ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ – บทที่ 39 ออโรร่าน้อยกับมิตรภาพ

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

“องค์ชายหายตัวไปจากวังหลวง!!!”

นี่จะมีสักวัน ที่ชีวิตผมมันจะสงบสุขกับเขาบ้างไหม!

แล้วนี่อะไร วังตั้งใหญ่ ทหารองครักษ์ก็มีเป็นโหล แล้วไหงองค์ชายมันถึงได้หนีหลุดหายออกจากวังไปได้ล่ะเว้ย

“แปลกจังนะครับ ทั้งที่ราชวังตั้งใหญ่โต เวรยามก็แน่นหนา เหตุใดองค์ชายของพวกท่านถึงหนีออกไปกันได้เล่า”

จู่ ๆ เจ้าโลธ์ก็พูดสิ่งที่ผมบ่นในใจออกมาจนผมรู้สึกอยากตกรางวัลให้ก้อนงามเป็นส่วนล่างสุดของร่างกาย ส่วนเหล่าขุนนางเด็กร้านเกมทั้งหลายแทนที่จะตกใจกลับดันทำหน้าภูมิใจออกมาซะงั้น

“ทั้งที่มีเหล่าทหารมากความสามารถวางกำลังคุ้มกันรอบปราสาทอย่างแน่นหนาแต่พระองค์กลับหนีออกไปข้างนอกได้ องค์ชายของพวกเราช่างมากความสามารถยิ่งนัก”

ประเด็นมันอยู่ตรงนั้นไหม! สมองพวกนายหลุดไปอยู่ในเกมหมากรุกเมื่อกี้แล้วหรือไง องค์ชายทั้งคนหายไปยังมาใจเย็นอยู่ได้ แถมหนักกว่านั้นยังมาดีใจที่หนีไปได้อีก

ถามจริง คนเฝ้าวังมันหลับหรือไง

ให้ตายสิไม่ไหว ๆ งานนี้ขืนอยู่ตรงนี้นานไปนอกจากจะช่วยอะไรเขาไม่ได้แต่คงได้มีปัญหาชีวิตมากขึ้นแน่ ๆ

จะว่าไปงานตามหาองค์ชายมันก็เป็นงานของพวกองครักษ์ด้วยนี่นา ป่านนี้พวกนั้นคงวิ่งกันทั่วเมืองแล้วล่ะมั้ง

ระหว่างที่ผมกำลังเดินคิดเพลินอยู่นั้นเอง ผมสังเกตเห็นทหารกลุ่มหนึ่งกำลังจับกลุ่มคุยกันอย่างเคร่งเครียด

สงสัยกำลังวางแผนหาตัวเจ้าชาร์ลอยู่ล่ะมั้ง ก็นะองค์ชายหายไปทั้งทีคงต้องคิดหนักอยู่หรอก

“การแข่งขันของท่านนักบุญนี่ช่างสุดยอดจริง ๆ ทำเอาละสายตาไม่ได้เลยว่าไหมสหาย”

“นั่นสินะ ทำเอาลืมงานเวรยามของวันนี้ไปเลย”

ฝีมือพวกแกเองสินะ!!!

สภาพแบบนี้มันก็เหมือนพวกยามหน้าหอที่ดันเผลอดูบอลโลกจนลืมเฝ้าเวรแล้วปล่อยให้หัวขโมยมันเข้ามาในหอพักได้เลยนี่หว่า ทำแบบนี้ไม่กลัวต้องโทษบ้างหรือไง

“ข้าละรู้สึกผิดจริง ๆ ที่ดันเผลอเรอจนองค์ชายหนีไปซะได้ แต่จะให้ทำเช่นไร ก็การแข่งขันนั่นมันสุดยอดจริง ๆ”

“อย่าเศร้าไปเลยสหายข้า ที่สติของพวกเราหลุดไปเพราะความยิ่งใหญ่ของท่านนักบุญพระเจ้าจะต้องอภัยให้เราแน่นอน”

อย่าหาเหตุผลมั่ว ๆ มาปลอบกันเองนะเว้ย! ไม่ว่าจะตะแคงมองอย่างไรมันก็แค่อู้งานมาดูบอลชัด ๆ เลยนะ หัวหน้ารู้นี่โทษประหารเลยนะ

“ทำอะไรกันอยู่น่ะ”

พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา ไม่ทันที่ผมจะได้บ่นถึงนาที อัศวินหัวหน้าหน่วยของพวกเขาก็เดินมาหา นี่คงเป็นเพราะกำลังอยู่ในช่วงระดมพลตั้งกองกำลังหาชาร์ลแน่ ๆ ดังนั้นพอเห็นว่ามีใครมายืนจับกลุ่มสุมหัวคุยกันคงต้องมีสงสัยเป็นธรรมดา….ชะตาขาดแล้วทหารยามเอ๋ย

“คือเรื่องมันเช่นนี้ครับ”

ทหารทั้งสองคนเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับหัวหน้าของตัวเองฟังด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่เพราะเกรงจะโดนลงโทษ ซึ่งแน่นอนอยู่แล้ว เล่นเป็นสาเหตุของเรื่องวุ่นวายทั้งหมดแบบนี้ ถ้าเป็นผมคงจับเอาไปตัดหัวเสียบประจานหน้าเมืองแล้ว ดูสิ หน้าของคุณหัวหน้าแกร้องไห้น้ำตาไหลแล้ว…ห๊ะ ร้องไห้?

“ข้าเข้าใจ ๆ พวกข้าเองก็เช่นกัน แค่ได้ข่าวว่าท่านนักบุญแข่งกับเจ้าเด็กจากจักรวรรดิ พวกเราทหารองครักษ์และอัศวินทั้งหลายต่างตื่นเต้นจนตัวสั่นเปิดเดิมพันว่าท่านนักบุญต้องชนะกับพวกข้าหลวงของจักรวรรดิเพื่อรักษาศักดิ์ศรีแห่งอาณาจักรเรากันจนไม่เป็นทำอะไรเลย”

เฮ้ย แกก็ด้วยเหรอ ไม่สิ พวกแกทุกคนเลยเหรอ!! นี่ไม่ใช่แค่อู้งานกันคนสองคน นี่มันโดดงานก็ยกแก๊งเลยนี่หว่า สิ้นหวังแล้ว เจ้าทหารบ้าพวกนี้ ใครก็ได้ช่วยเอาคนที่มันคุ้มกับภาษีชาวบ้านมาแทนที่เจ้าพวกบ้านี่ที

แล้วนี่อะไร งานการไม่ทำ ดันเอาเวลาไปตีบ่อนเดิมพันกับคนของจักรวรรดิเนี่ยนะ แถมยังเอาเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ มาอ้างอีก แบบนี้มันเกินเยียวยาแล้ว

ไม่ไหว ขืนอยู่ฟังพวกบ้านี่นานไปผมได้ประสาทแดกแน่ ๆ คงต้องขอตัวก่อนแล้วล่ะ เพราะถ้าช้ากว่านี้ รับรองก่อนที่ทุกคนจะเจอชาร์ล พวกเขาได้เจอศพผมเส้นเลือดสมองแตกตายคาพื้นแน่ ๆ

ว่าแล้วผมก็รีบถอยหนีห่างออกมาจากพื้นที่เสี่ยงภัยต่อสุขภาพจิตพร้อมเตรียมพุ่งตรงกลับห้องของตัวเองทันที

เนื่องจากชาร์ลหายตัวไปทำให้ตอนนี้ไม่ว่าจะเดินไปส่วนไหนของปราสาทก็จะเห็นพวกทหารวิ่งวุ่นไปมาทั่วบริเวณแสดงถึงผลงานที่เจ้าชาร์ลก่อไว้ได้เป็นอย่างดี

แต่ว่านะ ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าทำไมเจ้าชาร์ลต้องหนีออกไปด้วย นี่แค่เล่นหมากรุกแพ้ถึงขึ้นร้องไห้น้ำตาแตกหนีจากปราสาทอย่างงั้นเลยเหรอ

แต่ว่านะ เจ้าหมอนั่นก็เป็นถึงองค์ชายจะบอกว่าถูกสภาพสังคมรอบข้างกดดันจนเป็นเด็กเก็บกดมันก็พอได้อยู่หรอก พอดูจากความมโนที่ผ่านมาของเจ้าหมอนี่แล้ว…..ไม่ว่าจะพยายามคิดยังไง ก็ไม่น่าเป็นไปได้อะ

“ท่านครับ ท่านครับได้ยินข่าวเรื่ององค์ชายหนีออกจากวังหรือไม่ครับ”

จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากซอกหลืบของกำแพง เรียกความสนใจของผมที่กำลังจะเดินกลับห้องมาให้พุ่งไปหามัน

ผมค่อย ๆ แทรกตัวไปชิดกำแพงก่อนจะเขยิบตัวทีละเล็กละน้อยเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงบุคคลที่สาม

“แน่นอน ข่าวดังขนาดนี้หากใครไม่รู้เรื่องคงไร้ซึ่งหูและตาแล้วกระมัง”

น้ำเสียงดูชั่วร้ายไม่น่าไว้วางใจอันแสนคุ้นเคยนี้เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน รู้สึกจะอยู่ในเศษส่วนของความจำที่ไม่ค่อยอยากนึกถึงสักเท่าไหร่

“ท่านนักบุญข้านำคนมาช่วยท่านแล้วครับ!”

อ๊ะ!

ในที่สุดก็นึกออกแล้วว่าความรู้สึกอันแสนคุ้นเคยนี่มันมาจากไหน เพราะไม่ว่าจะภาพหรือจะเสียงมันก็กลับมา ทำเอาผมรู้สึกขนลุกวาบ ๆ ขึ้นมา

ไอ้บารอนชั่วช้าคนนั้นนั่นเอง!

“ตอนนี้องค์ชายหายตัวไปที่ใดไม่มีใครทราบ เช่นนั้นก็เท่ากับรอบตัวของพระองค์ไร้ซึ่งผู้ใดปกป้องข้าว่านี่เป็นโอกาสอันดี….”

“โอกาสอะไร?”

“โอ้ข้าต้องขอโทษด้วย ข้าก็ดีใจจนลืมไปว่าเราอยู่ในที่ต้องพูดอะไรให้ระวัง”

นี่มัน….. เหมือนบังเอิญได้มายินแผนชั่วของพวกตัวร้ายที่เล่นวางแผนกันแบบไม่แคร์สื่อแคร์สถานที่ว่าเสี่ยงจะมีคนมาได้ยิน แต่ก็ยังอยากจะพูดเพราะตัวเองเป็นตัวร้ายแถมมาในรูปแบบลูกสมุนกับหัวหน้าตามสูตรด้วย

“เอาเถอะ ข้าไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ องค์ชายหายไปเช่นนี้เห็นทีข้าคงต้องส่งคนของข้าไปดูแลองค์ชายเสียหน่อยแล้ว”

ชัดเลย! เจ้าหมอนี่คิดไม่ดีกับเจ้าชาร์ลแน่นอน เล่นพูดตามแบบฉบับพวกตัวร้ายอยู่เบื้องหลังแบบนี้ งานนี้คำว่า “ดูแล” ของมันคงมีความหมายเดียว……เจ้าชาร์ลโดนเจี๋ยนแน่ ๆ

ทำไงดี ๆ ดันมาได้ยินเรื่องที่ไม่ควรได้ยินด้วยสิ จะปล่อยไปแบบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่ได้ เพราะผมดันมาเป็นคนที่รู้แผนการชั่วคนแรกเสียงั้น….

ไม่สิ ๆ แต่ผมมันเด็กน้อยห้าขวบเองนะ ถึงจะเป็นนักบุญแต่เวทที่มีก็มีแต่รักษากับปราบผีจะไปช่วยอะไรใครได้แถมมีสิทธิโดนฆ่าปิดปากตามแหง ๆ อ๊าก ยุ่งยากจริง

ตอนนี้ความคิดในหัวของผมเริ่มจะตีกันมั่วซั่วไปหมด ทางหนึ่งก็รู้สึกอยากจะทำอะไรสักอย่างแต่อีกทางหนึ่งก็กลัว

เดี๋ยวสิออโรร่า ใจเย็น ๆ สิ ตอนนี้ขนาดพวกทหารในวังระดมคนหายังไม่เจอ ไม่มีทางที่เจ้าบารอนจะเจอได้หรอกน่า

“ว่าแต่เจ้ารู้ไหมว่าองค์ชายไปไหน หาตัวพระองค์ในเมืองหลวงอันยิ่งใหญ่นี่คงไม่ใช่ง่าย ๆ”

“แน่นอนครับนายท่าน คนของเรารายงานมาว่าเห็นองค์ชายชาร์ลวิ่งในเขตของเราพอดี”

ทำไม!!!! ทำไมต้องเป็นงี้ทุกที ไม่ว่าจะในหนังในชีวิตจริง ทำไมตัวร้ายมันถึงต้องดวงดีเจอเป้าหมายก่อนฝ่ายดีทุกทีฟะ ฝ่ายเรามีเป็นร้อยดันหากันยากเย็นเหมือนหาแท็คซี่ขึ้นในกรุงเทพ มันมีอยู่สิบ ดันหาเจ้าชาร์ลเจออย่างกับหาตึกสูงสิบชั้นแถวชนบท

“ก็ดี ถ้างั้นฝากจัดการด้วย”

เสียงฝีเท้าที่ค่อย ๆ ดังห่างออกได้หยุดลงคล้ายฝ่ายบารอนมีอะไรจะสั่งการเพิ่มเติม

“อีกอย่าง…. ข้าขอให้พวกเจ้าดูแลองค์ชายอย่างดีที่สุด เอาแบบให้พระองค์ประทับใจจนไม่ลืมเลยนะ”

“ข้าน้อยจะไม่ทำให้นายท่านผิดหวัง”

ทั้งบารอนและลูกน้องได้กระจายตัวแยกกันออกไปเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย ส่วนผมก็ได้แต่ยืนหลบอยู่มุมกำแพงพร้อมกับจิตใจที่เต้นระรัวด้วยความกังวล

ทำไงดีออโรร่า ทำไงดี เจ้าชาร์ลเล่นวิ่งหนีไปไหนไม่ไป ดันไปกลางดงส้นทีนอีกฝ่าย นี่มันหาเรื่องตายชัด ๆ มันไม่รู้เลยหรือไงว่าตัวเองโดนจ้องเล่นงานอยู่น่ะ!

รู้แบบนี้แล้วไอ้ผมก็ยิ่งช่วยยากขึ้นทุกที เพราะนอกจากหนีไปถิ่นศัตรูแล้ว เจ้าศัตรูที่ว่าดันเป็นคนยอดนิยมในฝ่ายราชวงศ์อีก ถ้าผมบอกไปถึงจะเอาตำแหน่งนักบุญมาอ้างยังไงก็มีคนสงสัยว่าผมโดนนักบวชสักคนหลอกมาอีกทีเพื่อทำลายชื่อเสียงของเจ้าบารอนนี่แน่

โอ๊ย ชีวิต ทำไมมันยากอย่างงี้!

“หืม อัลนี่นา มีอะไรอย่างงั้นเหรอทำไมทำถึงทำหน้าตาลำบากใจจัง”

เสียงเล็ก ๆ ของเด็กดังขึ้นเรียกให้ผมหันหน้าขึ้นไปก็พบกับโลธ์ที่กำลังยืนยิ้มพร้อมมองมาที่ผมแบบสงสัย ส่วนผมเห็นเขาก็ได้แต่ถอนหายใจที่หนึ่งในต้นเหตุของเรื่องราวดันมายิ้มทำหน้าตาสบายใจเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เด็กหนอเด็ก

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่มีเรื่องให้คิดมากจนปวดหัวแค่นั้นเองค่ะ”

“อย่างงั้นเหรอ…อืม ให้เดานะ เรื่ององค์ชายชาร์ลใช่ไหมล่ะ?”

หมอนี่มันรู้ได้ไงเนี่ย ไม่สิ อย่าเพิ่งคิดมากไป เพราะไม่ว่าใครก็รู้อยู่แล้วว่าเจ้าชาร์ลมันหนีออกจากวัง เพราะงั้นถึงให้เด็กข้างบ้านเดาก็คงไม่ต่าง แต่คงไม่น่าจะรู้ถึงขั้นมีคนคิดวางแผนฆ่าเจ้าชาร์ลล่ะมั้ง

“อัลกำลังกังวลว่าควรออกไปช่วยเขาดีหรือไม่ใช่ไหมล่ะ หือ?”

โห นี่มันเดาได้เหมือนอ่านใจ ความคิดของผมมันอ่านง่ายขนาดนั้นเลยหรือไงเนี่ย

“ก็อย่างที่คุณว่าค่ะ ตอนนี้ฉันกำลังกังวลเรื่องขององค์ชายนั่นล่ะค่ะ คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี”

คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ทำไมสารพัดเรื่องยุ่ง ๆ ดันต้องมาเกิดขึ้นพร้อมกันในเวลาเดียวกันแบบนี้ด้วยน้า ขนมากันเยอะแบบนี้ผมรับไม่ทันนะ

“เห้อ เป็นเพราะองค์ชายวิ่งออกไปแท้ ๆ เลยค่ะ ทำไมต้องหนีด้วยนะแค่เล่นเกมหมากรุกเองแท้ ๆ”

“นั่นเพราะเป็นองค์ชายนี่นา ถึงจะเป็นแค่หมากรุกแต่แพ้ขาดให้กับเด็กจากอีกประเทศ ทั้งยังต้องให้อัลที่เป็นเด็กสาววัยเดียวกันมากู้สถานการณ์ให้ ไม่ว่ายังไงก็ต้องเจ็บใจอยู่แล้วนี่นา”

จู่ ๆ โลธ์ก็พูดประโยคดูไม่สมกับวัยของเขาขึ้นมา การอ่านสถานการณ์ของเขาก็คล้าย ๆ กับที่ผมคิดไว้แต่ถึงขั้นหนีนี่มันก็เกินไปนะ

“แต่ถึงขั้นวิ่งออกไปแบบนี้มันก็ออกจะ…”

“ไม่เกินไปหรอกอัล กับความกดดันหลาย ๆ อย่างที่องค์ชายได้รับน่ะ คงพูดได้ว่าไม่เกินไปเลย”

คำพูดที่ดูจริงจังผิดกับสีหน้าอันแสนสบายอารมณ์ของโลธ์ทำเอาผมไม่ค่อยจะรู้สึกคล้อยตามเท่าไหร่ แต่ประโยคที่เขาพูดออกมามันก็น่าสนใจ

“ตั้งแต่เกิดมา องค์ชายก็แทบเดินตามรอยเท้าของคนที่อัจฉริยะกว่าตัวเอง ไหนจะยังเสียงรอบข้างที่ถึงแม้จะไม่พูดตรง ๆ เจ้าตัวก็สามารถรู้สึกได้ถึงความผิดหวัง อีกทั้งสงครามการเมืองซึ่งไม่ว่าใครหากเกิดภายใต้ราชวงศ์ก็คงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”

“แต่องค์ชายนั้นอายุแค่ห้าขวบไม่ใช่หรือไงคะ? ไม่น่าจะคิดมากไปถึงขั้นนั้นหรอกค่ะ”

“อัลเองก็อายุเท่ากับองค์ชายนี่นา แต่ทั้งที่อายุเพียงห้าขวบก็ยังมองอะไรหลาย ๆ อย่างได้มากมายเลยไม่ใช่เหรอ หรือว่าผมพูดผิดไป”

คำพูดของโลธ์ทำเอาผมสะดุดไป ลืมได้ไงกันนะว่าตอนนี้ผมมันก็อยู่ในร่างของเด็กห้าขวบ เพราะงั้นคำพูดที่พูดไปเมื่อครู่ก็นับเป็นการพูดเปิดช่องให้อีกฝ่ายสงสัยเอาได้ แต่ว่านะ พอมาได้ยินแบบนี้ก็มีเรื่องหนึ่งที่ผมสงสัย

“แต่คุณเองก็เหมือนกันนี่นา”

เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสงสัยทำให้ผมรีบสวนคืนแบบไม่หวังให้มันได้สงสัยอีก แต่หนึ่งในนั้นก็เป็นสิ่งที่ผมสงสัยเหมือนกัน กับผมที่เป็นคนมาเกิดใหม่ยังพอว่า แต่ทำไมเจ้าเด็กนี่มันถึงได้แก่ผิดวัยแบบสุดหูรูดเยี่ยงนี้

“ฮะๆ นั่นสินะ ทำไมกันน้า”

โลธ์หัวเราะเบา ๆ เขานั่งลงบริเวณหน้าต่างแล้วหันมาหาผมก่อนจะยิ้มจาง ๆ

“นี่อัลรู้ไหม ว่าคนเราน่ะไม่ได้เติบโตด้วยอายุทว่าเติบโตด้วยประสบการณ์ ดังนั้นองค์ชายอายุเพียงห้าปีก็สามารถเป็นผู้ใหญ่ได้มากกว่าเด็กชาวบ้านอายุสิบปี และเพราะจิตใจที่เติบโตกว่า บาดแผลที่ได้รับก็มากกว่าเช่นกัน”

ฟังดูมีเหตุผล! แต่เดี๋ยวนะ เจ้าเด็กคนนี้มันอัพเกรดตัวเองจากเด็กแก่แดดกลายเป็นนักปราชญ์ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ นี่ถ้าบอกว่าชาร์ลห้าขวบคิดได้แบบนี้เพราะประสบการณ์ชีวิตเยอะ เจ้าหมอนี่ไม่ถึงขั้นต้องโดนรุมลอบสังหารตลอดทั้งวันทั้งคืนเลยหรือไง นี่การเมืองจักรวรรดิมันโหดขนาดไหนถึงสร้างเด็กให้มีความคิดแก่ต่อโลกขนาดนี้ออกมาได้!

“แถมหากให้เดาจากสภาพการณ์แล้ว ท่าทางคนรอบตัวคงบาดเจ็บเพราะตัวเขาเองมาไม่มากก็น้อยล่ะนะ”

โลธ์พูดขึ้นพลางเหล่ตามองไปนอกหน้าต่างคล้ายกับมองหาชาร์ลที่อยู่ห่างไกลออกไป

บาดเจ็บอย่างงั้นเหรอ นี่เรื่องมันเป็นมายังไงผมชักจะเริ่มตามเจ้าหมอนี่ไม่ค่อยทันแล้วสิ

“ฮะ ๆ สงสัยผมจะพูดเร็วไปหน่อยสินะ อัลลองคิดดูสิว่าในสังคมชนชั้นสูงการลอบฆ่าก็เหมือนเป็นเหตุการณ์หนึ่งในชีวิตประจำวัน ดังนั้นย่อมต้องมีคนคุ้มครองเป็นเรื่องปรกติ และแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะรอด”

ทำไมมันชักจะมืดมนไปทุกที สาบานได้นะว่าไม่ได้อยู่ในหนังชิงบัลลังก์ของฝรั่ง! นี่อย่าบอกนะว่า ที่จักรวรรดิการลอบสังหารมันเป็นเรื่องปรกติแบบอาหารสามเวลาน่ะ น่ากลัวไปแล้ว…แต่จะว่าไปมันก็เหมือนมีอะไรคล้าย ๆ แบบนี้อยู่เหมือนกันนี่นา

“ที่ท่านออโรร่าผู้แสนอ่อนโยนต้องเจ็บแบบนี้มาตลอดเป็นเพราะผมแท้ๆ เลย ฮึก ฮึก”

“ทั้ง ๆ ที่….ทั้ง ๆ ที่เป็นปัญหาบ้านของผมแท้ๆ แต่ท่านก็กลับช่วยเหลือผมโดยไม่สนใจตัวเองแบบนี้นั่นน่ะ…นั่นน่ะ”

เออ ใช่ เหมือนตอนช่วงที่ผมลอบสังหารเจ้าหมอนั่นก็มีอะไรคล้าย ๆ กันนี้ผ่านหูมาเหมือนกัน แต่ตอนนั้นสติผมดันไปวุ่นกับเรื่องหมั้นสุดมโนของชาร์ลอยู่ทำให้ไม่ได้สนใจเท่าไหร่

“เพราะงั้นเจ้าตัวคงรู้สึกผิดในความอ่อนแอของตัวเองน่าดูล่ะนะ ดังนั้นพอมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก็คงอยากพิสูจน์ตัวเองล่ะมั้ง”

พิสูจน์ตัวเองงั้นเหรอ พิสูจน์อะไรล่ะ พิสูจน์ว่าตัวเองแข็งแกร่งหรือว่าพิสูจน์ว่าตัวเองมีความสามารถพอ ….ไม่สิ ถ้าแบบนั้นแล้วจะวิ่งเข้าไปกลางดงศัตรูทำไมเล่า

“ลองนึกดูสิอัล ว่าเขาเคยแสดงให้อัลเห็นสิ่งที่เก็บซ่อนเอาไว้ภายในใจออกมาให้เห็นหรือเปล่า สิ่งที่หากเราไม่สังเกตให้ดีก็คงไม่เห็นน่ะ”

สิ่งที่ซ่อนเอาไว้ไม่ให้ใครรู้งั้นเหรอ…. สิ่งที่หากไม่สังเกตให้ดีก็คงไม่รู้อย่างงั้นเหรอ

 

อ๊ะ นึกออกแล้ว จำได้ว่าเจ้าหมอนั่นมันยิ้มอย่างมีความสุขให้กับ….

ถูกผมลอบฆ่า!!!

อย่างนี้นี่เอง! นี่ผมลืมไปได้ไงกันนะว่าเจ้าชาร์ลมันเป็นองค์ชายมาโซน่ะ

“นึกออกแล้วสินะอัล ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้องค์ชายชาร์ลหนีไปน่ะ”

ใช่ ผมรู้แล้ว! ที่แท้เพราะเครียดจัดเกินไปเนื่องจากเทียบชั้นกับเพื่อนร่วมรุ่นไม่ได้ดังนั้นหัวใจแห่งความมาโซที่หลับไปนานของหมอนี่เลยตื่นขึ้นแล้วเรียกร้องให้ไปหาความเจ็บปวดเพื่อระบายสินะ เพราะแบบนั้นเลยวิ่งไปกลางดงเท้าศัตรูหวังให้พวกนั้นสร้างความเจ็บปวดแบบไม่รู้ตัวนี่เอง……แย่ล่ะสิ

“เพราะงั้น อัลรู้แล้วสินะว่าต้องทำอะไร”

ใช่ผมรู้แล้ว ต้องรีบไปหยุด!

“ค่ะ ถึงจะไม่ได้รู้จักกันมานานแต่อย่างไรก็เป็นเพื่อนกันค่ะ”

เพราะเป็นเพื่อน ผมจะปล่อยให้เจ้าชาร์ลถูกรุมฆ่าโดยมีสภาพอนาจไม่ได้เด็ดขาด ลองคิดสภาพเด็กห้าขวบโดนนักฆ่ารุมทำร้ายแล้วร้องขอความเจ็บปวดไปเรื่อย ๆ แบบมีความสุขดูสิ มันเป็นอะไรที่ดูไม่จืดมากเลยนะ! แถมถ้ามีคนบอกว่าผมเป็นคนจุดประกายด้วยล่ะก็ยิ่งได้ซวยไปใหญ่

ยิ่งนายเป็นเด็กเลยหลงไปกับความมาโซได้ง่ายดังนั้นจึงไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร เพราะงั้นแล้วออโรร่าคนนี้จะพานายกลับมาถูกที่ถูกทางเอง เพื่อความสงบสุขของอาณาจักรและไม่ให้มีข่าวลือผิด ๆ ผมจะต้องช่วยสหายคนนี้ของผมให้จงได้

“สมเป็นอัลที่ผมรู้จัก….. แต่ก็นะปล่อยไปเฉย ๆ คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะงั้นผมมีของให้”

โลธ์ลงมาจากขอบหน้าต่างพร้อมล้วงมือเข้าไปที่กระเป๋าซึ่งเหน็บอยู่ข้างหลังของตัวเอง มือเล็ก ๆ ขยับยุ้กยิ้กไปมาหาของข้างในก่อนจะชูมันขึ้น

มันเป็นสร้อยคริสตัลสีเหลืองทองสวยงาม สีของมันที่สะท้อนออกมาหากเทียบแล้วก็เหมือนแสงสีทองยามเย็นก่อนพระอาทิตย์ตก ที่มองเมื่อไหร่ก็ทำให้ใจรู้สึกสงบทุกครั้ง ความงดงามของมันยากที่จะละสายตาไปได้

“นี่คือ?”

“ถือว่าเป็นของรางวัลที่ชนะผมได้ก็แล้วกัน เป็นของที่ได้มาระหว่างเดินทางมาน่ะ เขาบอกว่ามีพลังป้องกันจากภยันตรายทั้งมวล”

“จะดีเหรอคะ ให้ของที่ดูสำคัญแบบนี้กับฉัน”

โห ของมันดูมีมูลค่ามากเลยนะ ให้มาแบบนี้ถึงผมจะเป็นพวกชอบของฟรีก็เถอะ คนมันก็มีรู้สึกเกรงใจอยู่บ้างเหมือนกันล่ะน่า แต่โอกาสเกรงใจมีแค่ครั้งเดียวนะ ถ้าพูดแบบนี้แล้วยังให้ล่ะก็ ผมไม่เกรงใจแล้วนะ!

“แน่นอนสิ ก็อย่างที่บอกเป็นของรางวัลที่อัลชนะผมได้ไง”

“งั้นก็ขอรับไว้ด้วยความยินดีค่ะ”

ในเมื่อเจ้าตัวจะให้ให้ได้ ผมก็ยินดี บอกไว้ก่อนนะ ให้แล้วให้เลยไม่มีคืนนะเออ

ผมรับสร้อยแปลก ๆ จากโลธ์มาก่อนจะสวมมันไว้ที่คอของตัวเอง พลันก็รู้สึกถึงพลังบางอย่างไหลผ่านจากตัวเข้าไปสู่สร้อย เมื่อสร้อยได้รับพลังจากผมไป มันได้ทอแสงออกมาสว่างมากขึ้นทีละนิด ๆ จากแสงของยามเย็นค่อย ๆ กลายเป็นแสงของพระอาทิตย์ยามเที่ยงวันที่ร้อนแรงและเจิดจ้า พร้อมกันความรู้สึกอันอบอุ่นก็แผ่ปกคลุมไปทั่วร่างของผม

“นี่มัน?”

“อุปกรณ์เวทมนตร์ไว้สำหรับคุ้มครองอัลน่ะ มันต้องใช้เวทใส่ลงไปนิดหน่อยแต่สำหรับอัลคงไม่มีปัญหาอะไร เพราะงั้นแค่อัลไม่ถอดออกหรือวิ่งไปตีกับมังกรก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก”

โห ดูมันพูด เล่นโฆษณาสรรพคุณแบบนี้ ถ้าเกิดผมเอาไปใช้จริงแล้วโดนโจรกระจอกข้างทางแทงตาย ผมจะกลับมาฟ้องข้อหาโฆษณาเกินจริงเลยคอยดูเถอะ!

ตอนแรกกะว่าจะให้คนอื่นจัดการให้อยู่หรอกแต่พอเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ เห็นทีผมคงต้องจัดการเองเสียแล้ว เพราะขืนมีใครเห็นสภาพเจ้าชายร้องหาความเจ็บปวดกับเหล่านักฆ่าล่ะก็ ชื่อเสียงของทั้งราชวงศ์และของประเทศนี้ได้พังยับแน่!!!

เมื่อพร้อมทั้งของเสริมพลังและกำลังใจ ผมก็ตัดสินใจวิ่งออกจากวังโดยทันที เนื่องจากตอนนี้ราชวังกำลังวุ่นวายทำให้การหนีออกมานั้นง่ายขึ้น และยิ่งผมแอบสืบจนรู้ทางหนีทีไล่ของวังแล้ว ทุกอย่างก็ยิ่งง่ายไปใหญ่

ว่าแต่หนีหายมันทั้งนักบุญกับองค์ชายแบบนี้ เจ้าพวกทหารในวังมันไม่โดนจับไปกุดหัวแบบในหนังจีนกำลังภายในหมดแล้วเหรอ….

เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ ที่สำคัญตอนนี้ก็คือการไปถึงเจ้าชาร์ลก่อนที่มันจะได้ตอบสนองความต้องการของหัวใจที่เต็มไปด้วยพลังแห่งมาโซ

ชาร์ลสหายผม รอก่อนนะ ออโรร่าคนนี้จะไปช่วยนายเดี๋ยวนี้เอง!

 

***********

 

 

 

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

Status: Ongoing
ตายไปต่างโลกไม่พอ ดันโดนเสกให้เกิดเป็นสาวน้อยน่ารักอีก หนักกว่านั้นไอ้พระเจ้าเฮงซวยดันสาปให้ทุกคำพูดที่จะด่ามันกลายเป็นสรรเสริญมัน เลยทำเอาชาวบ้านเข้าใจผิดว่าผมเป็นนักบุญซะงั้น เรื่องราวของสาวน้อยออโรร่าที่ถูกพระเจ้าให้พร(?) ไม่ว่านางจะพูดสิ่งใดก็ออกมาเป็นคำสรรเสริญพระเจ้าที่ออกมาจากจิตใจอันแน่วแน่ซึ่งแม้แต่เหล่าคนบาปทั้งหลายก้ยังต้องซึ้งในความศรัทธาของนาง (เรอะ) เอาล่ะ เรื่องราวน่ารักสดใสปนกาวเป็นถังขอเปิดอ้อมอกต้อนรับทุกท่านให้สูดกาวไปร่วมกันกับเหล่าตัวละครทั้งหลายที่ไม่รู้ว่าเมามาจากไหนกันเถอะ! ที่จริงเป็นเรื่องที่ลงในเด็กดีนานแล้วแต่มารีไรท์เพื่อแก้คำต่าง ๆ ครับ ส่วนตอนล่าสุดก็อัพเดทเรื่อย ๆ ในเด็กดี จะพยายามแก้ตอนเก่าให้ทันตอนใหม่ครับผม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท