กลับมา แต่นั่นคงเป็นสายลมอันแสนสงบก่อนที่พายุใหญ่จะโหมกระหน่ำ
—————————————————————————————
จบแล้วจ้าสำหรับตอนแรกของภาคใหม่ ขอให้อ่านสนุกๆ นะครับผม