“ขออนุญาตค่ะ”
“เชิญเลย ท่านนักบุญ”
เมื่อมีคำอนุญาตจากข้างใน ทหารที่อยู่ข้างหน้าก็เปิดประตูให้ก่อนจะยกมือทำความเคารพผมหนึ่งที ซึ่งเมื่อประตูเปิดออกก็เผยห้องขนาดใหญ่ที่มีชั้นหนังสือเรียงรายมากมาย โดยที่กลางห้อง มีโต๊ะไม้สีดำยาวขนาดใหญ่พร้อมด้วยกระดาษจำนวนมาก วางจัดเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ บางส่วนกำลังเซ็นชื่อโดยคนที่นั่งอยู่ตรงระหว่างกลางโต๊ะ ราชาออสวาร์ล
“ท่านนักบุญ เชิญนั่งก่อน”
ชายชราที่อยู่ด้านหลังของราชาออสวาร์ลหรือท่านรีชเชอร์ลิแอร์ได้ผายมือออกเป็นการเชิญผมตามมรรยาท ผมรีบตอบรับด้วยการโค้งกลับหนึ่งทีก่อนเดินไปนั่งโต๊ะที่อยู่ตรงข้ามพวกเขา
เมื่อเห็นผมนั่งที่แล้ว ราชาออสวาร์ลก็หยุดงานเอกสารในมือของเขาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วยิ้มให้อย่างอบอุ่นเหมือนคุณลุงมองหลาน
“ข้าดีใจจริง ๆ ที่ท่านนักบุญตอบรับคำเชิญของพวกข้า ตอนแรกข้าล่ะเป็นกังวลว่าท่านจะปฏิเสธเสียอีก”
คือที่จริงตอนแรกก็รู้สึกอยากปฏิเสธอยู่หรอกนะ แต่มันก็มีปัญหาหลาย ๆ เรื่องโดยเฉพาะเรื่องที่ผมดันก่อไว้เมื่อสองวันก่อน ทำเอาผมแทบนอนไม่หลับไปหนึ่งคืนเต็ม ๆ เพราะเอาแต่ส่องผ่านประตูว่ามันจะมีใบบิลเรียกเก็บเงินส่งมาหรือเปล่า
ไม่สิ พอมาคิดดูแล้วเรื่องนั้นก็ไม่น่าเกิดขึ้นได้ ก็เพราะผมอุตส่าห์ช่วยเปลี่ยนรูปปั้นหินเก่า ๆ ของพวกเขาให้กลายเป็นทองคำเลยนะ เปลี่ยนให้กลายเป็นวิหคสีทองเลยนะ!…ใช่ ทองคำเลยนะ ทองคำ ไม่ใช่เปลี่ยนเป็นรูปปั้นปูนเปลือยสักหน่อย แบบนั้นน่าจะขอบคุณกันมากกว่า…ไม่สิ ๆ แต่นี่มันเรื่องของความเชื่อนี่นา จะมีโมโหกันก็ไม่ผิดหรอกน่า
“ส่วนที่ข้าได้เชิญท่านมาในวันนี้ก็…จะพูดเช่นไรดีล่ะ ข้าได้ทราบรายงานมาแล้วท่านนักบุญ เรื่องของวิหารแห่งปักษาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อน”
โอ้ย นั่นไง ๆ เป็นเรื่องนี้จริง ๆ ด้วย ให้ตายสิออโรร่า นี่เธอไปทำกรรมอะไรนักหนา ชีวิตมันถึงได้ซวยซ้ำซวยซ้อนแบบนี้ แถมลองดูหน้าของท่านรีเชอลีเยอร์ที่อยู่ด้านดูสิ หน้าเครียดมาเชียว…. นี่ขนาดแค่จับเจ้ารูปปั้นนะ ไม่รู้ถ้าผมไปเอาเท้าสะกิดมันด้วยจะเป็นไงบ้าง
“นี่นับเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดมาก่อนเลย นับตั้งแต่ก่อตั้งราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ราสเวนน่า ทำให้ยากที่จะบอกได้ว่าเราควรจะจัดการกับปัญหานี้เช่นไรดี”
ตั้งตระหง่านมาเป็นร้อย ๆ เป็นพัน ๆ ปี ไม่เคยเกิดปัญหา แต่ดันมาเกิดปัญหาตอนที่ผมจับเนี่ยนะ มันจะบังเอิญไปไหม? แล้วไหนจะยังเจ้าคำทำนายบ้า ๆ นั่นอีก มีมาไม่รู้กี่ชาติ แล้วไหงไอ้เวทที่ผมร่ายมั่ว ๆ เพื่อซ่อมรอยร้าวมันดันไปบ้าจี้ตรงกับทำนายนั่นพอดิบพอดีซะขนาดนั้น
“เรื่องนี้ทำพวกเราลำบากใจจริง ๆ ท่านนักบุญ”
ราชาออสวาร์ลทำหน้าเครียดพร้อมกับเสียงของเขาที่ดูทุ้มต่ำลงมากขึ้น จนผมเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันที่กำลังถาโถมเข้ามาใส่ มือของผมเริ่มสั่นกลัวอย่างไม่มีสาเหตุ ความคิดที่คิดว่าทุกอย่างน่าจะปลอดภัยดีกลับหายไปในพริบตาเมื่อเห็นสีหน้าและสายตาที่กดดันของราชาผู้ดูใจดีคนนี้
“ดังนั้น…หลังจากประชุมตลอดหนึ่งวันเต็ม ๆ ทำให้พวกข้าได้ข้อสรุปในที่สุด ท่านนักบุญ….เห้อ ข้าล่ะลำบากใจที่จะบอกจริง ๆ ท่านก็รู้ว่าสิ่งที่ท่านทำนั้นใหญ่หลวงมาก”
ครับ ผมเองก็ลำบากใจเช่นกันครับ เพราะฉากที่ท่านมาเรียกผมคุยแบบนี้ มันช่างคุ้นเคยราวกับเกิดเรื่องคล้ายกันมาก่อนเมื่อไม่นานนี้เอง เดจาวูมาก ๆ ถึงน้ำเสียงกับสถานการณ์มันจะต่าง แต่รูปประโยคมันช่างคล้ายกันเหลือเกิน นี่ถ้าผลลัพธ์ออกมาเหมือนกันล่ะก็ มิวายผมคงได้ถูกถีบส่งไปที่ไหนอีกสักที่แน่ ๆ
แล้วจะให้ผมไปที่ไหนละเฮ้ย มหาวิหารก็แล้ว วังหลวงก็แล้ว นี่ถ้าจะให้ผมโดนถีบส่งอีกล่ะก็ที่สุดท้ายที่มันจะยิ่งใหญ่พอกันคงมีแต่จักรวรรดิอะ…….แบบนั้นไม่ดีมั้ง ได้ข่าวจักรวรรดิเพิ่งมีเรื่องบาดหมางกับราสเวนน่าไปไม่กี่สิบปีมานี้เอง
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เห็นทีผมจะต้องใช้ท่าไม้ตายที่มีเพียงออโรร่าน้อยเท่านั้นที่จะใช้ได้ ท่าไม้ตายที่ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องยอมให้กับมัน ท่าที่เพียงแค่แสดงออกมาทุกคนก็ต้องคุกเข่าให้
“ค่ะ ต้องขอโทษด้วยค่ะที่ตัวหนูสร้างปัญหาให้กับองค์ราชาเช่นนี้….ฮือออ ตัวหนู ฮืออ ตัวหนูนั้นช่างแย่จริง ๆ ค่ะ ทำอะไรก็…ฮึก ๆ”
ท่าไม้ตาย…บีบน้ำตา!!!
“หา..เอ่อ …เดี๋ยว..คือ”
“ฮึก ๆ …หนูขอโทษค่ะ หนูขอโทษจริง ๆ หนูไม่คิดจะก่อปัญหาให้ใครจริง ๆ ค่ะ หนูก็แค่อยาก…หนูก็แค่อยาก”
จัดไปเลยออโรร่า จัดไปเลย หัวหอมในมือซ่อนไว้เท่าไหร่ เอาออกมาถูตามันให้หมด เอาให้ตามันแดง น้ำตาแตกไหลเป็นก๊อกน้ำไปเลย
เมื่อราชาออสวาร์ลเห็นผมที่จู่ ๆ ก็ร้องไห้ออกมาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง ก็ทำเอาเขาเริ่มลนลาน มือไม้ขยับไปมาทำอะไรไม่ถูก สีหน้าอันแสนกดดันเมื่อครู่หายไปเหลือเพียงใบหน้าของคุณลุงที่ตกใจเวลาเล่นกับหลานแล้วดันร้องไห้
“ใจเย็น ๆ ท่านนักบุญ โปรดใจเย็น เนื่องจากเป็นการคุยครั้งแรก ข้าก็เลยอยากแสดงให้มันดูจริงจังเท่านั้น ข้าไม่ได้กดดันอะไรท่านนะ โปรดใจเย็น”
ถ้างั้นก็อย่ามาเล่นอะไรแผลง ๆ อย่างงี้สิเฟ้ย! ท่านโตเป็นผู้ใหญ่อายุมากกว่าผมไม่รู้กี่สิบรอบเลยนะ มาเล่นอะไรเป็นเด็กแบบนี้มันเหมาะสมเรอะ! แล้วนี่มันอะไร ไอ้ตอนแรกที่เจอก็นึกว่าท่านน่าจะปรกติชนกว่าชาวบ้านชาวช่องแท้ ๆ แต่เชื้อกาวของประเทศนี้มันไม่ทิ้งแถวจริง ๆ ด้วยสินะ
ไม่รู้ล่ะ แกล้งมาแกล้งกลับ ถ้าท่านแกล้งอยากกดดันผม ผมก็จะแกล้งร้องไห้กดดันท่านต่อไป เอาจนท่านรู้สึกผิดไปสิบวันสิบคืนเลยคอยดูเถอะ
“ฮืออ ฮือออ”
ผมทำเป็นเมินคำพูดของราชาคนนี้แล้วร้องห่มร้องไห้ต่อไปเหมือนไม่มีอะไรผ่านเข้าหู ยิ่งทำให้ราชาลนลานหนักกว่าเดิม
“งานงอกแล้วไง ท่านรีเชอลีเยอร์ นี่ข้าแค่อยากให้เด็กคนนี้เห็นว่าข้าเป็นคนจริงจังเองนะ แล้วไหงมันถึงกลายเป็นแบบนี้ได้เนี่ย นี่ข้าทำหนักเกินไปเหรอ?”
ถ้าแบบนี้ไม่หนัก รถสิบล้อคงเบาเหมือนขนนกแล้ว! นี่ถ้านี่ไม่ใช่ผมที่เป็นผู้มาเกิดใหม่แต่เป็นออโรร่าน้อยแสนน่ารักวัยห้าขวบของแท้ไม่มีผีสิงแบบนี้ รับรองว่าได้ร้องไห้วิ่งแจ้นกลับบ้านไปฟ้องพ่อแล้ว!
สีหน้าของราชาเริ่มลนลานมากขึ้นทุกที เมื่อเห็นว่าตัวคนเดียวรับมือไม่ไหว ราชาออสวาร์ลจึงเริ่มหันไปหาตัวช่วยเพียงหนึ่งเดียวที่เขาเหลืออยู่ ….ว่าแต่นี่ท่านอายุปาไปจะห้าสิบแล้วจริง ๆ ใช่ไหม? เป็นราชาที่ถูกขนานนามว่าเก่งกาจติดอันดับต้น ๆ จริง ๆ ใช่ไหม!
“ท่านเพิ่งบอกท่านคาร์ลเองนะว่านางยังเป็นแค่เด็กห้าขวบ เด็กห้าขวบเจอแรงกดดันไปแบบนี้ ท่านก็ลองคิดดูเองแล้วกัน”
“นี่ท่านย้อนข้าเรอะ งานเข้าข้าแล้วไง ขืนถ้าพวกศาสนจักรได้ยินว่าข้าทำนางร้องไห้ล่ะก็… ได้คุยยาวยันปีใหม่เลยมั้ง ข้าขอล่ะท่านรีชเชอร์ลิแอร์ ช่วยข้าทีเหอะ”
“ในฐานะของอาจารย์ที่สั่งสอนท่านมา ข้าเพียงได้แต่บอกท่านว่า….ใครทำ คนนั้นรับผิดชอบ”
แม้ราชาจะพูดขอร้องไปด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนแค่ไหน แต่มันช่างน่าเศร้าเสียเหลือเกินที่ท่านดยุคคนเก่งเหมือนจะไม่เล่นด้วยแถมทิ้งให้ราชารับมือกับแผนการของผมคนเดียวอีกต่างหาก ดูๆ ไปแล้ว สองคนนี้จะสนิทกันน่าดูนะเนี่ย พูดอย่างกับเพื่อนเล่นกันเลย
“ทิ้งกันนี่หว่า”
หลังผ่านไปครึ่งชั่วโมงในที่สุดผมก็หยุดร้องไห้ เพราะหากเล่นนานไปกว่านี้ท่านราชาคงได้อกแตกตายแน่นอน ยิ่งกว่านั้นขืนเรื่องมันบานปลายใหญ่โต มีหวังผมได้โดนถีบส่งออกจากปราสาทไปที่ไหนสักที่แน่ ๆ
“เห้อ รอดสักทีข้า เกือบได้ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นผู้ก่อสงครามกลางเมืองรอบสองแล้วไง”
ท่านออสวาร์ลพูดพลางบอกมือเรียกให้คนรับใช้ยกขนมหวานพร้อมน้ำชามาให้ผม ทำเอาผมถึงกับหน้าบานเป็นกระด้งพลางคิดถึงขนมแสนอร่อยที่จะกำลังจะลอยมาหาผมในไม่กี่อึดใจ
แผนร้องไห้นี่มันช่างเยี่ยมยอดจริง ๆ สมแล้วที่เป็นอาวุธไม้ตายของออโรร่า นอกจากทำให้สถานการณ์ตึงเครียดนี่จบลงอย่างง่ายดาย มันยังทำให้ภาพของนักบุญที่เก่งกาจเกินคนหายไป เหลือเพียงแค่สาวน้อยที่เก่งเกินวัยธรรมดาเท่านั้น
น้ำตาจะไหล แค่นี้พอข่าวลือว่าผมนั้นเป็นเด็กน้อยน่ารักที่ไม่น่ามีพิษภัยอะไรกระจายออกไป ความปลอดภัยในชีวิตของผมภายในราชวังก็จะเพิ่มขึ้นมากโข โดยเฉพาะเจ้าชายบ้านั่นมันจะได้เลิกจ้องกินเลือดกินเนื้อผมสักที
“ถ้างั้นเรามาคุยต่อจากที่ค้างไว้กันเถอะนะ ก็อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้มันลำบากใจก็จริง แต่ข้าไม่ได้ลำบากใจเพราะมันเป็นเรื่องไม่ดีอะไรหรอก กลับกันมันออกจะเป็นเรื่องที่ดีต่อตัวท่านแค่ลำบากที่ข้าไม่รู้ว่าจะอธิบายเช่นไรให้เหมาะสมกับอายุของท่านนักบุญ”
“ไม่ว่าจะเรื่องอะไรหนูก็จะพยายามค่ะ”
“เยี่ยมมาก ท่านรีชเชอร์ลิแอร์ เชิญเลย”
เอาล่ะออโรร่า ดีมาก ๆ ต่อเลย ๆ เธอมาได้สวยแล้ว หลังจากที่แสดงให้อีกฝ่ายเห็นด้านอ่อนแอเพื่อให้วางใจ ต่อไปก็แสดงถึงความตั้งใจเพื่อสร้างความประทับใจให้กับอีกฝั่ง แหม เรานี่มันแสดงละครเก่งจริง ๆ นึกไม่ถึงว่าสกิลง้อครูขอส่งการบ้านช้าสมัยประถมมันจะยังใช้ได้อยู่
“ท่านช่างเป็นเด็กที่เกินคาดในหลาย ๆ ความหมายจริง ๆ ท่านนักบุญ”
ท่านรีชเชอร์ลิแอร์พูดขึ้นมาขณะที่เขายื่นใบกระดาษอีกแผ่นซึ่งมีรายละเอียดคล้ายกับกระดาษที่เขาเคยให้ผมเมื่อหลายวันก่อน จะมีเพิ่มมาก็คือเนื้อหาที่ยาวขึ้นจนต้องใช้กระดาษถึงสองแผ่นในการเขียนอธิบายซึ่งในนั้นเขียนคำยาก ๆ อยู่เต็มไปหมด ด้วยปัญญาของผมถึงแม้จะเป็นของคนอายุสิบห้าแต่มันก็ยังยากที่จะเข้าใจอยู่ดี นี่สินะสิ่งที่เรียกว่าเอกสารราชการน่ะ
“ก่อนที่จะเริ่ม ข้าคงต้องถามท่านนักบุญก่อนว่าท่านรู้จักผู้ทำพันธสัญญาแห่งวิหคเพลิงขนาดไหน?”
“เป็นตำแหน่งที่เกิดขึ้นในสมัยก่อตั้งอาณาจักรจากนักบุญคนแรกท่านแคโรลีนสินะคะ เหมือนว่าตอนนั้นท่านจะไปทำสัญญาอะไรบางอย่างกับวิหคเพลิงเอาไว้”
จากนั้นผมก็เล่าเท่าที่ชาร์ลเคยเล่าให้ผมฟังไป เพราะอันที่จริงตำนานนี้มันก็มีภายในห้องสมุดให้อ่านเยอะอยู่พอควร แต่ส่วนมากมักจะมาในรูปแบบของหนังสือนิทานไม่ก็นวนิยาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีน้ำเยอะซะจนไม่รู้ว่าจะเชื่อได้ดีไหม แถมด้วยภาษางานเขียนที่ร่ายยาวสวยหรูซะจนขี้เกียจจะแปล สุดท้ายก็เลยหลับมันคาเล่มไปทั้งอย่างงั้น ดังนั้นก็เลยยังไม่ค่อยรู้เรื่องราวของตำนานบทนี้
“นับว่าท่านศึกษามาอยู่บ้าง เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ง่ายขึ้นมาก”
“อย่างที่ท่านรู้ ตำนานของท่านแคโรลีนที่ทำพันธสัญญากับวิหคเพลิงแล้วใช้พลังที่ได้รับมา นำชัยชนะมาให้กับท่านปฐมกษัตริย์เรสวัลจนก่อตั้งราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้”
โห เจ้านกนี่มีแบ่งพลังให้ด้วย นี่ถ้าผมเป็นผู้ทำพันธสัญญากับมันจริง ๆ คงเท่ไม่หยอก แต่มันช่างน่าเศร้าที่ทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะที่ผมทำมันก็แค่แปรธาตุรูปปั้นให้กลายเป็นทองเท่านั้น ไม่ได้เป็นการปลุกพลังอะไรให้ตื่นสักอย่าง คิดแล้วก็อยากร้องไห้
“ดังนั้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงเกิดตำแหน่งผู้ทำพันธสัญญาแห่งเปลวเพลิงขึ้นเพื่อรับสืบทอดพลังของวิหคศักดิ์สิทธิ์ส่วนหน้าที่ก็คือ…”
“เอ่อท่านรีเชอลีเยอร์ ข้าว่ามันออกจะมากไปสำหรับนางนะ ข้ามส่วนยาก ๆ แล้วไปส่วนสำคัญของวันนี้เถอะ เนื้อหาอื่นค่อยไว้นางโตขึ้นแล้วคุยกันยังไม่สาย”
อ้าวเฮ้ยท่านราชา พอโดนรัว ๆ เข้าหน่อยเล่นทำเหมือนผมเป็นเด็กจริง ๆ ไปเลยซะงั้น นี่มันส่วนสำคัญเลยนะ จะข้ามได้ที่ไหน นี่ท่านอยากรีบเลิก กลับไปนอนกินขนมแล้วใช่ไหม บอกมานะ บอกมา!
“เห้อ ท่านเนี่ยนะ เอาเถอะ ถ้างั้นก็มาพูดเรื่องสำคัญก่อนเลยก็ได้”
ราชานิสัยอย่างกับเด็กวัยรุ่นไม่รู้จักโตแบบนี้ ไม่แปลกเลยที่ท่านรีเชอลีเยอร์แกจะเหนื่อยใจ ขนาดผมที่เป็นเด็กวัยรุ่นเหมือนกันยังเหนื่อยใจเลย นี่ราชาแกต้องเก็บกดมากขนาดไหนถึงมาเล่นอะไรติงต๊องแบบนี้ได้ แถมมาเล่นกับผมที่เป็นนักบุญอีก ผมว่าหนักอะ
“อย่างที่ข้าพูดคร่าว ๆ เมื่อครู่ ว่าตำแหน่งนี้มีความสำคัญทั้งทางอำนาจและก็จิตใจของเหล่าขุนนางกับทหารแห่งราสเวนน่ามาก การที่จะมอบให้ท่านเลยเกรงว่าจะสร้างความไม่พอใจให้หลาย ๆ ฝ่าย และที่เป็นปัญหาที่สุด…. ท่านก็น่าจะรู้ดี….ศาสนจักร”
น้ำเสียงของท่านรีเชอลีเยอร์จริงจังขึ้นมากเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ตัวผมที่ถึงจะยังเป็นเด็กแต่ก็ยังพอที่จะเข้าใจถึงเรื่องที่เขากังวลได้ เพราะทั้งในหนังและนิยายก็มีตัวอย่างมาให้เห็นเยอะถึงเรื่องความขัดแย้งทางอำนาจ…แต่ว่านะ….
เรียงลำดับความสำคัญผิดไปแล้วโว้ย! ไอ้เรื่องตำนานกับหน้าที่ของผู้ทำพันธสัญญาบอกว่ายากไปสำหรับเด็ก แต่ดันมาชี้แจงเรื่องการเมืองก่อนเนี่ยนะ พวกท่านสมองกลับหรือเปล่าเนี่ย ไม่ว่าจะตะแคงด้านไหน ไอ้สิ่งที่พวกท่านกำลังอธิบายอยู่เนี่ยขนาดเด็กอายุสิบห้า ไม่สิ อายุยี่สิบบางคนมันยังไม่เข้าใจเลย แล้วไหงไอ้ของง่าย ๆ อย่างตำนานววิหคเพลิงที่แม้แต่เด็กสิบขวบยังอ่านรู้เรื่องท่านดันบอกว่ายากไป นี่พวกท่านอยู่กับการเมืองจนเห็นมันเป็นของง่ายกันไปหมดแล้วเรอะ?
“คงไม่ดีแน่ถ้าจู่ ๆ พวกเรา มอบตำแหน่งพวกนี้กับท่านไป มันคงสร้างความไม่พอใจให้กับทางศาสนจักรมากพอสมควรที่ พวกข้าแต่งตั้งหนึ่งในตำแหน่งที่สำคัญที่สุดของฝั่งเราให้ท่าน…โดยเฉพาะเขาคนนั้น”
ยัง ยังไม่หยุดอีก ยิ่งพูดยิ่งไม่รู้เรื่องมากขึ้นทุกที แล้วไหนจะยัง เขาที่ว่านั่นอีก เขานี่มันเขาไหน? ทำไมไม่พูดชื่อกันออกมาให้รู้เรื่องไปเลยล่ะพ่อคุณ เข้าใจอยู่นะว่าพูดแบบมีลับลมคมในมันฟังดูเท่ แต่คิดถึงสุขภาพกับสติปัญญาคนฟังบ้างเถอะครับ ฮืออ ยิ่งฟังยิ่งงง
“เพราะฉะนั้นพวกข้าจึงคิดว่าให้ทุกอย่างมันค่อยเป็นค่อยไปน่าจะดีกว่า”
“การขึ้นตำแหน่งสำคัญ ๆ ความพยายามก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญและใช้ในการพิสูจน์ตัวเอง เพื่อให้เป็นการยอมรับจากทุกคนโดยไม่มีใครมีข้อกังขาดังนั้นพวกข้าจะมีภารกิจให้ท่านเลือกทำ หากท่านทำถึงจุดที่ทุกคนเห็นสมควรเมื่อนั้นพวกข้าจะมอบตำแหน่งให้ท่านโดยไม่มีข้อกังขาใด ๆ”
โอ้ นี่มัน…นี่มันความคิดของปรกติชน!!! ความคิดของปรกติชนที่ไม่ได้เห็นมานานแสนนาน ใช่แล้วท่านรีชเชอร์ลิแอร์แบบนี้ล่ะถูกต้องที่สุด ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปไม่ใช่จู่ ๆ กระโดดข้ามมาเอาตำแหน่งขั้นสูงจนเดินไปไหนมาไหนก็มีแต่คนมองซะจนเสียวว่าจะมีใครหมั่นขี้หน้าหรือไม่ โห ไม่นึกเลยว่าในอาณาจักรที่ตรรกะผิดเพี้ยนแบบนี้ยังมีคนที่ความคิดเหมือนมนุษย์มนาทั่วไปกับเขาอยู่ ถึงอีกคนจะเพี้ยน ๆ หน่อย ๆ ก็เถอะ
“ส่วนถามว่าจะใช้หลักเกณฑ์ใดในการพิจารณาก็….”
ท่านรีชเชอร์ลิแอร์จู่ ๆ ก็ยื่นกระดาษอีกแผ่นมาให้ผม บนกระดาษพวกนั้นถูกตีช่องเป็นตารางจำนวนมาก บริเวณที่มุมขวาล่างของกระดาษมีตัวเลขจำนวนหนึ่งระบุเอาไว้โดยแต่ละตัวเลขมีชื่อตำแหน่งต่อท้ายอยู่
…เดี๋ยวนะ เดี๋ยว ๆ แบบนี้มันดูคุ้น ๆ แปลก ๆ
“อย่างที่ท่านเห็น เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจพวกเราจึงสร้างออกมาเป็นรูปแบบที่เหมาะสมกับวัยของท่าน แค่ท่านทำภารกิจพวกเราก็จะปั้มตราลงไป พอถึงจำนวนที่กำหนดท่านก็จะได้รับยศตามนั้น”
มันต้องไม่ใช่แบบนี้เซ่! พวกนายเป็นพนักงานร้านหนังสือเรอะ! นี่มันบัตรสะสมแต้มแลกของรางวัลชัดๆ เลยนี่หว่า ไม่ว่าจะตะแคงดูด้านไหนมันก็บัตรสะสมแต้มแลกของรางวัลของพวกร้านหนังสือไม่ก็ร้านอาหารชัด ๆ เลย นี่พวกนายไปเอาความคิดบ้า ๆ พวกนี้มาจากไหน
เหมือนองค์ราชาจะเห็นผมหน้าตกใจจนซีดเสียว ราชาออสวาร์ลจึงได้ยิ้มออกมาแล้วพูดประดุจปานตัวเองเป็นพนักงานโฆษณาสินค้า
“รู้ไหม พวกขุนนางลูกน้องข้าหลายคนใช้เวลากว่าหนึ่งวันเต็ม ๆ เพื่อออกแบบเอกสารชิ้นนี้ให้ท่านเข้าใจได้ง่ายที่สุดเลยนะ ทำเอาข้าลำบากใจที่จะอธิบายเพราะกลัวว่าหากท่านมิเข้าใจแล้วพวกเราก็คงจนปัญญาจะหาวิธีอื่นที่ง่ายกว่านี้แล้ว”
เรื่องนี้เองหรอกเรอะ! ไอ้ที่ทำเป็นหน้าเครียดบอกลำบากใจน่ะ มันเรื่องนี้เองเรอะ! สรุปว่าไอ้ที่ต้องเสียเวลาคุยกันเป็นชาติเศษ ๆ น่ะ ไม่ใช่เรื่องที่ผมทำนกหินบ้า ๆ นั่นเป็นสีทองแต่เพราะเสียเวลาออกแบบไอ้บัตรสะสมแต้มนี่กันใช่ไหม!! ว่างกันนักใช่ไหม ขุนนางของที่นี่มันว่างกันนักใช่ไหมถึงมีเวลาไปนั่งเถียงกันเพื่อสร้างบัตรสะสมแต้มน่ะ
ไม่ได้การแล้ว ท่านทั้งสองที่มีความคิดแสนปรกติต้องมาถูกล้อมรอบโดยพวกผีบ้าผีบอแบบนี้นาน ๆ เข้า ท่านจะเสียสติตามพวกมันได้นะ เอาพวกบ้านี่ออกจากตำแหน่งเถอะ เอาออกตอนนี้ยังทันนะท่าน!
“อ่า มีอีกเรื่องท่านนักบุญ”
ระหว่างที่ผมกำลังทุบโต๊ะอยู่ในใจ จู่ ๆ ท่านรีชเชอร์ลิแอร์ก็ทักผมขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง ทำเอาผมต้องเรียกสติตัวเองกลับมาตั้งใจฟัง
“ด้วยความหวังดีข้าขอบอกท่านไว้อย่าง ด้วยรูปแบบสะสมที่พวกเราทำ หากท่านทำมาก ๆ ทำเร็ว ๆ ท่านก็จะไปถึงตำแหน่งได้อย่างรวดเร็ว แต่เรื่องนี้ข้าไม่แนะนำเพราะมันจะเป็นการสร้างความไม่พอใจให้กับศาสนจักรพอสมควร ขอท่านจำเอาไว้ด้วย”
“ค่ะ ต้องขอบคุณในคำชี้แนะค่ะท่านรีชเชอร์ลิแอร์ หนูจะจำให้ขึ้นใจเลยค่ะ”
มันก็แหงล่ะ ขืนผมที่เป็นนักบุญเอาแต่ทำภารกิจของทางราชวงศ์ที่มีสิทธิ์ไปขัดผลประโยชน์ของทางศาสนจักร รับรองว่ามันต้องมีคนของทางนั้นไม่พอใจเป็นธรรมดา แถมหากทำมากไปอาจมีบางคนคิดว่าผมเป็นพวกโลภเห็นแก่อำนาจจนบอกเป็นพวกนอกรีตแล้วเอามีดมาเสียบอกผมคาถนนก็ได้
จะว่าไปสภาพของผมตอนนี้มันอยู่ระหว่างสองมหาอำนาจในราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์สุด ๆ เลยไม่ใช่เรอะ ถ้าเทียบเป็นเกมล่ะก็ผมก็อยู่ตรงกลางของเส้นอำนาจซึ่งหากไปรับเควสฝ่ายไหนล่ะก็ย่อมทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจแน่นอน แต่ในทางกลับกันหากทำภารกิจฝั่งนั้นมาก ๆ ก็ยิ่งได้สิ่งตอบแทนสูงขึ้น…..เกม RPG ชัดๆ
ว่าแล้วก็ร่างภาพมาเพื่อให้เห็นง่ายขึ้น…..
Aurora meter!!!!
ศาสนจักร ß—————-ออโรร่า—————-àราชวงศ์
ไม่สิๆ นี่ผมเพิ่งทำภารกิจช่วยเหลือคนด้วยเพลงช้างไป ไหนจะยังภารกิจช่วยปราบผีอีก
ศาสนจักร ß———–ออโรร่า———————–àราชวงศ์
เอาล่ะส่วนเรื่องคะแนนความนิยมของผม…. อืมไอ้เราก็เพิ่งทำภารกิจของทางศาสนจักรไปรัว ๆ แถมยังเป็นนักบุญอีก ส่วนราชวงศ์นี่ที่ผมทำก็แค่อวยพรตามหน้าที่กับได้ยศมาแบบฟลุ๊ค ๆ
ศาสนจักร : 55
ราชวงศ์ : 14
เอ่อ…แต้มโน้มเอียงไปทางศาสนจักรสุด ๆ เลยนี่หว่า งานนี้คงไม่แปลกแล้วที่เจ้าบ้านั่นมันจะเขม่นผมเพราะแนวโน้มของการกระทำผมมันเอียงไปทางศาสนจักรซะจนเกือบมิดหลอด ..หือ นี่ผมโดนลากเข้าการเมืองแบบไม่รู้เรื่องแล้วเหรอ? ฮือออ ถ้าเส้นสองอันนี้เป็นขั้วอำนาจของขนมกับความกลัวอ้วนล่ะก็ จะไม่ว่าเลย
“พูดมากันตั้งนาน เรามาทานขนมกันก่อนดีไหม?”
จู่ ๆ ท่านราชาก็ทักขึ้นมาพร้อมกับโบกมือเรียกคนรับใช้ให้เอาขนมมาให้ โดยผ่านไปไม่ถึงห้านาที กลิ่นหอมของขนมซึ่งถูกอบอย่างดีก็ลอยมาเข้าจมูกจนผมเผลอยิ้มร่าพร้อมทำตาแป๋วมองตามไปทางกลิ่นหอมที่โชยมา
มาแล้วๆ ขนมที่ไม่ได้กินมาเนิ่นนาน ท่านราชาท่านช่างเป็นคนดียิ่งนัก
คนรับใช้เดินเข้ามาพร้อมกับถาดขนมที่อยู่ในมือ ขนมคุกกี้ซึ่งพึ่งถูกอบมาใหม่ ๆ สีน้ำตาลอันแสนสวยของมันทำเอาผมจินตนาการได้ถึงความหอมหวานหลังจากที่กัดลงไปหนึ่งคำ ยิ่งไปกว่านั้น หากมองดูรอบ ๆ ผิวของมันล่ะก็… จะเห็นช็อกโกเลตชิบที่ถูกผสมเอาไว้ด้วย คุมน้ำลายให้ไม่ไหลไม่อยู่แล้ว!!
“เอาล่ะ มาทานกันดีกว่านี่มาจากช่างขนมอันดับหนึ่งของพวกเราเลยนะ”
“เดี๋ยวท่าน”
อ๊ะ รู้สึกไม่ค่อยดีเลย ไม่นะ ๆ ท่านรีชเชอร์ลิแอร์ อย่าบอกนะว่าท่านจะ….
“ท่านอย่าลืมสิว่าแขกคนนี้ของเราคือท่านนักบุญ ท่านก็รู้นี่”
ไม่ ๆ ท่านรีชเชอร์ลิแอร์ ผมรู้ว่าท่านเป็นคนดี ท่านจะไม่ทำแบบนั้นใช่ไหม ใช่ไหม!
“อ่า! ข้าลืมไปเลย ว่าขนมเป็นข้อห้ามของพวกศาสนจักร…ข้าต้องขอโทษด้วย ท่านนักบุญ”
พูดจบราชาก็โบกมือไล่คนรับใช้ไป ทั้ง ๆ ที่อีกเพียงแค่นิดเดียวจานขนมก็จะถูกวางบนโต๊ะแล้วแท้ ๆ ทั้งที่อีกแค่นิดเดียว มันก็จะถูกเอาเข้าปากผมแล้วแท้ ๆ อีกแค่นิดเดียวผมก็จะได้ลิ้มรสความหวานของมันแล้วแท้ ๆ
ทำแบบนี้เอามีดมาปาดคอผมเลยดีกว่า!! ฮืออ ท่านรีชเชอร์ลิแอร์บ้า ท่านราชาก็บ้า ไอ้ตำแหน่งนักบุญนี่ก็บ้า ทำไมโลกมันโหดร้ายกับผมแบบนี้!!!
——————————————————–
เอาล่ะมาต่อกับเนื้อเรื่องนะครับ รอบนี้คนเขียนไม่เมาพวกนายไม่ได้โบนัสหรอกนะ